นวลชายาหยกงามของท่านอ๋องจอมมาร นิยาย บท 23

เถ้าแก่อู๋ ได้ยินมานานแล้วว่าใบหน้าด้านซ้ายของมู่หรงจิ่นมีรอยประทับสีดำอยู่รอยหนึ่ง ตอนนี้นางสวมผ้าคลุมหน้าอยู่ เขาก็เลยไม่รู้ว่าข่าวลือนั้นจริงหรือเท็จ

“เถ้าแก่อู๋!”

เมื่อแม่นมหลี่ได้ยินเถ้าแก่อู๋ถามเรื่องรอยประทับของมู่หรงจิ่นขึ้นมา นางก็เลยอดไม่ได้ที่จะตวาดเขาไปหนึ่งที ซึ่งมันมีความหมายของการเตือนแฝงอยู่ด้วย

“ข้าน้อยล่วงเกินแล้ว!”

เมื่อเถ้าแก่อู๋เห็นปฏิกิริยาของแม่นมหลี่ เขาก็คิดว่าข่าวลือนั้นท่าจะเป็นความจริงเสียแล้ว

มู่หรงจิ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง บางที นี่อาจเป็นจังหวะโอกาสที่ดีก็ได้ ดังนั้นนางจึงเอ่ยปากพูดว่า:

“แม่นมหลี่ นี่ไม่ใช่ความลับอะไรหรอก ไม่มีใครในเมืองหลวงไม่รู้ว่าใบหน้าด้านซ้ายของข้ามีรอยประทับสีดำรอยหนึ่ง ซึ่งน่าเกลียดหาที่เปรียบมิได้”

มู่หรงจิ่นลูบไล้แก้มซ้ายของตัวเองผ่านผ้าคลุมหน้าที่กั้นอยู่ ในน้ำเสียงมีความอดกลั้นและความรันทดใจแฝงอยู่ด้วย

“คุณหนูไม่เคยไปพบหมอเลยหรือ? รอยประทับนี้ไม่มีวิธีกำจัดออกไปได้เลยหรือ?”

เถ้าแก่อู๋นึกขึ้นมาได้ว่า ในปีนั้นเสิ่นหว่านชิงเป็นสาวงามอันดับหนึ่งของเจียงหนาน แต่บุตรีของนางกลับมีใบหน้าเช่นนี้ และถูกชาวโลกเยาะเย้ยว่าเป็นบุคคลที่มีหน้าตาอัปลักษณ์ โลกนี้ช่างไม่แน่นอนเสียจริงๆ!

“ไม่มี พ่อของข้าก็เป็นหมอหลวง ในจวนไม่มีหมอกับหมอหญิงเลย ย่ากับพ่อของข้าไม่สนิทกับข้า ข้าต้องปากกัดตีนถีบทุกย่างก้าวขณะที่อยู่ในจวน ข้าไหนเลยจะยังมีกำลังไปคิดหาวิธีลบรอยประทับให้หายไปได้อีกเล่า”

มู่หรงจิ่นถอนหายใจขณะที่กำลังพูด คล้ายกับหมดหนทาง คล้ายกับสงสารตัวเอง และคล้ายกับรู้สึกเสียใจมาก

“ข้าได้ยินมานานแล้วว่าจวนมู่หรงปฏิบัติต่อคุณหนูอย่างโหดร้ายทารุณยิ่งนัก! หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ! ตระกูลมู่หรงก็ทำเกินไปแล้วจริงๆ! ไม่เพียงแต่ไม่ปฏิบัติต่อคุณหนูหว่านชิงเป็นอย่างดี แต่ยังปฏิบัติต่อบุตรีภรรยาหลวงเพียงคนเดียวของตระกูลมู่หรงเช่นนี้อีกด้วย เหลวไหลสิ้นดี คุณหนูวางใจเถอะ ข้าน้อยจะต้องช่วยท่านหาแพทย์ที่มีชื่อเสียง หายาดีๆ มารักษารอยประทับนี้ให้หายดีได้อย่างแน่นอน!”

เถ้าแก่อู๋ยิ่งพูดยิ่งโกรธ ไม่ว่าอย่างไรตระกูลมู่หรงก็เป็นตระกูลของหมอหลวง และมู่หรงเซิ่งก็เป็นบุคคลใกล้ชิดที่อยู่ข้างกายฮ่องเต้ด้วย คิดไม่ถึงเลยว่าจะทำเรื่องที่โหดร้ายทารุณต่อบุตรีเช่นนี้ออกมาได้

“เช่นนั้นก็ต้องขอรบกวนเถ้าแก่อู๋แล้ว เพียงแต่ข้ายังหวังว่าเถ้าแก่อู๋จะไม่เปิดเผยเรื่องนี้ให้คนภายนอกได้รับทราบด้วย อย่างไรเสียข้าก็เป็นบุตรีของตระกูลหมอหลวงคนหนึ่ง ถ้ามีคนรู้ว่าแม้แต่ข้าเองก็ยังต้องออกไปหาหมอข้างนอก มันจะส่งผลกระทบที่ไม่ดีต่อท่านพ่อได้!”

มุมปากที่อยู่ใต้ผ้าคลุมหน้าของของมู่หรงจิ่นถูกดึงขึ้นมาเบาๆ รอยประทับได้ผ่านการทำความสะอาดมาแล้วสองครั้ง จึงจางลงแล้วไม่น้อย ต่อไปนี้หากมีใครพบว่ารอยประทับถูกลบออกไปแล้ว ก็ยังมีข้อแก้ต่างอยู่หนึ่งข้อเช่นกัน

“คุณหนู เวลาล่วงมาจนถึงตอนนี้แล้ว ท่านยังปกป้องตระกูลมู่หรงเช่นนี้อยู่อีกหรือเจ้าคะ?”

พอเถ้าแก่อู๋ได้ยินคำพูดของมู่หรงจิ่น เขาก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมา ตระกูลมู่หรงรังแกผู้อื่นมากเกินไปแล้วจริงๆ ในตอนแรกพวกเขาเมินเฉยต่อเสิ่นหว่านชิงซึ่งเป็นผู้หญิงที่ทำการค้า ตอนนี้ก็ปฏิบัติต่อมู่หรงจิ่นอย่างโหดร้ายทารุณเพราะรูปลักษณ์ของนางอีก!

“เถ้าแก่อู๋ แม้ว่าข้าจะอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากในตระกูลมู่หรง แต่ถึงอย่างไรข้าก็ยังเป็นบุตรีของตระกูลมู่หรง ตราบใดที่ข้ากับตระกูลมู่หรงยังมีความเกี่ยวข้องกันอยู่ ข้าก็ไม่สามารถทำเป็นไม่สนใจใยดีต่อชื่อเสียงของตระกูลมู่หรงได้"

สิ่งที่มู่หรงจิ่นพูดเป็นความจริง นางยังไม่มีหนทางออกมาจากตระกูลมู่หรงด้วยตัวของตัวเอง ดังนั้นนางจึงต้องระมัดระวัง หากมู่หรงเซิ่งรู้ว่านางไปหาหมอข้างนอก ถึงเวลานั้นสถานการณ์ของตนเองมีแต่จะยิ่งยากลำบากมากขึ้นเท่านั้น

“เป็นข้าน้อยเองที่มุทะลุไปพักหนึ่ง ข้าน้อยเพียงแต่รู้สึกน้อยใจต่อคุณหนูที่ยังต้องอดทนกับเรื่องทั้งหมดนี้ต่อไปน่ะขอรับ!”

เถ้าแก่อู๋ถูกคำพูดของมู่หรงจิ่นทำให้ตกตะลึงไปเสียแล้ว เขาคิดไม่ถึงเลยว่า มู่หรงจิ่นจะเป็นคนคิดอะไรได้รอบรอบเช่นนี้ ดูไม่เหมือนเด็กสาวอายุสิบหกปีเลยคนหนี่งเลยสักนิด

“เถ้าแก่อู๋ ข้าอดทนมาสิบหกปีแล้ว จะทนต่อไปอีกสักหน่อยจะเป็นไรไป ข้าเลิกคาดหวังมาตั้งนานแล้วว่าตระกูลมู่หรงจะปฏิบัติต่อข้าด้วยความกรุณา จากบทเรียนแห่งความล้มเหลวของแม่ข้าและประสบการณ์ในช่วงสิบหกปีที่ผ่านมานี้ของข้า ทำให้ข้าไม่คาดหวังอะไรกับตระกูลมู่หรงอีกต่อไปแล้ว!

และตอนนี้ข้าก็โตแล้ว ข้าเข้าใจหลักเกณฑ์ที่ว่าจะต้องพึ่งตัวเองในทุกๆเรื่องแล้ว ขอเพียงแค่ข้าแข็งแกร่งขึ้น ก็จะไม่มีใครรังแกข้าได้อีกและข้าก็จะสามารถปกป้องตัวเองและคนที่ข้าอยากจะปกป้องได้!”

มู่หรงจิ่นลูบถ้วยชาที่อยู่ในมือเบาๆ เสียงนั้นดูเหมือนกับว่าดังมาจากที่ไกลๆ มันดังก้องสะท้อนอยู่ในห้องที่เงียบสงบและว่างเปล่า จนทำให้ผู้คนรู้สึกว่าไม่เป็นความจริง

ในห้องนี้ไม่มีเสียงใดๆเลยอยู่นานมาก มู่หรงจิ่นเบนสายตามองไปที่เถ้าแก่อู๋ ราวกับว่าในขณะนี้เขาได้ยินความลับที่ยิ่งใหญ่อะไรเข้าแล้วอย่างไรอย่างนั้น เขาตะลึงงันอยู่กับที่ และจ้องมองที่มู่หรงจิ่นอย่างงุนงง

แล้วแม่นมหลี่ที่ยืนอยู่ข้างหลังก็สะอึกสะอื้นขึ้นมา “คุณหนู”

“แน่นอนว่า ข้ายังต้องการความช่วยเหลือจากพวกเจ้า!”

มู่หรงจิ่นยิ้มอย่างสวงงาม หรือว่าสองคนนี้จะถูกคำพูดของตนเองทำให้ตกใจไปเสียแล้ว?

“ในที่สุดคุณหนูก็คิดได้แล้ว! คุณหนูมีความตั้งใจที่แน่วแน่เช่นนี้ ข้าน้อยก็รู้สึกปลื้มปิติยิ่งนัก! ข้าน้อยจะนำคำพูดเหล่านี้ของคุณหนูไปถ่ายทอดให้ผู้จัดการและเถ้าแก่คนอื่นๆได้รับทราบ เชื่อว่าพวกเขาจะต้องทุ่มเทสติปัญญาทำงานเพื่อคุณหนูจนสุดชีวิตเช่นเดียวกับข้าอย่างแน่นอน! “

เถ้าแก่อู๋ใช้เวลาสักครู่จึงจะมีสติกลับมา ก่อนหน้านี้เสิ่นหว่านชิงถูกคำพูดที่หวานไพเราะของมู่หรงเซิ่งทำให้หลงใหล และไม่เคยถามเรื่องทรัพย์สินเลย

สิบหกปีที่ผ่านมานี้ มู่หรงจิ่นก็ไม่ได้สนใจใยดีพวกเขาเหล่านี้กับทรัพย์สินเช่นกัน หัวใจของพวกเขาก็เย็นชาลงอย่างช้าๆไปตั้งนานแล้ว

แต่คิดไม่ถึงเลยว่า ในเวลานี้มู่หรงจิ่นจะพูดคำนี้ออกมา แม้ว่ามันจะฟังดูขัดกับหลักทำนองครองธรรมอยู่บ้าง แต่มันก็ดีกว่าการพึ่งพาอาศัยตระกูลมู่หรงตลอดเวลา และสุดท้ายก็ต้องตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกันกับเสิ่นหว่านชิงอย่างนั้นหรือ?

อีกประการหนึ่ง ไม่ว่าอย่างไรมู่หรงจิ่นก็เป็นผู้หญิง ต่อให้นางจะกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งมากสักเพียงใด ก็ทำได้เพียงการขยายกิจการให้ขยายใหญ่ขึ้นและมีทรัพย์สินเงินทองมากขึ้นเป็นเท่าตัวเท่านั้น แม้ว่าประเพณีนิยมของสังคมนี้จะดูแคลนพ่อค้า แต่กลับไม่ได้ดูแคลนเงินตราเลย!

“เช่นนั้น ก็รบกวนเถ้าแก่อู๋แล้ว! เถ้าแก่อู๋ได้โปรดช่วยข้าถ่ายทอดคำกล่าวไปถึงเถ้าแก่คนอื่นๆให้รับทราบด้วยเถิดว่า หากวันหน้ามีเวลาว่าง ข้าจะไปเยี่ยมเยียนพวกเขาที่ร้าน!”

มู่หรงจิ่นรู้ว่า คนอื่นๆก็เกรงว่าจะเป็นเหมือนกับเถ้าแก่อู๋เช่นกัน คิดว่าตัวเองเป็นคนที่ไม่เป็นโล้เป็นพายและไร้ประโยชน์ ซึ่งเรื่องนี้จะไปตำหนิพวกเขาก็ไม่ได้

หลังจากที่เสิ่นหว่านชิงแต่งงานเข้าไปอยู่ในจวนมู่หรง นางก็ไม่มีความคิดที่จะไปสนใจดูแลกิจการเลย แม้แต่สมุดบัญชีที่ผู้จัดการและเถ้าแก่ส่งมาให้นางก็ไม่ดูเลยด้วยซ้ำ

ต่อมาเมื่อเสิ่นหว่านชิงให้กำเนิดมู่หรงจิ่น ยังไม่ได้อยู่เดือนนางก็เสียชีวิตไปด้วยภาวะซึมเศร้า พวกเขาถึงกับถูกตระกูลมู่หรงห้ามไม่ให้เข้าจวนมาแสดงความเสียใจอีกด้วย!

จากนั้นต่อมา เมื่อมู่หรงจิ่นอายุเจ็ดแปดขวบ เถ้าแก่และผู้จัดการทุกท่านก็เริ่มคิดหาวิธีที่จะได้ติดต่อกับมู่หรงจิ่นซึ่งอาศัยอยู่ลึกเข้าไปในเรือนด้านในของจวนมู่หรง

น่าเสียดาย! จดหมายทั้งหมดที่ส่งไปหายเข้ากลีบเมฆ!

ถึงกระนั้น ตอนนี้พวกเขาก็ยังสามารถยืนหยัดรักษาตำแหน่งน้าที่ของตนเองได้อย่างเหนียวแน่น ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่ควรค่าให้รู้สึกซาบซึ้งใจต่อมู่หรงจิ่น

“ข้าน้อยจะถ่ายทอดมันออกไปอย่างแน่นอน!”

เมื่อเถ้าแก่อู๋ได้ยินมู่หรงจิ่นพูดเช่นนี้ เขาก็คิดว่ามู่หรงจิ่นมีความตั้งใจที่จะมาดูแลกิจการแล้วจริงๆ

“แล้วก็ ตอนที่เถ้าแก่อู๋กำลังมองหาวิธีรักษารอยประทับอยู่ ให้สืบดูสถานการณ์ของโรงหมอและร้านขายยาใหญ่ๆแต่ละร้านในเมืองหลวงสักหน่อยนะ”

มู่หรงจิ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูด

“ได้ขอรับ ข้าน้อยจำไว้แล้ว!”

แม้ว่าเถ้าแก่อู๋จะรู้สึกงุนงงอยู่บ้าง แต่คิดๆดูแล้วคุณหนูท่านนี้ไม่ใช่คนที่โฉดเขลาเบาปัญญาเลย นางอยากให้สืบดูแสดงว่านางจะต้องมีแผนการของนางอย่างแน่นอน

“ข้าออกมานานเกินไปแล้ว ควรกลับไปได้แล้ว!”

เมื่อมู่หรงจิ่นเห็นว่าเป้าหมายของวันนี้สำเร็จลุล่วงแล้ว และนางก็ไม่สามารถออกมาข้างนอกนานเกินไปได้ นางจึงลุกขึ้น

“ข้าจะให้คนเตรียมรถม้าส่งท่านกลับไปนะขอรับ!”

เถ้าแก่อู๋ก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน แล้วพูดกับมู่หรงจิ่น

“ไม่ต้องหรอก ข้าออกมาในฐานนะสาวใช้ นั่งรถม้ามันจะดึงดูดความสนใจมากเกินไปน่ะ”

มู่หรงจิ่นปฏิเสธข้อเสนอของเถ้าแก่อู๋ แล้วจึงมองเห็นผ้าสองพับที่ตนเองนำออกมาด้วย

“ผ้าสองพับนี้ ยังต้องขอรบกวนให้เถ้าแก่อู๋ส่งไปที่ร้านตัดเสื้อให้เสียแล้ว!”

มู่หรงจิ่นคิดว่าเสื้อผ้าของตัวเองล้วนแต่ค่อนข้างเก่าและสั้นไปหน่อยแล้วจริงๆ ในเมื่อเป็นผ้าที่ดีที่สุด ก็อย่าทิ้งไปให้เสียเปล่าเลย

เถ้าแก่อู๋รีบตอบรับอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นก็คอยส่งมู่หรงจิ่นกับแม่นมหลี่จนออกไปจากชิงเฟิงสวีไหลแล้ว

“เถ้าแก่อู๋ นั่นคือคุณหนูของบ้านไหนหรือขอรับ?”

เมื่อพนักงานเห็นมู่หรงจิ่นออกไปแล้ว เขาก็ก้าวไปข้างหน้าและถามขึ้นมาในทันที

“ห้ามบอกใครเรื่องที่คุณหนูมาที่ร้านในวันนี้เชียวนะ เข้าใจไหม?”

ในขณะที่เถ้าแก่อู๋กำลังมองดูท่าทางที่อยากรู้อยากเห็นเรื่องผู้อื่นมากของพนักงาน เขาก็ไม่คิดที่จะเปิดเผยสถานะของมู่หรงจิ่นออกมาเลย

พนักงานเกาศีรษะพร้อมกับเปล่งเสียง“อ่า”ออกมาหนึ่งคำและมองเถ้าแก่อู๋ด้วยความไม่เข้าใจ

“เอาผ้าสองพับนี้ไปส่งให้ถึงร้านตัดเสื้อที่ดีที่สุดในเมืองหลวง!”

เถ้าแก่อู๋พูดพร้อมกับวางผ้าเอาไว้บนมือของพนักงาน

พนักงานมองไปที่ภาพเงาด้านหลังของเถ้าแก่อู๋ที่เดินออกไปอย่างหน้านิ่วคิ้วขมวด ถ้ารู้อย่างนี้เขาก็คงไม่ถามมากแล้ว ตอนนี้เขายังต้องไปที่ร้านตัดเสื้ออีกเที่ยวหนึ่ง!

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นวลชายาหยกงามของท่านอ๋องจอมมาร