พายุรักแห่งเม็ดทราย นิยาย บท 27

นาราภัทรเบิกตากว้างกับการร่วมรักแปลกใหม่ซาบซ่านมากกว่าเดิมโดยที่ทั้งตัวเธอและเจ้าชายซารีฟร์ยังคงนั่งอยู่บนเตียงนุ่ม ความจริงที่ว่าตนเองกำลังเป็นผู้นำขับเคลื่อนบรรเลงไฟรักทำให้รู้สึกตื่นเต้นลองขยับกายโลดแล่นร่ายรำเพลิงรักตามที่เจ้าชายหนุ่มได้เป็นครูชั้นดีครูคนเดียวที่สั่งสอนมอบประสบการณ์รักอันหวานฉ่ำให้

เจ้าชายซารีฟร์ถึงกับลืมหายใจเมื่อแก้วตาดวงใจได้ขยับโยกเคล้าคลึงโรมรันเพลงรักตามจังหวะทำนองที่สวรรค์ได้บรรจงเรียงตัวโน๊ตมาเพื่อเขาและเธอโดยเฉพาะ มือหนาโอบกอดดันแผ่นหลังเนียนให้ปทุมอิ่มบดเบียดแนบชิดกับแผงอกกว้างเพิ่มอรรถรสในเพลิงเสน่หามากยิ่งขึ้น คลื่นความหฤหรรษ์เร่าร้อนที่ซาซัดกระหน่ำสร้างความเสียวซ่านทั่วเรือนกายจนแทบแตกเป็นเสี่ยงๆ ขมวดแน่นรอการปะทุระเบิดเพราะพิษรักทำให้เขาต้องกระซิบเสียงแหบพร่าให้หญิงอันเป็นที่รักเพิ่มจังหวะบรรเลงเพลงรักให้รัวเร็วมากขึ้นกว่าเดิมโดยช่วยเพิ่มน้ำหนักให้หนักหน่วงดุดันมากยิ่งขึ้นด้วยการจับเอวบางไว้มั่นด้วยมือทั้งสองแล้วส่งพลังแรงรักลงไปให้นาราภัทรขยับโยกได้ดุดันเร่าร้อนทุกท่วงจังหวะทำนอง

“โอ...น้ำหนาว...วิเศษมาก”

“เจ้าชาย...”

เสียงครวญครางไม่ได้ศัพท์ดังขึ้นต่อเนื่องเมื่อคลื่นความหรรษาได้ซัดกระหน่ำจนเกือบถึงชายฝั่งและอีกไม่กี่นาทีต่อมาหนุ่มต่างก็กระตุกเฮือกโผเข้าบดจุมพิตดูดดื่มกลืนกินเสียงกรีดร้องแห่งความสุขสมรัญจวนใจที่แตกพร่าจนเรือนกายสั่นสะท้าน ดวงดาวที่สุกสกาวพร่างพราวทั่วฟากฟ้าลดลงกระจัดกระจายอยู่รายรอบตัวช่างดูงดงามแสนวิเศษยิ่งนัก

เจ้าชายซารีฟร์ผ่อนร่างบางให้เอนตัวลงนอนราบกับพื้นเตียงแล้วเอนกายตามทาบทับทั้งๆ ที่แก่นกายร้อนผ่าวยังคงจมดิ่งถูกโอบกอดไว้ด้วยกลีบดอกกุหลาบงาม ริมฝีปากสีสดพรมจุมพิตซับหงาดเหงื่อที่แตกพราวทั่วหน้าผากมนซอกคอหอมจรุงใจให้อย่างอ่อนโยน

“เราชอบการร่วมรักเหมือนเมื่อสักครู่...หรือเจ้าว่าไง เจ้าชอบหรือเปล่า ชอบการเป็นผู้นำเพลิงรักที่เร่าร้อนดุดันของเราทั้งสองหรือเปล่า”

นาราภัทรกัดเม้มริมฝีปากแน่นทอดสายตามองคนถามด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดร้าวราน คาสโนว่าแห่งอัลนูรีนไม่ได้ถนัดแค่เรื่องผู้หญิง เรื่องการบรรเลงเพลงรักเท่านั้น แต่เจ้าชายซารีฟร์ยังเป็นผู้ที่ช่ำชองในการฟาดเส้นแส้ทำสงครามฝีปากให้เธอได้ชอกช้ำเลือดซึมทั่วกายใจ

“ทำไมต้องบังคับน้ำหนาวให้พูด ทำไมต้องบังคับให้น้ำหนาวทำในสิ่งที่เจ้าชายซารีฟร์ก็รู้คำตอบอยู่แล้ว”

น้ำเสียงที่เอ่ยตัดพ้อปนสะอื้นได้ซึมลึกเข้าสู่จิตใจของเจ้าชายซารีฟร์ให้รวดร้าวไม่แพ้กัน แต่เพราะอยากเอาชนะอยากให้หญิงสาวรู้ว่าตนเองมีอิทธพลเหนือกว่าเจ้าชายหนุ่มผู้เย่อหยิ่งจึงได้เอ่ยย้ำลงมีดเปิดบาดแผลให้กว้างมากขึ้นกว่าเดิม

“เจ้าอยากรู้ใช่ไหมว่าเพราะทำไม คำตอบก็คือเราชอบเสียงร้องครวญครางชอบเสียงหอบกระเส่าและชอบเวลาที่เจ้ากระซิบสั่งให้เราโลดแล่นเริงระบำบนเรือนกายของเจ้าอย่างรุนแรงหนักหน่วงตามความต้องการลึกๆ ของเจ้าไง”

นาราภัทรผุดลุกขึ้นนั่งเชิดหน้าขึ้นพยายามซ่อนเพลิงพิศวาสความปรารถนาในรสรักไว้ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยแววตาที่ว่างเปล่า

“เจ้าชายคงสะใจที่เห็นน้ำหนาวกลายเป็นนางบำเรอตามที่ต้อง ถ้างั้นนางบำเรอไร้ค่าคนนี้ก็จะไม่ขัดศรัทธา เชิญสิคะ อยากให้ทำอะไรก็ออกคำสั่งมาอยากให้เปล่งเสียงร้องครวญครางแบบไหนก็เชิญเจ้าชายจอมเผด็จการบัญชามาได้เลย หรือจะให้แสดงบทรักเหมือนเมื่อสักครู่อีกสักรอบสองรอบนางบำเรอคนนี้ก็ไม่เกี่ยง”

“บัดซบ!...”

เจ้าชายซารีฟร์สบถลั่นใบหน้าถมึงทึงดวงตาลุกวาวราวกับจะหักคอคนเอ่ยพูดเย้ยหยันได้ในพริบตาเดียว มือใหญ่ผลักร่างบางเต็มแรงจนนาราภัทรหงายหลังลงไปกระแทกกับที่นอน เรือนกายกำยำบึกบึนผุดลุกขึ้นคว้าเสื้อผ้ามาสวมใส่อย่างกระแทกกระทั้น ดวงตาคมกริบยังคงทอดมองแน่นิ่งที่แผ่นหลังเปล่าเปลือยนุ่มละมุนมือที่นอนหันหลังให้ตนเอง ไม่ต้องบอกเขาก็รู้ว่านาราภัทรกำลังร้องไห้ ร่างบางที่สะอื้นฮักจนตัวสั่นโยนทำให้อยากทรุดตัวลงไปโอบกอดปลอบประโลมให้แก้วตาดวงใจหายจากบาดแผลแห่งความรวดร้าวยิ่งนัก แต่แล้วมือหนาที่กำลังเอื้อมไปแตะสัมผัสแผ่นหลังมีอันต้องหยุดชะงัก ถ้อยคำร้อยวาจาที่กำลังจะเอื้อนเอ่ยออกมาขอโทษสำหรับสิ่งที่ตนเองได้ทำให้หญิงสาวต้องเจ็บปวดมีอันต้องถูกกลืนหายไปในลำคอเมื่อได้ยินน้ำเสียงที่เอ่ยเย้ยหยันอย่างเย็นชา

“ได้รับในสิ่งที่ต้องการแล้วเชิญเจ้าชายซารีฟร์ อัล ริฟาอีลส์ กลับไปได้แล้วค่ะ”

ถ้าหากว่าเจ้าชายฮารีฟร์ผู้เป็นเชษฐามีอารมณ์โกรธโมโหร้ายแล้วแต่ก็ไม่เท่ากับเจ้าชายซารีฟร์ผู้เป็นอนุชาซึ่งมีอารมณ์โกรธที่รุนแรงยิ่งกว่าหลายสิบเท่า

“นาราภัทร!...”

เจ้าชายซารีฟร์กัดฟันกรอดเอ่ยเรียกชื่อหญิงอันเป็นที่รักลอดไรฟันจากนั้นก็ชกผั้วะไปที่กำแพงห้องด้วยความพิโรธที่ถูกจุดให้ปะทุเดือดจนถึงขั้นที่เรียกว่าคลั่ง

นาราภัทรสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงสบถลั่นพร้อมกับเสียงชกไปที่กำแพงห้องเต็มแรง ร่างบางรีบหันหลังมามองด้วยความตกใจระคนเป็นห่วงแต่สิ่งที่เธอได้เห็นก็มีแค่เพียงปลายเสื้อโค้ทตัวยาวสีเทาพร้อมๆ กับประตูห้องที่ถูกกระแทกปิดจนแทบจะหลุดมาทั้งบาน

เกือบสิบนาทีที่นาราภัทรฟุบหน้าร่ำไห้สมน้ำหน้าตัวเองที่มักจะพ่ายแพ้ต่อรสสิเสน่หาที่มีต่อเจ้าชายซารีฟร์เสมอ แค่เพียงมือใหญ่แตะต้องลูบสัมผัส เพียงริมฝีปากร้อนผ่าวมอบจุมพิตดุดันลงมาบนเรือนกายเธอก็ลืมทุกอย่างที่อยู่รอบตัวเสียสิ้น ไม่ว่าเจ้าชายซารีฟร์จะกระซิบสั่งให้ทำอะไรเธอก็ทำตามอย่างลืมอายขอเพียงเพื่อให้เรือนกายล่ำสันได้มอบความสุขรัญจวนใจให้กับเธอก็เพียงพอแล้ว

นาราภัทรยกมือขึ้นเพื่อเช็ดคราบน้ำตาแต่แล้วก็ต้องชะงักนิ่งเมื่อสายตาได้ปะทะกับความงดงามของแหวนทับทิมที่ประดับอยู่บนนิ้วนางข้างซ้าย หญิงสาวสัมผัสตัวแหวนเรือนงามด้วยกริยาอ่อนโยนทะนุถนอมก่อนจะถอดแหวนออกมาดูด้านในของตัวเรือนซึ่งสลักด้วยอักษรที่คาดไม่ผิดว่าต้องเป็นภาษาอาหรับอย่างงดงามอ่อนช้อย เธอไม่รู้ว่าตัวอักษรที่ร้อยเรียงบนเรือนแหวนนั้นอ่านว่าอย่างไรมีความหมายอย่างไรบ้าง แต่ที่แน่ๆ ต้องเป็นถ้อยคำที่เกี่ยวกับเจ้าชายซารีฟร์ผู้ที่มอบแหวนเรือนงามให้กับเธอแน่นอน หญิงสาวสวมแหวนกลับไปที่นิ้วซ้ายดังเดิมอยากจะเอื้อนวาจาเอ่ยถามเจ้าของแหวนยิ่งนักว่ามอบแหวนที่งดงามล้ำค่าให้กับเธอทำไม?...

หญิงสาวร้องไห้สูดสะอื้นจนร้าวไปทั่วกายจากนั้นก็โผเผลงจากเตียงควานหาเสื้อผ้าที่ถูกขว้างทิ้งด้วยฝีมือของเจ้าชายซารีฟร์และตัวเธอเองที่ได้ช่วยถอดอย่างรีบเร่งมาสวมใส่อีกครั้ง เท้าเล็กที่สั่นเทายืนไม่มั่นคงได้พาเจ้าของเรือนร่างเดินออกจากห้องนอนแต่เมื่อเดินออกมาถึงห้องนั่งเล่นก็มีอันต้องขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจและคาดไม่ถึงเมื่อได้เห็นเจ้าชายซารีฟร์นั่งซบหน้าตัวเองอยู่บนโซฟา

เจ้าชายแห่งอัลนูรีนยังซบหน้าตัวเองนิ่ง ในตอนแรกที่เดินกระแทกเท้าเผ่นออกมาจากห้องด้วยความโมโหเขาตั้งใจจะหลบไปหาที่เงียบๆ เพื่อสงบสติอารมณ์ซึ่งกำลังเดือดพล่านด้วยความโมโหโกรธาร่วมกับความต้องการบรรเลงเพลิงรักที่ผสมปนเปกันจนแยกไม่ออก แต่เมื่อรู้ว่าไปที่ไหนก็ไม่สามารถทำให้ใจและไฟสวาทที่ร้อนรุ่มสงบลงได้นอกจากการอยู่กับนาราภัทรจึงจำต้องเดินวนไปเวียนมาอยู่ในห้องเล็กซึ่งอบอวลไปด้วยไออุ่นกระแสแห่งความรัก

นาราภัทรสืบเท้าเข้าหาร่างกำยำที่ยังคงนั่งนิ่งไม่ไหวติง รอยแตกเลือดซึมที่มีให้เห็นตรงหลังข้อมือข้างที่ชกกับกำแพงห้องทำให้หญิงสาวต้องเอื้อมไปแตะข้อมือที่แตกแดงช้ำด้วยความเป็นห่วง

“เจ้าชายค่ะ”

“หยุดถ้อยคำเอื้อนวาจาที่จะทำให้เราได้เจ็บปวดใจไว้สักพักได้หรือเปล่าน้ำหนาว เราขออยู่เงียบๆ แบบนี้สักพักแล้วเราจะจากไปเองโดยที่เจ้าไม่ต้องลำบากเอ่ยปากไล่เป็นครั้งที่สอง”

เจ้าชายซารีฟร์เอ่ยตัดพ้อต่อว่าน้ำเสียงเศร้าทั้งๆ ที่ยังซบหน้ากับฝ่ามือของตัวเอง เมื่อคาสโนว่าแห่งแผ่นผืนทะเลทรายต้องการได้รับรักแท้เหมือนกับคนอื่นทำไมถึงได้ยากลำบากรวดร้าวใจเยี่ยงนี้

นาราภัทรน้ำตาคลอด้วยความเจ็บร้าวปานกันขณะจ้องมองศีรษะที่ปกคลุมไปด้วยเส้นผมนุ่มที่เธอชอบสอดมือเข้าไปซุกไซ้ ทำไมเจ้าชายซารีฟร์ไม่คิดบ้างว่าเขานั่นแหละที่สมควรหยุดเอื้อนเอ่ยร้อยเรียงวาจาออกมาทำร้ายเธอ หญิงสาวทอดสายตามองบุรุษอาหรับที่รักยิ่งชั่วขณะก่อนจะหมุนตัวหันกลับเข้าไปในห้องครัวเล็กๆ จากนั้นไม่กี่นาทีก็กลับมาอีกครั้งพร้อมกับชุดปฐมพยาบาล

เจ้าชายซารีฟร์เงยหน้าขึ้นเมื่อรับรู้ได้ถึงเรือนกายบอบบางที่มาพร้อมกับกลิ่นหอมจรุงใจซึ่งได้ทรุดตัวลงนั่งแนบชิดกับเรือนกายของตน

“ยื่นมือมาค่ะน้ำหนาวจะทำแผลให้”

หญิงสาวออกคำสั่งเสียงเข้มพร้อมกับเอื้อมไปจับมือหนาทั้งสองมาวางบนหน้าตักของตนเอง เมื่อเจ้าชายแห่งอัลนูรีนชักมือกลับก็ขึงตาใส่เอ่ยห้ามผ่านสายตาแล้วดึงกลับให้มาวางบนหน้าตักเธอเหมือนเดิม

“เจ็บไหมคะ”

หญิงสาวไม่รู้ตัวว่าขณะที่เอ่ยถามนั้นใบหน้างามดวงตาคู่สวยของตนเองได้เผยความเป็นห่วงระคนรักใคร่ออกมาให้หัวใจของเจ้าชายซารีฟร์กระตุกชาวูบด้วยความดีใจ

“ไกลหัวใจอีกเยอะน้ำหนาว แผลแค่นี้ไม่ทำให้เราตายง่ายๆ หรอก””

“งั้นหรือคะ เจ็บแค่นี้ไม่เป็นไรถ้างั้นการทำแผลแบบเดิมๆ ก็คงไม่สะใจเท่ากับวิธีนี้”

ซุ่มเสียงของเจ้าชายแห่งทะเลทรายที่ประชดประชันเย่อหยิ่งไม่มีที่สิ้นสุดทำให้นาราภัทรเลิกคิ้วเอ่ยถามด้วยความหมั่นไส้ หญิงสาวหยิบทิงเจอร์ไอโอดีนแล้วเปิดฝาออกจากนั้นก็เทน้ำยาล้างแผลลงไปบนหลังข้อมือที่แตกเลือดซิบโดยไม่ปราณีปราศัยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะปวดแสบมากเพียงใด

“โอ๊ย! น้ำหนาวเธอจะบ้าหรือไงราดทิงเจอร์ฯ มาได้ทั้งขวด ฉันแสบแผลน่ะ”

เจ้าชายซารีฟร์ร้องลั่นเมื่อยาล้างแผลกระทบกับรอยแตกเลือดซึมความแสบร้อนแล่นผล่านจนต้องกระตุกมือสะบัดหนี

นาราภัทรยึดมือหนาไว้แน่นพร้อมกับหัวเราะออกมาเบาๆ ใบหน้างามยื่นเข้าไปใกล้จนจมูกโด่งงามโฉบสัมผัสกับแก้มสากอย่างบางเบาจากนั้นก็เอ่ยล้อเลียนตามคำพูดของคนตัวใหญ่เมื่อสักครู่

“แผลแค่นี้ยังไกลหัวใจค่ะ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พายุรักแห่งเม็ดทราย