นวลชายาหยกงามของท่านอ๋องจอมมาร นิยาย บท 25

เสี่ยวหลิงไม่เคยเห็นหน้าตาที่ปราศจากรอยประทับของมู่หรงจิ่นมาก่อน และยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่เคยเห็นท่าทางที่ยิ้มออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจของมู่หรงจิ่นมาก่อนเลยด้วย!

รอยประทับสีดำที่อยู่บนใบหน้าด้านซ้ายของมู่หรงจิ่นหายไปอย่างไร้ร่อยรอยโดยสมบูรณ์แล้ว! ผิวหนังของใบหน้าด้านซ้ายเหมือนกับใบหน้าด้านขวาไม่มีผิด นอกจากความขาวซีดที่มีอยู่เล็กน้อยแล้ว อย่างอื่นก็ปกติดีทั้งหมด!

รอยยิ้มที่บางเบาของนางในเวลานี้ ราวกับกล้วยไม้ผีเสื้อที่เต้นระบำอย่างสวยงาม ความมืดสลัวที่อยู่โดยรอบก็ไร้สีสันไปเสียแล้ว!

รอยประทับที่อัปลักษณ์ที่ติดตามมู่หรงจิ่นมาสิบหกปีรอยนั้น รอยประทับที่ทำให้มู่หรงจิ่นถูกชาวโลกหัวเราะเยาะและถูกรังแกรอยนั้น รอยประทับที่ทำให้มู่หรงจิ่นตกอับจนถึงตอนนี้รอยนั้น

คิดไม่ถึงเลยว่ามันจะหายไปแล้วอย่างไม่มีมูลเหตุ!

จะให้แม่นมหลี่กับเสี่ยวหลิงยอมรับสิ่งนี้ได้อย่างไร?

ในขณะที่มู่หรงจิ่นกำลังมองดูท่าทางที่ไม่อยากจะเชื่อของพวกนาง นางจึงจำเป็นต้องอดทนรอให้พวกเขามีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา

“คุณหนู รอย......ที่อยู่บนใบหน้าท่าน มันเกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ?”

ผ่านไปไม่นาน แม่นมหลี่จึงมีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมาจากความตกใจ และยังคงไม่ละสายตาจากมู่หรงจิ่น

มู่หรงจิ่นในเวลานี้ผิวพรรณดั่งหิมะ แม้ว่าจะขาวซีดเล็กน้อย แต่กลับเกลี้ยงเกลาและกระชับ ไม่แตกต่างจากเด็กผู้หญิงทั่วไปเลย!

ภายใต้คิ้วเรียวบางสีดำอ่อนคู่หนึ่ง มีดวงตาดอกท้อที่แดงระเรื่อเล็กน้อย ดั้งจมูกที่อิ่มเอิบและโด่ง และริมฝีปากที่เล็กกระจุ๋มกระจิ๋ม

หากกล่าวว่านางเป็นเด็กสาวที่สวยงามคนหนึ่งก็ไม่เกินจริงเลยสักนิด!

ใบหน้าหลังจากที่ได้ลบรอยประทับออกไปแล้วของมู่หรงจิ่นนั้นมีความคล้ายกับเสิ่นหว่านชิงเมื่อยังเยาว์วัยอยู่สามส่วน เสิ่นหว่านชิงเป็นผู้หญิงเจียงหนานแบบฉบับทั่วไป

รูปลักษณ์ภายนอกก็จะมีความความละเอียดอ่อนและอ่อนโยนแบบผู้หญิงเจียงหนานเช่นกัน ซึ่งคิ้วเรียวบางคู่นั้นของมู่หรงจิ่นก็ได้สืบทอดมาจากเสิ่นหว่านชิง

แต่จมูกนั้นกลับเล็กกระจุ๋มกระจิ๋มแตกต่างจากเสิ่นหว่านชิงอย่างสิ้นเชิง ดูเหมือนว่าพอรวมบุคลิกอันองอาจห้าวหาญของมู่หรงเซิ่งเข้าไปด้วยแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่านางจะสวยกว่าเสิ่นหว่านชิงอยู่สองสามส่วน!

“ใช่เจ้าค่ะ คุณหนู ท่านรีบบอกเรามาเร็วๆเลยนะเจ้าคะ ว่านี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น!”

เสี่ยวหลิงพยักหน้าอย่างรวดเร็ว นางก็อยากทราบเช่นกันว่า รอยประทับที่อยู่บนใบหน้าของมู่หรงจิ่นหายไปอย่างกระทันหันได้อย่างไร!

“เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ข้าก็จะไม่ปิดบังพวกเจ้าแล้ว! รอยประทับที่อยู่บนใบหน้าข้า ถูกข้าลบออกไปแล้ว”

มู่หรงจิ่นมองว่าแม่นมหลี่กับเสี่ยวหลิงเป็นเพื่อนและคนในครอบครัวมาตั้งนานแล้ว

ในเมื่อได้กำหนดแผนแสดงความสามารถแล้ว ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะขอให้พวกนางช่วยเหลือ ไม่ช้าก็เร็วพวกนางก็ต้องทราบอยู่ดี ไม่สู้สารภาพออกไปให้เร็วกว่านี้หน่อยจะดีกว่า พวกนางจะได้มีความมั่นใจเวลาทำงานด้วย

“วิธีการที่เถ้าแก่อู๋เสาะหามาให้ข้านั้นมีประสิทธิภาพมากทีเดียว ข้าพยายามอยู่ถึงสิบวัน คิดไม่ถึงเลยว่ารอยประทับจะหายไปหมดแล้วจริงๆ!”

“เหตุใดคุณหนูถึงไม่บอกข้าน้อยเลยล่ะเจ้าคะ? แบบนี้ข้าน้อยจะได้คอยช่วยท่านอยู่ข้างๆอย่างไรเล่าเจ้าคะ!”

แม่นมหลี่นึกถึงวันนั้นขึ้นมาได้ มู่หรงจิ่นขอให้เถ้าแก่อู๋ช่วยหาวิธีรักษารอยประทับให้นางจริงๆ

นางคิดว่าใบสั่งยาที่เถ้าแก่อู๋สามารถหามาได้ อย่างมากที่สุดก็ทำให้รอยประทับจางลงหรือไม่อัปลักษณ์ขนาดนั้น แต่คิดไม่ถึงเลยว่ามันจะได้ผลชะงัดขนาดนี้ และไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้เลยสักนิด!

“อันที่จริงข้าก็ไม่แน่ใจว่าวิธีนี้จะได้ผลหรือไม่ ถ้าไม่ได้ผล จะไม่ทำให้พวกเจ้าดีใจกันเสียเปล่าๆหรอกหรือ!”

แน่นอนว่ามู่หรงจิ่นไม่เคยคิดที่จะบอกพวกนาง เพราะวิธีที่นางใช้ไม่ใช่วิธีที่เถ้าแก่อู๋เสาะหามาให้ตัวเองเลย ถ้าให้พวกนางเห็นแล้ว หลังจากนั้นก็ไปพูดเรื่องนี้ต่อหน้าเถ้าแก่อู๋ขึ้นมา มันจะไม่เป็นการยกหินทับขาตัวเองหรอกหรือ?

“คุณหนู ท่านเป็นคนดูแลบาดแผลและปรุงยาด้วยตัวเองหรือเจ้าคะ? ท่านรู้วิชาแพทย์ด้วยหรือเจ้าคะ?”

เสี่ยวหลิงถามด้วยความประหลาดใจ ที่จริงแล้วนางก็อยากจะถามคำถามนี้มานานมากแล้ว

ตั้งแต่ตอนที่มู่หรงจิ่นรู้ว่าหลิวเหม่ยน่าส่งยาพิษให้ ไปจนถึงตอนที่ตัวเองได้รับบาดเจ็บ มู่หรงจิ่นก็เขียนใบสั่งยาไปรับยามารักษาอาการบาดเจ็บของตัวเองแล้ว และจนถึงตอนนี้ มู่หรงจิ่นก็กำจัดรอยประทับบนใบหน้าของตัวเองได้แล้ว

“อืม ตอนนี้ก็พอรู้บ้างแล้ว ตอนเด็กๆข้าไม่รู้เรื่องรู้ราว และไม่สนใจเรียนวิชาแพทย์เลย แต่พอโตขึ้นเรื่อยๆ ได้อ่านหนังสือแพทย์มาบ้างแล้ว ก็เลยมีใจที่อยากจะเรียนวิชาแพทย์ให้เก่งขึ้นแล้ว”

มู่หรงจิ่นยังต้องขอบคุณเจ้าของร่างเดิม แม้ว่านางจะถูกคนหัวเราะเยาะว่า “สมองทึบในการเรียนวิชาแพทย์” แต่นางกลับยังยืนกรานที่จะอ่านหนังสือทางการแพทย์ ถ้าบอกว่าตัวเองรู้วิชาแพทย์นิดหน่อยแบบนี้ แม่นมหลี่ กับเสี่ยวหลิงก็จะไม่สงสัยด้วย

“คุณหนู! แล้วเหตุใดท่านถึงไม่บอกนายท่านล่ะเจ้าคะ? บอกว่าแท้จริงแล้วท่านรู้วิชาแพทย์ เหตุใดท่านต้องแบกรับชื่อเสียงอันฉาวโฉ่เอาไว้ด้วยเจ้าคะ?”

ในเวลานี้แม่นมหลี่น้ำตาไหลเต็มหน้าไปเสียแล้ว แม้แต่ตัวนางเองก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะว่านางตื้นตันใจ หรือเป็นเพราะว่านางรู้สึกเสียใจที่มู่หรงจิ่นต้องพยามยามอดทนมาตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้กันแน่

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้มู่หรงจิ่นไม่ได้เปิดเผยความคิดของตนเองง่ายๆ และนางก็ไม่เคยบ่นกับตัวเองและเสี่ยวหลิงสักสองสามประโยคเลยเช่นกัน คิดไม่ถึงเลยว่านางต้องอดทนต่อการกลั่นแกล้งรังแกที่อยู่รอบตัวนางและต้องเรียนวิชาแพทย์ภายใต้แรงกดดันอันมหาศาลมาโดยตลอดแบบนี้ นางผ่านมาได้อย่างไรกันแน่นะ?

“แม่นมหลี่ ท่านแม่สิ้นใจไปนานแล้ว ท่านพ่อก็ไม่สนิทกับข้า ข้าเรียนรู้ได้ช้า ท่านพ่อก็เลยผิดหวังในตัวข้าไปตั้งนานแล้ว น้องรองฉลาดกว่าข้า ถ้าข้าบอกไปแล้ว ท่านพ่อเชื่อข้าหรือ? ถ้าเชื่อแล้ว จะเปลี่ยนอะไรได้อีกหรือ?”

สิ่งที่มู่หรงจิ่นพูดคือความจริง ชีวิตที่น่าสังเวชในช่วงสิบหกปีที่ผ่านมาของนาง ไม่เพียงแต่เป็นเพราะว่านางเป็น“เศษขยะ”เท่านั้น แต่เป็นเพราะว่ามู่หรงเซิ่งไม่ชอบตัวเอง หลิวเหม่ยน่าคอยยุยงส่งเสริมอยู่ในนั้น ส่วนมู่หรงเหยาก็พยายามข่มนาง นางจึงกลายเป็น “เศษขยะ”!

“คุณหนู! คุณหนูของข้า! ทำให้ท่านต้องลำบากแล้ว!”

แม่นมหลี่กอดมู่หรงจิ่นเอาไว้ แล้วร้องไห้ด้วยความเสียใจเป็นอย่างยิ่ง ก่อนหน้านี้นางคิดเพียงว่ามู่หรงจิ่นอ่อนแอมากเกินไป ไม่เคยไปช่วงชิงอะไรกับใคร จึงมีชีวิตที่ลำบากยากแค้นอย่างตอนนี้

“แม่นมหลี่ เสี่ยวหลิง ข้าอดทนกับทุกอย่าง แต่ท่านป้าหลิวกับน้องรองก็ยังไม่ยอมปล่อยข้าไป ข้าไม่อยากถูกใครรังแกอีกต่อไปแล้ว! ดังนั้นข้าจึงไม่อยากทนอีกต่อไปแล้ว ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปข้าจะต่อต้านพวกเขา!”

ความมุ่งมั่นที่อยู่ในดวงตาของมู่หรงจิ่น และลมปราณที่กระจายไปทั่วร่าง ล้วนทำให้ผู้คนเคารพยำเกรง

“คุณหนูวางใจได้! ไม่ว่าอย่างไรก็ตามข้าน้อยจะช่วยคุณหนูทุกเรื่องเจ้าค่ะ! ตายเป็นหมื่นครั้งก็ไม่หนี!”

วันนั้นแม่นมหลี่ได้ยินความตั้งใจของมู่หรงจิ่นตอนที่อยู่ในสาขาย่อยของชิงเฟิงสวีไหลแล้ว แม้ว่าในฐานะผู้หญิงคนหนึ่ง มีแนวคิดเช่นนี้ช่างเหลวไหลเกินไปแล้วจริงๆ!

แต่มู่หรงจิ่นแตกต่างจากผู้หญิงทั่วไป แม้ว่าตัวนางจะอยู่ในตระกูลมู่หรง แต่นางกลับถูกผู้อื่นควบคุมจากทั่วทุกที่ ตลอดสิบหกปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นมู่หรงจิ่นหรือพวกนางล้วนแล้วแต่ต้องอดกลั้นเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่สุท้ายมันกลับเป็นการเสริมความยโสโอหังของหลิวเหม่ยน่าและมู่หรงเหยาไปเสียแล้ว!

ในเมื่อมู่หรงจิ่นไม่อยากเป็นเนื้อปลาที่อยู่บนเขียงของคนอื่นอีกต่อไป เช่นนั้นตัวเองก็จะต้องกลายเป็นผู้ช่วยและบันไดแห่งความก้าวหน้าของมู่หรงจิ่น คอยช่วยนางอีกแรงหนึ่งอย่างแน่นอน

“เสี่ยวหลิงก็จะเชื่อฟังคุณหนูและไม่มีวันทรยศหักหลังคุณหนูเด็ดขาด!”

เสี่ยวหลิงเช็ดน้ำตาที่อยู่บนใบหน้าไปมา แล้วคุกเข่าลงบนพื้น

“ดี! ข้ามู่หรงจิ่นสัญญากับพวกเจ้าเช่นกันว่า หนึ่งวันที่มีข้าอยู่ ข้าจะปกป้องพวกเจ้าทุกเรื่องอย่างแน่นอน!”

มู่หรงจิ่นรู้ว่าตอนนี้สมรรถภาพของตัวเองมีจำกัด แต่ถ้าแม้กระทั่งคนสนิทของตัวเองนางก็ปกป้องไม่ได้ ยังจะมีหน้ามาพูดว่าจะตอบโต้กลับไปได้อย่างไร?

“เช่นนั้นวันนี้คุณหนูจึงอยากจะออกไปข้างนอกเพื่อหารือกับเถ้าแก่อู๋ใช่ไหมเจ้าคะ?”

แม่นมหลี่เปลี่ยนใจแล้วในเวลานี้ และหัวสมองของนางก็ชัดเจนปลอดโปร่งขึ้นมากแล้วเช่นกัน

“อืม มีเรื่องหนึ่งที่จำเป็นต้องออกไปทำสักครั้ง เจ้าคอยเฝ้าดูเรือนจิ่นยู่ด้วยนะ ถ้าน้องรองหรือน้องหญิงซินมา เจ้าก็บอกว่าข้าไม่สบาย ล้มหมอนนอนเสื่ออยู่”

มู่หรงจิ่นกำชับแม่นมหลี่เอาไว้แล้วสองสามประโยค

“คุณหนูวางใจได้! ข้าน้อยจะต้องดูเรือนจิ่นยู่ให้ดีและจะไม่วันยอมให้เกิดเรื่องอะไรเกิดขึ้นอย่างแน่นอน!”

น้ำเสียงที่แม่นมหลี่พูดในขณะนี้แตกต่างจากน้ำเสียงในเวลาปกติทั้งหมดแล้ว มู่หรงจิ่นรู้สึกปลื้มใจอย่างสุดซึ้ง

“เสี่ยวหลิง ช่วยทำผมให้ข้าหน่อย!”

มู่หรงจิ่นชี้ไปที่ผมอันสวยงามพาดอยู่ด้านหลังของตัวเอง

“เจ้าค่ะ!”

เสี่ยวหลิงรีบก้าวไปข้างหน้า ใช้ริบบิ้นสีทอง เกล้าผมยาวๆของมู่หรงจิ่นขึ้นมา แล้วมัดเอาไว้บนศีรษะ

“คุณหนู! ท่านทำผมแบบนี้หล่อมากเลยเจ้าค่ะ!”

เสี่ยวหลิงกำลังมองมู่หรงจิ่นที่อยู่ในกระจก ถ้าบอกว่ามู่หรงจิ่นที่สวมผ้าคลุมหน้าเมื่อสักครู่นี้คือท่านชายที่ยากจะแยกออกว่าเป็นชายหรือหญิง เช่นนั้นมู่หรงจิ่นในตอนนี้ก็เป็นเหมือนกับทายาทของตระกูลสูงศักดิ์ในราชสำนักผู้หล่อเหลา สูงส่งจนผู้คนอยากเข้าหา!

“เช็ดน้ำลายแล้วไปเปลี่ยนเสื้อผ้าซะ!”

มู่หรงจิ่นกล่าวด้วยรอยยิ้ม เสี่ยวหลิงจึงหอบเสื้อผ้าผู้ชายอีกชุดหนึ่งไปเปลี่ยนแล้วด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ

“คุณหนู ท่านออกไปข้างนอกต้องระวังตัวให้ดีในทุกเรื่องนะเจ้าคะ!”

เมื่อแม่นมหลี่เห็นท่าทางนั้นของเสี่ยวหลิงเมื่อสักครู่นี้ นางก็รู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อย

“ไม่เป็นไรหรอก ข้าบอกเถ้าแก่อู๋เรียบร้อยแล้ว ว่าให้รออยู่ประตูหลัง เขาจะติดตามข้าไปด้วย”

“เช่นนั้นก็ดี!”

ในระหว่างที่แม่นมหลี่กำลังพูด เสี่ยวหลิงก็ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว

มู่หรงจิ่นกับเสี่ยวหลิงหลบการคุ้มกันเรือนของมู่หรงจิ่นมาตลอดทาง จนแอบออกจากประตูหลังของจวนมู่หรงได้แล้ว

มู่หรงจิ่นกับเสี่ยวหลิงเห็นชายอายุราวๆสี่สิบปีคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ข้างรถม้าที่ประตูหลัง มองเพียงแวบเดียวมู่หรงจิ่นก็เดินเข้าไปต้อนรับทันที

“คุณหนู?”

ในขณะที่เถ้าแก่อู๋กำลังมองดูมู่หรงจิ่นซึ่งมีรูปร่างท่าทางเหมือนเด็กหนุ่มอายุสิบสี่สิบห้าปีที่อยู่ตรงหน้า เขาก็ตกใจมาก เพราะบนใบหน้าของมู่หรงจิ่นไม่มีรอยประทับใดๆเลย!

“เถ้าแก่อู๋ ตอนนี้ข้าเป็นท่านชายแล้ว! มีเรื่องอะไรค่อยไปคุยกันในรถเถอะ!”

มู่หรงจิ่นมองไปรอบๆสักพักหนึ่ง พวกเขายืนอยู่ตรงนี้ดึงดูดสายตาของผู้คนมากเกินไปแล้ว

“ใช่! ข้าสะเพร่าแล้ว ท่านชาย เชิญ!”

มู่หรงจิ่นขึ้นไปบนรถม้า คนขับรถม้าบังคับม้า แล้วรถม้าก็เคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นวลชายาหยกงามของท่านอ๋องจอมมาร