นาราภัทรละมือจากการเทแป้งคุกกี้ที่ผสมเรียบร้อยแล้วลงบนแป้นพิมพ์เมื่อได้ยินเสียงเตือนหมดเวลาของเครื่องอบขนม หญิงสาวเดินอ้อมโต๊ะตัวยาวกลางห้องครัวไปเปิดฝาเตาอบจากนั้นก็หยิบถาดคุกกี้ออกมาจากเตา กลิ่นหอมกรุ่นของคุกกี้ที่อบใหม่ๆ ยั่วน้ำลายจนต้องก้มลงไปสูดความหอมใกล้ๆ แต่พอเงยหน้าขึ้นก็ผงะถอยหลังแทบปล่อยถาดขนมหลุดมือเมื่อเห็นบุรุษชาติอาหรับที่เฝ้าคะนึงหวลหาทุกวี่วันได้ยืนนิ่งขึงอยู่ใกล้จนจมูกโด่งงามโฉบเฉี่ยวสัมผัสบางเบาตรงพวงแก้มแดงปลั่งของเธอ
“ขอกินสักชิ้นได้ไหมน้ำหนาว ท่าทางจะอร่อยน่าดู”
เจ้าชายซารีฟร์ร้องขอเสียงทุ้มนุ่มนวลขยับกายเข้าหาร่างบางมากยิ่งขึ้นจนได้กลิ่นหอมละมุนจรุงใจที่ไม่เคยลืมเลือนจากกายสาว
นาราภัทรขยับตัวออกห่างเล็กน้อยเงยหน้าขึ้นมองเจ้าชายซารีฟร์โดยไม่พูดไม่จาจากนั้นก็วางถาดขนมลงบนโต๊ะ หยิบจานใบเล็กออกมาแล้วแบ่งคุกกี้ลงไปก่อนจะยื่นให้คนขอพร้อมกับชาจีนอีกถ้วย
เจ้าชายซารีฟร์วางจานขนมกับถ้วยชาจีนลงบนโต๊ะอย่างกระแทกกระทั้นรู้สึกขัดเคืองโกรธจนลมออกหูเมื่อเจออากัปกิริยาเฉยเมยเย็นชาของหญิงสาว มือใหญ่เอื้อมไปจับต้นแขนเนียนทั้งสองแล้วบีบแน่นกระชากร่างบางมาปะทะอกกว้างเต็มแรง
“เจ้ารังเกียจเรามากหรือไงน้ำหนาว ทำไมไม่พูดกับเรา”
นาราภัทรนิ่วหน้าด้วยความเจ็บแต่ก็ไม่ร้องประท้วงออกมาให้อีกฝ่ายได้ยิน “น้ำหนาวไม่มีเรื่องที่จะคุย ถ้าหากเจ้าชายมาหาเพียงพอต้องการทะเลาะทำให้น้ำหนาวเจ็บช้ำใจก็เชิญเจ้าชายกลับไปเถอะค่ะ”
เจ้าชายนักรักพยายามระงับโทสะนับหนึ่งถึงสิบให้อารมณ์เดือดค่อยๆ ลดลงก่อนจะเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก
“เรามีเรื่องสำคัญที่จะคุยกับเจ้า”
“เชิญเจ้าชายบอกธุระสำคัญมาได้เลยค่ะ”
นาราภัทรถอดกันเปื้อนออกแล้วทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ผายมือเชิญให้เจ้าชายหนุ่มที่ยืนกัดฟันกรอดตีหน้าบึ้งถมึงทึงใส่ได้ทรุดตัวลงนั่งบ้าง
“เราต้องการคุยธุระกับเจ้าในสถานที่ที่เหมาะสมมากกว่านี้ไม่ใช่ในห้องครัว”
เจ้าชายซารีฟร์เอ่ยบอกเสียงลอดไรฟันฉุดร่างบางให้ลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วผายมือเชิญด้วยกริยาเดียวกันให้หญิงสาวจอมดื้อด้านได้เดินออกจากห้องครัว
“เชิญที่ห้องนั่งเล่นค่ะ อาจจะไม่ดูหรูหราสักเท่าไหร่แต่ก็พออาศัยเป็นสถานที่คุยธุระสำคัญของเจ้าชายผู้ยิ่งใหญ่ได้”
“เจ้าจะเอ่ยประชดประชันเราเพื่อให้ได้อะไรขึ้นมาน้ำหนาว”
เจ้าชายหนุ่มตอกกลับเสียงแข็งไม่เข้าใจว่าทำไมนาราภัทรถึงได้เป็นผู้หญิงที่เจ้าคิดเจ้าแค้นโกรธไม่เลิกเช่นนี้
นาราภัทรกัดเม้มริมฝีปากแน่นรอจนกระทั่งเรือนกายบึกบึนล่ำสันได้เดินตามเข้ามาในห้องนั่งเล่นพร้อมกับปิดประตูให้มิดชิดจึงได้เอื้อนวาจาตอกกลับเจ้าชายหนุ่มบ้าง
“น้ำหนาวไม่ได้ประชดเจ้าชาย แต่กำลังพูดเรื่องจริงต่างหาก”
“พอเถอะน้ำหนาว เจ้าอย่าชักใบให้เรือเสีย นั่งลงสิจะได้คุยธุระกัน”
เจ้าชายซารีฟร์ยกมือข้ามพร้อมกับเอ่ยปรามอย่างอ่อนใจ เขาลอบมองขณะที่หญิงสาวทรุดตัวลงนั่งช้าๆ ห่างไกลกันแค่ไม่กี่วันทำให้รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายผอมลงไปมากแทบจะปลิวลมก็ว่าได้ แต่มีสิ่งเดียวที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปจากตัวนาราภัทรนั่นก็คือกริยาเฉยเมยความเย็นชาที่เผยออกมาให้เห็นทั้งจากดวงหน้าหวานและนัยน์ตากลมโต
“เจ้าชายจะคุยธุระเรื่องอะไรคะ”
นาราภัทรนั่งนิ่งเชิดหน้าขึ้นบังคับจิตใจไม่ให้อ่อนแอบังคับเรือนกายไม่ให้โผเข้าไปสวมกอดบุรุษชาติอาหรับอันเป็นที่รักด้วยความคิดถึงคะนึงหา
“เรื่องอภิเษกสมรส” เจ้าชายซารีฟร์เอ่ยบอกสั้นๆ ไม่ขยายความแต่น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความอบอุ่นอ่อนโยน
“ค่ะ น้ำหนาวทราบแล้ว พี่น้ำเหนือโทรมาบอกเมื่อหลายวันก่อนเจ้าชายฮารีฟร์จะส่งเครื่องบินหลวงมารับพวกเราที่เมืองไทย”
“เราไม่ได้หมายถึงพิธีอภิเษกสมรสของท่านพี่กับพี่สาวเจ้า แต่เราหมายถึงพิธีอภิเษกสมรสของเราทั้งสองคน”
“งั้นหรือคะ เจ้าชายอยากแต่งงานกับน้ำหนาวเพราะเหตุผลใด”
“เจ้าเป็นชายาของเราแล้ว เราอยากจัดพิธีอภิเษกให้ถูกต้อง”
“แค่นั้นเองหรือคะ” นาราภัทรย้อนถามเสียงเย็นกะพริบตาถี่ๆ ให้หยาดน้ำตาอุ่นจางหายไปจากดวงตาคู่สวยก่อนจะเอ่ยถามเจ้าชายนักรักต่อ
“เจ้าชายอยากแต่งงานเพียงเพราะต้องการความถูกต้อง แค่อยากรับผิดชอบกับสิ่งที่ได้ทำกับน้ำหนาวใช่ไหมคะ”
“นั่นก็เป็นเหตุผลหนึ่ง เราเกรงว่าเจ้าจะตั้งท้องลูกของเราอยู่”
“เจ้าชายไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องนี้หรอกค่ะ รับรองไม่มีปัญหาเรื่องเด็กให้เจ้าชายต้องลำบากใจ”
“ทำไมจึงคิดว่าเราทำไม่ได้” เจ้าชายซารีฟร์ย้อนถามแทบทันทีที่นาราภัทรได้เอ่ยจบประโยค
นาราภัทรยิ้มเยาะตรงมุมปากก่อนจะเอ่ยต่อ “ไม่เคยมีคาสโนว่าคนไหนทำได้ หรือถ้าหากทำได้ก็เป็นแค่เพียงชั่วประเดี๋ยวประด๋าวหลังจากนั้นก็วาดลวดลายขึ้นมาใหม่อีกครั้ง”
“คนอื่นจะเป็นเช่นไรไม่รู้ แต่เจ้าอย่าเอาเราไปเปรียบเทียบกับคนเหล่านั้น เจ้าชายซารีฟร์ อัล ริฟาอีลส์ ลงว่าได้รักใครแล้วก็รักหมดใจมอบความรักภักดีให้กับอิสตรีผู้นั้นเพียงคนเดียว”
ไม่ใช่แค่น้ำเสียงที่ยืนยันหนักแน่น สีหน้านัยน์ตาคมกริบได้เผยความรักจริงใจให้คนถามได้เห็นได้รับรู้ซึมซับเข้าสู่กายใจ
นาราภัทรหลับตาลงชั่วขณะอยากทำใจให้ยอมรับกับถ้อยคำที่เอื้อนเอ่ยออกมา อยากยอมรับไว้วางใจกับสิ่งที่ดวงตาคมกริบไปสื่อเผยให้เห็นแต่จนแล้วจนรอดเธอก็ยังหวาดหวั่นหวาดกลัวความเจ็บปวดชอกช้ำที่จะตามมาในภายภาคหน้าแค่ความรวดร้าวปวดระบมที่ได้รับอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันในขณะที่อยู่ด้วยในกันบอสตันก็ทำให้เธอเจ็บร้าวมากเพียงพออยู่แล้ว
“ผู้หญิงคนนั้นต้องใช้เวลานานเพียงใดเพื่อพิสูจน์ให้เห็นประจักษ์แจ้งว่าเจ้าชายนักรักได้มีใจให้กับเธอแค่เพียงผู้เดียว”
เจ้าชายซารีฟร์ถอนหายใจหนักหน่วงโต้กันไปโต้กันมาก็เหมือนพายเรืออยู่ในอ่างวนไปวนมาไม่ถึงฟากฝั่งสักที มือหนาร้อนผ่าวกอบกุมดวงหน้าหวานลออไว้ในอุ้มมือตัดสินใจเอื้อนเอ่ยถ้อยคำบอกรักในที่สุด
“เราไม่ได้ขอร้องให้เจ้าพิสูจน์ทั้งชีวิตของเจ้า แต่เราอยากบอกให้รู้ว่าเรารักเจ้าน้ำหนาว เจ้าเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เรายกย่องให้เป็นชายา”
แทนที่จะดีใจกับเรื่องที่ได้ยินนาราภัทรกลับยิ้มขื่นกักเก็บสะกดความร้าวรานไว้ภายในจะเชื่อได้มากเพียงใดกับวาจาที่เอ่ยออกมาแค่เพียงลมปาก ความเย็นยะเยือกของแหวนทับทิมที่เธอนำมาร้อยกับสร้อยคอเส้นยาวจี้หยดน้ำแล้วเอามาสวมรอบคอแทนการสวมใส่ที่นิ้วทำให้เธอนึกคิดไปถึงความรักที่แสนพร่ำเพร้อมอบให้กับผู้หญิงคนไหนก็ได้ที่ได้ผ่านเข้ามาในชีวิตของเจ้าชายนักรัก หญิงสาวเงยหน้าขึ้นทอดสายตามองใบหน้าคมหล่อเหลาด้วยสายตาว่างเปล่าไร้ซึ่งความยินดีกับถ้อยวาจาที่เจ้าชายซารีฟร์ได้เผยออกมา
“ขอบคุณสำหรับความรักที่เจ้าชายมอบให้กับน้ำหนาว เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่เจ้าชายผู้ยิ่งใหญ่ได้เอ่ยขอแต่งงานและยกย่องให้เป็นพระชายาผู้สูงศักดิ์ แต่อิสตรีผู้นี้คงรับไม่ได้เธอไม่พร้อมที่จะก้าวเดินไปบนเส้นทางที่เต็มไปด้วยถ้อยคำโกหกและความเจ็บปวดซึ่งไม่มีที่สิ้นสุด”
เจ้าชายซารีฟร์หลับตาแน่นเจ็บปวดเหลือคณานับ นี่ไงคือสิ่งที่เขาหวาดกลัวอยู่ตลอดเวลาจนไม่กล้าทำตามคำแนะนำของผู้ที่เป็นเชษฐา นาราภัทรไม่เชื่อว่าเขารักเธอจนหมดใจ ไม่เชื่อแม้สักนิดว่าคาสโนว่าแห่งแผ่นผืนทะเลทราย
ผู้นี้จะรักภักดีต่อเธอได้มากยิ่งกว่าเม็ดทรายที่ปกคลุมทั่วแผ่นดินอัลนูรีน
ดวงตาที่ปิดสนิทค่อยๆ เปิดขึ้นอย่างช้าๆ คราวนี้ไม่มีความรักภักดีเผยให้เห็นจากดวงตาดำสนิทจะมีก็เพียงความว่างเปล่ามองผ่านหญิงสาวที่อยู่เบื้องหน้าราวกับไม่มีตัวตนเป็นแค่เพียงอากาศธาตุละอองเม็ดทรายที่พัดผ่าน
“เราคิดเสมอว่าความรักภักดีที่เรามอบให้จะช่วยละลายหัวใจที่ห่อหุ้มด้วยน้ำแข็งและซื้อคำว่า ‘ไม่’ ของเจ้าได้ในสักวัน แต่มันไม่เป็นเช่นนั้นความรักของเราดูไร้ประโยชน์ไร้ค่าเมื่อต้องมาเจอผู้หญิงอย่างเจ้า...เจ้าเคยปรามาสว่าเราเป็นเจ้าชายที่เย็นชา แต่เปล่าเลยน้ำหนาว...เราเป็นแค่เพียงบุรุษชาติอาหรับผู้หนึ่งที่หลงรักเจ้าหมดใจ คนที่เย็นชาไร้หัวใจกลับคือตัวเจ้าต่างหาก”
นาราภัทรไม่อาจรับรู้ได้ว่าเจ้าชายซารีฟร์เดินจากไปตอนไหนสิ่งที่เธอรับรู้ในตอนนี้คือถ้อยคำตัดพ้อตัดเยื่อใยที่ยังคงฝั่งแน่นอยู่ในกายใจ หยาดน้ำตาอุ่นไหลพร่างพรูราวกับเขื่อนแตกพร้อมๆ กับร่างบอบบางที่ทรุดฮวบซบหน้าร้องไห้กับฝ่ามือตัวเอง เจ้าชายซารีฟร์จากไปแล้ว จากไปพร้อมๆ กับหัวใจดวงเล็กและจิตวิญญาณที่เจ้าชายนักรักได้ฉุดกระชากไปจากเรือนกายด้วย...
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พายุรักแห่งเม็ดทราย