นวลชายาหยกงามของท่านอ๋องจอมมาร นิยาย บท 26

รถม้าที่มีท่วงทำนองต่ำค่อยๆเคลื่อนตัวไปบนถนนของเมืองหลวง

ด้านในรถม้าแตกต่างจากด้านนอกรถม้าทั่วไป ด้านในบุด้วยผ้าไหมชั้นดี และเบาะรองนั่งก็ทำจากปุยฝ้ายจากเขตตะวันตกเช่นกัน ซึ่งนุ่มและอุ่น

นอกจากนี้ยังมีโต๊ะน้ำชาไม้หลีฮัวขนาดเล็กหนึ่งตัว ด้านบนมีอาหารว่างทุกประเภทวางอยู่เต็มไปหมด และยังมีชุดถ้วยชาลายครามที่มีลายดอกไม้สีน้ำเงินบนพื้นสีขาวอีกหนึ่งชุด ซึ่งงดงามและละเอียดอ่อนมาก

“เถ้าแก่อู๋ วันนี้ข้าแค่มาสำรวจตลาดเองนะ ไม่ต้องสิ้นเปลืองมันสมองขนาดนี้ก็ได้!”

มู่หรงจิ่นกำลังมองดูทุกรายละเอียดทุกจุดที่อยู่ในรถม้าคันนี้ เห็นได้ชัดว่ามันได้ผ่านการจัดเตรียมมาด้วยความตั้งใจอย่างถึงที่สุด

“นี่ล้วนเป็นสิ่งที่ข้าน้อยควรทำขอรับ!”

เถ้าแก่อู๋กำลังจ้องมองมู่หรงจิ่นอย่างไม่ละสายตา จนใกล้จะมองเห็นรูหนึ่งรูแล้ว

“คุณหนู บนใบหน้าท่าน......ดูเหมือนว่าจะหายดีแล้วนะขอรับ!”

อันที่จริงเมื่อไม่กี่วันก่อนเถ้าแก่อู๋ได้หาใบสั่งยาเทียบหนึ่งที่จะให้มู่หรงจิ่นพบแล้ว แต่เขาไม่แน่ใจว่าใบสั่งยานั้นมีประสิทธิภาพหรือไม่ คิดไม่ถึงเลยว่ามันจะมีประสิทธิภาพจริงๆ!

มู่หรงจิ่นที่อยู่เบื้องหน้าเขามัดผมสีดำขึ้น และใบหน้าที่ขาวผ่องสวยงามไม่มีตำหนิเลยสักนิด! ถ้าไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้เขาได้ยินมู่หรงจิ่นยอมรับว่าตนเองมีรอยประทับจากปากนางเอง เขาก็ไม่กล้าเชื่อว่าใบหน้าที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้ จะเคยมีรอยประทับสีดำขนาดใหญ่รอยหนึ่ง!

“ขอบคุณเถ้าแก่อู๋มากจริงๆ! รอยประทับถูกลบไปแล้ว!”

มู่หรงจิ่นเอาความตื่นตระหนกตกใจของเถ้าแก่อู๋มาไว้ในสายตา แล้วพยักหน้าแสดงความขอบคุณเล็กน้อย

“มหัศจรรย์มากเลย! คิดไม่ถึงเลยว่าใบสั่งยานั่นยอดเยี่ยมเช่นนี้!”

แม้ว่าเถ้าแก่อู๋จะเห็นด้วยตาของตนเองแล้ว แต่เขาก็ยังรู้สึกทอดถอนใจอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้

“บางทีใบสั่งยานั่นอาจจะใช้กับรอยบนใบหน้าของข้าได้เหมาะสมพอดีก็ได้ ถ้าหากเป็นอาการอื่นๆ อาจจะใช้ไม่ได้ผลก็ได้! อย่างไรก็ตามขอเพียงแค่จ่ายยาให้ตรงกับโรค จึงจะเป็นใบสั่งยาที่ถูกต้อง”

เพราะตัวเองต้องการจะป้องกัน มู่หรงจิ่นจึงไม่อยากให้เถ้าแก่อู๋คิดว่าใบสั่งยาที่เขาให้มานั้นสามารถกำจัดรอยประทับใดๆออกไปได้ทั้งหมด ถ้าคนอื่นนำไปใช้แล้วไม่ได้ผล ก็จะสร้างปัญหาที่ไม่จำเป็นมากมายขึ้นมาได้

“คุณหนูพูดได้ถูกต้องมาก!”

ตระกูลมู่หรงเป็นตระกูลหมอหลวง คิดว่ามู่หรงจิ่นอยู่ในจวนมู่หรงจะต้องรู้วิชาแพทย์อยู่บ้างไม่มากก็น้อย ในเมื่อมู่หรงจิ่นพูดเช่นนี้ เถ้าแก่อู๋ก็เลยเชื่อนาง

“เถ้าแก่อู๋ วันนี้ข้าแต่งชุดผู้ชายอยู่ เรียกข้าว่า'คุณหนู'อีกคงไม่ดีแล้ว! เรียกข้าว่า'ท่านชาย'เถอะ ท่านชายเสิ่น”

เมื่อมู่หรงจิ่นเห็นว่าเถ้าแก่อู๋เชื่อคำพูดของตัวเองแล้ว นางก็วางใจแล้ว

“ท่านชายเสิ่นรึ?”

เถ้าแก่อู๋คิดไม่ถึงเลยว่ามู่หรงจิ่นจะใช้แซ่ของตระกูลเสิ่น หรือเป็นเพราะเขาเคยพูดก่อนหน้านี้ว่า ได้อุทิศตนทำงานเพื่อตระกูลเสิ่นเป็นเกียรติของตนเองอย่างยิ่ง?

“บนตัวข้ายังมีสายเลือดของตระกูลเสิ่นไหลเวียนอยู่ ตอนที่ข้าใช้สถานะความเป็นชาย ข้าก็คือเสิ่นจิ่นไม่ใช่มู่หรงจิ่นแล้ว! จากนี้ไปข้าจะใช้สถานะของผู้ชายนี้—ซึ่งก็คือเสิ่นจิ่นมาดูแลกิจการ ถ้ามีใครถามขึ้นมา เถ้าแก่อู๋ก็ห้ามพูดผิดเชียวนะ!”

มู่หรงจิ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ถ้าอยากจะจะครอบครองสถานที่เล็กๆสักที่ในเมืองหลวง การใช้ชื่อ “มู่หรงจิ่น” ชื่อนี้นั้นง่ายที่จะถูกเปิดเผยเกินไป เกรงว่าตัวเองยังไม่ทันได้ตั้งหลักยืนให้มั่นคง ก็ถูกตระกูลมู่หรงพบเข้าแล้วใช่หรือไม่?

“ขอรับ! ท่านชาย!”

เถ้าแก่อู๋คิดดูแล้วก็คิดว่ามันก็ใช่นะ ความคิดมู่หรงจิ่นช่างละเอียดอ่อนจริงๆ!

มู่หรงจิ่นถามเถ้าแก่อู๋ถึงเรื่องบางเรื่องที่กล่าวถึงในจดหมายขึ้นมาอีกครั้ง ภายในรถม้าจึงดูเหมือนกับฉากที่ท่านชายจากตระกูลสูงศักดิ์กำลังปรึกษาหารือเรื่องต่างๆกับผู้จัดการมากทีเดียว

ถึงแม้ว่าเสี่ยวหลิงจะคอยดูอยู่ข้างๆ และฟังเนื้อหาที่พวกเขาพูดคุยกันไม่เข้าใจ แต่นางกลับเกิดความรู้สึกเลื่อมใสต่อมู่หรงจิ่นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

“ท่านชาย ผ่านไปอีกหนึ่งช่วงตึก ก็จะเป็นใจกลางของเมืองหลวงแล้วขอรับ!”

เถ้าแก่อู๋เปิดม่านรถม้าขึ้นมา มองดูสถานการณ์ข้างนอกแวบหนึ่ง หลังจากนั้นก็พูดกับมู่หรงจิ่น

“อืม นั่งรถม้าไม่สะดวกเลย อีกประเดี๋ยวเราลงจากรถม้าแล้วเดินไปกันเถอะ!”

มู่หรงจิ่นมาถึงที่นี่เป็นเวลากว่าครึ่งเดือนแล้ว แต่ทว่านอกจากไปเที่ยวงานโคมไฟในเทศกาลไหว้พระจันทร์แล้ว นางยังไม่เคยเห็นลักษณะของโลกใบนี้เลย นางจึงมีความคาดหวังอยู่ในใจเล็กน้อย!

“ข้างหน้าก็คือสำนักงานใหญ่ของชิงเฟิงสวีไหล ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ข้าได้ลองดำเนินระบบไถ่ถอนแบบกำหนดเวลาแล้ว ผลลัพธ์ที่ได้น่าทึ่งมาก! ได้รับความชื่นชมจากลูกค้าอย่างมาก ในเวลาเพียงห้าวัน จำนวนลูกค้าของชิงเฟิงสวีไหลก็มีมากกว่าเวลาปกติถึงสามเท่า และผลประโยชน์ที่ได้รับก็มีมากกว่าเวลาปกติถึงห้าเท่าเช่นกัน! ท่านชายจะไปดูสักหน่อยหรือไม่ขอรับ?”

ตอนที่เถ้าแก่อู๋พูดถึงระบบไถ่ถอนแบบกำหนดเวลา ดวงตาทั้งสองข้างก็เป็นประกายขึ้นมา เขาเคยพูดถึงสถานการณ์เหล่านี้กับมู่หรงจิ่นในจดหมายทั้งหมดแล้ว แต่พอนึกขึ้นมาได้ว่าระบบไถ่ถอนแบบกำหนดเวลานั้นได้รับผลประโยชน์มากขนาดนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะหยิบยกขึ้นมาพูด

“เถ้าแก่อู๋ดำเนินการข้าต้องวางใจอยู่แล้ว เพียงแต่ตอนนี้ข้ายังออกมาข้างนอกนานเกินไปไม่ได้ ข้าขอไปสำรวจดูก่อนก็แล้วกัน!”

ตอนที่มู่หรงจิ่นเสนอระบบไถ่ถอนแบบกำหนดเวลานี้ออกไปครั้งแรก นางก็รู้ว่าขอเพียงแค่ดำเนินการให้ดีๆ จะต้องได้รับการยอมรับและความนิยมจากชาวโลกได้อย่างแน่นอน

มู่หรงจิ่นกำลังมองดูชายอายุสี่สิบปีที่อยู่เบื้องหน้า แม้ว่าวิธีนี้จะดี แต่พอดำเนินการขึ้นมาก็สิ้นเปลืองกำลังอยู่บ้าง คิดว่าเถ้าแก่อู๋ก็คงทุ่มเทกับมันมากเช่นกัน!

“ขอรับ!”

ณ ใจกลางของเมืองหลวง

“ท่านชาย ถนนเส้นนี้ล้วนมีแต่ร้านตัดเสื้อทั้งหมด ส่วนด้านนั้นจะเป็นร้านขายเหล็ก......”

เถ้าแก่อู๋พยายามอธิบายสถานการณ์ของที่นี่ให้มู่หรงจิ่นฟังอย่างเต็มที่

ในเวลานี้มู่หรงจิ่นกำลังยืนอยู่ ณ จุดศูนย์กลางของที่นี่ สองฝากฝั่งของถนนมีแผงขายมากมาย สินค้าทุกประเภทล้วนแต่มีการซื้อมาขายไป แขกของโรงเตี๊ยมก็หลั่งไหลมาอย่างไม่ขาดสายเช่นกัน และในขณะที่มู่หรงจิ่นกำลังมองดูคนเดินถนนที่เดินไปเดินมาอยู่นั้น นางก็ทำท่าเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่

“ท่านชาย! ด้านนี้ก็คือโรงหมอ โรงหมอและร้านขายยาส่วนใหญ่ในเมืองหลวงรวมกันอยู่ที่นี่หมดแล้วขอรับ!”

เถ้าแก่อู๋ได้ทำลายสมาธิของมู่หรงจิ่นไปเสียแล้ว

มู่หรงจิ่นมองไปตามทิศทางที่เถ้าแก่อู๋ชี้ นั่นคือถนนที่สงบเงียบเล็กน้อยเส้นหนึ่ง

“ข้าได้พูดถึงสถานการณ์ของถนนเส้นนี้ให้ท่านฟังในจดหมายแล้ว ทั้งหมดมีโรงหมออยู่สามแห่ง และร้านขายยาสองร้าน ในจำนวนนี้จินหลิงถังเป็นโรงหมอที่รักษาให้ครอบครัวขุนนางตระกูลใหญ่ๆโดยเฉพาะ ส่วนถงซินถังกับมู่เชิงถังเป็นโรงหมอที่รักษาให้ชาวบ้านธรรมดาขอรับ”

เถ้าแก่อู๋พามู่หรงจิ่นเดินไปจนถึงถนนเส้นนี้ และกำลังดูโรงหมอสามแห่ง จินหลิงถังมีพื้นที่ใหญ่ที่สุด และการตกแต่งก็สวยหรูที่สุดเช่นกัน

เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ถงซินถังกับมู่เชิงถังที่อยู่ข้างๆก็ดูตระหนี่ขึ้นมาเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัดเลย

“โรงหมอทั้งสามแห่งมีหมอที่นั่งตรวจโรคผู้ป่วยแห่งละกี่คนหรือ?”

มู่หรงจิ่นมองไปที่จินหลิงถังแม้ว่ามันจะกว้างขวางและสวยหรู แต่กลับร้างผู้คน ถงซินถังกับ มู่เชิงถังที่อยู่ข้างๆคับแคบและไม่หรูหรา แต่ผู้คนกลับเนืองแน่น

“ในวันธรรมดาจินหลิงถังมีหมอนั่งตรวจโรคอยู่ในร้านหกคน และออกไปตรวจโรคนอกสถานที่สิบคน ถงซินถังมีหมอนั่งตรวจโรคอยู่สามคน และออกไปตรวจโรคนอกสถานที่หนึ่งคน มู่เชิงถังก็มีหมอนั่งตรวจโรคอยู่สามคนเช่นกัน และไม่มีหมอออกไปตรวจโรคนอกสถานที่ขอรับ!”

เถ้าแก่อู๋เอาข่าวที่ได้สืบทราบมาเล่าให้มู่หรงจิ่นฟัง

“บวกจำนวนตระกูลขุนนางในเมืองหลวงเข้าไป เกรงว่าจะยังน้อยกว่าหนึ่งในสิบของชาวบ้านธรรมดากระมัง แต่กลับมีหมอที่คอยรักษาพวกเขาสิบหกคน และชาวบ้านที่มีจำนวนมากกว่าคนของตระกูลขุนนางรวมกันถึงสิบเท่า กลับมีหมอรักษาพวกเขาเพียงเจ็ดคน”

มู่หรงจิ่นหัวเราะเยาะ การเปรียบเทียบที่ชัดเจนนี้ ช่างน่าขันเสียจริงๆ! ไม่ว่ายุคสมัยไหน ปรากฏการณ์ที่ผู้อ่อนแอเป็นเนื้อสมันผู้แข็งแรงเป็นเสือสมิงนี้ล้วนมีอยู่เสมอ

“นี่......”

แน่นอนว่าในขณะที่เถ้าแก่อู๋กำลังจะเอ่ยปากพูดหลังจากที่ได้ยินคำพูดเหน็บแนมที่ออกมาจากคำพูดของมู่หรงจิ่นแล้วนั้น เขาก็ได้ยินว่ามีเสียงพูดหนึ่งดังขึ้นมา

“รีบไสหัวไปซะ! ไม่มีเงินยังกล้ามาที่นี่ เจ้าคิดว่าจินหลิงถังเป็นสถานสงเคราะห์คนยากไร้หรืออย่างไร?”

มู่หรงจิ่นก็ได้ยินเสียงพูดนั้นแล้วเช่นกัน จึงเงยหน้าขึ้นไปมอง เป็นพนักงานของจินหลิงถังคนหนึ่งกำลังขับไล่แม่นางน้อยคนหนึ่งอยู่ โดยมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังนอนอยู่หน้าประตู

“มันจะเกินไปแล้วนะ!”

พอเสี่ยวหลิงได้เห็นเหตุการณ์เช่นนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากออกมา

“ในโลกนี้ก็เป็นเช่นนี้แหละ รังแกผู้อ่อนแอหวาดกลัวผู้แข็งแกร่ง หากเจ้าไม่แข็งแกร่งพอ เจ้าก็จะถูกกำหนดให้เป็นผู้ที่ถูกรังแกเช่นคนผู้นั้น!”

มือที่ห้อยอยู่ข้างลำตัวของมู่หรงจิ่นกระชับขึ้นเล็กน้อย

“ท่านชาย?”

เถ้าแก่อู๋กำลังมองไปที่มู่หรงจิ่นในขณะนี้ สายตานั้นเย็นชามากจนถึงขีดสุด แม้กระทั่งความกดอากาศที่อยู่รอบกายก็ลดต่ำลงหมดแล้ว

“ไปกันเถอะ!”

มู่หรงจิ่นคลายมือที่กำแน่นออก แล้วละสายตามองไปทางอื่น

“หยุดนะ!”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นวลชายาหยกงามของท่านอ๋องจอมมาร