พายุรักแห่งเม็ดทราย นิยาย บท 43

นาราภัทรละมือจากการเทแป้งคุกกี้ที่ผสมเรียบร้อยแล้วลงบนแป้นพิมพ์เมื่อได้ยินเสียงเตือนหมดเวลาของเครื่องอบขนม หญิงสาวเดินอ้อมโต๊ะตัวยาวกลางห้องครัวไปเปิดฝาเตาอบจากนั้นก็หยิบถาดคุกกี้ออกมาจากเตา กลิ่นหอมกรุ่นของคุกกี้ที่อบใหม่ๆ ยั่วน้ำลายจนต้องก้มลงไปสูดความหอมใกล้ๆ แต่พอเงยหน้าขึ้นก็ผงะถอยหลังแทบปล่อยถาดขนมหลุดมือเมื่อเห็นบุรุษชาติอาหรับที่เฝ้าคะนึงหวลหาทุกวี่วันได้ยืนนิ่งขึงอยู่ใกล้จนจมูกโด่งงามโฉบเฉี่ยวสัมผัสบางเบาตรงพวงแก้มแดงปลั่งของเธอ

“ขอกินสักชิ้นได้ไหมน้ำหนาว ท่าทางจะอร่อยน่าดู”

เจ้าชายซารีฟร์ร้องขอเสียงทุ้มนุ่มนวลขยับกายเข้าหาร่างบางมากยิ่งขึ้นจนได้กลิ่นหอมละมุนจรุงใจที่ไม่เคยลืมเลือนจากกายสาว

นาราภัทรขยับตัวออกห่างเล็กน้อยเงยหน้าขึ้นมองเจ้าชายซารีฟร์โดยไม่พูดไม่จาจากนั้นก็วางถาดขนมลงบนโต๊ะ หยิบจานใบเล็กออกมาแล้วแบ่งคุกกี้ลงไปก่อนจะยื่นให้คนขอพร้อมกับชาจีนอีกถ้วย

เจ้าชายซารีฟร์วางจานขนมกับถ้วยชาจีนลงบนโต๊ะอย่างกระแทกกระทั้นรู้สึกขัดเคืองโกรธจนลมออกหูเมื่อเจออากัปกิริยาเฉยเมยเย็นชาของหญิงสาว มือใหญ่เอื้อมไปจับต้นแขนเนียนทั้งสองแล้วบีบแน่นกระชากร่างบางมาปะทะอกกว้างเต็มแรง

“เจ้ารังเกียจเรามากหรือไงน้ำหนาว ทำไมไม่พูดกับเรา”

นาราภัทรนิ่วหน้าด้วยความเจ็บแต่ก็ไม่ร้องประท้วงออกมาให้อีกฝ่ายได้ยิน “น้ำหนาวไม่มีเรื่องที่จะคุย ถ้าหากเจ้าชายมาหาเพียงพอต้องการทะเลาะทำให้น้ำหนาวเจ็บช้ำใจก็เชิญเจ้าชายกลับไปเถอะค่ะ”

เจ้าชายนักรักพยายามระงับโทสะนับหนึ่งถึงสิบให้อารมณ์เดือดค่อยๆ ลดลงก่อนจะเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก

“เรามีเรื่องสำคัญที่จะคุยกับเจ้า”

“เชิญเจ้าชายบอกธุระสำคัญมาได้เลยค่ะ”

นาราภัทรถอดกันเปื้อนออกแล้วทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ผายมือเชิญให้เจ้าชายหนุ่มที่ยืนกัดฟันกรอดตีหน้าบึ้งถมึงทึงใส่ได้ทรุดตัวลงนั่งบ้าง

“เราต้องการคุยธุระกับเจ้าในสถานที่ที่เหมาะสมมากกว่านี้ไม่ใช่ในห้องครัว”

เจ้าชายซารีฟร์เอ่ยบอกเสียงลอดไรฟันฉุดร่างบางให้ลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วผายมือเชิญด้วยกริยาเดียวกันให้หญิงสาวจอมดื้อด้านได้เดินออกจากห้องครัว

“เชิญที่ห้องนั่งเล่นค่ะ อาจจะไม่ดูหรูหราสักเท่าไหร่แต่ก็พออาศัยเป็นสถานที่คุยธุระสำคัญของเจ้าชายผู้ยิ่งใหญ่ได้”

“เจ้าจะเอ่ยประชดประชันเราเพื่อให้ได้อะไรขึ้นมาน้ำหนาว”

เจ้าชายหนุ่มตอกกลับเสียงแข็งไม่เข้าใจว่าทำไมนาราภัทรถึงได้เป็นผู้หญิงที่เจ้าคิดเจ้าแค้นโกรธไม่เลิกเช่นนี้

นาราภัทรกัดเม้มริมฝีปากแน่นรอจนกระทั่งเรือนกายบึกบึนล่ำสันได้เดินตามเข้ามาในห้องนั่งเล่นพร้อมกับปิดประตูให้มิดชิดจึงได้เอื้อนวาจาตอกกลับเจ้าชายหนุ่มบ้าง

“น้ำหนาวไม่ได้ประชดเจ้าชาย แต่กำลังพูดเรื่องจริงต่างหาก”

“พอเถอะน้ำหนาว เจ้าอย่าชักใบให้เรือเสีย นั่งลงสิจะได้คุยธุระกัน”

เจ้าชายซารีฟร์ยกมือข้ามพร้อมกับเอ่ยปรามอย่างอ่อนใจ เขาลอบมองขณะที่หญิงสาวทรุดตัวลงนั่งช้าๆ ห่างไกลกันแค่ไม่กี่วันทำให้รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายผอมลงไปมากแทบจะปลิวลมก็ว่าได้ แต่มีสิ่งเดียวที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปจากตัวนาราภัทรนั่นก็คือกริยาเฉยเมยความเย็นชาที่เผยออกมาให้เห็นทั้งจากดวงหน้าหวานและนัยน์ตากลมโต

“เจ้าชายจะคุยธุระเรื่องอะไรคะ”

นาราภัทรนั่งนิ่งเชิดหน้าขึ้นบังคับจิตใจไม่ให้อ่อนแอบังคับเรือนกายไม่ให้โผเข้าไปสวมกอดบุรุษชาติอาหรับอันเป็นที่รักด้วยความคิดถึงคะนึงหา

“เรื่องอภิเษกสมรส” เจ้าชายซารีฟร์เอ่ยบอกสั้นๆ ไม่ขยายความแต่น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความอบอุ่นอ่อนโยน

“ค่ะ น้ำหนาวทราบแล้ว พี่น้ำเหนือโทรมาบอกเมื่อหลายวันก่อนเจ้าชายฮารีฟร์จะส่งเครื่องบินหลวงมารับพวกเราที่เมืองไทย”

“เราไม่ได้หมายถึงพิธีอภิเษกสมรสของท่านพี่กับพี่สาวเจ้า แต่เราหมายถึงพิธีอภิเษกสมรสของเราทั้งสองคน”

“งั้นหรือคะ เจ้าชายอยากแต่งงานกับน้ำหนาวเพราะเหตุผลใด”

“เจ้าเป็นชายาของเราแล้ว เราอยากจัดพิธีอภิเษกให้ถูกต้อง”

“แค่นั้นเองหรือคะ” นาราภัทรย้อนถามเสียงเย็นกะพริบตาถี่ๆ ให้หยาดน้ำตาอุ่นจางหายไปจากดวงตาคู่สวยก่อนจะเอ่ยถามเจ้าชายนักรักต่อ

“เจ้าชายอยากแต่งงานเพียงเพราะต้องการความถูกต้อง แค่อยากรับผิดชอบกับสิ่งที่ได้ทำกับน้ำหนาวใช่ไหมคะ”

“นั่นก็เป็นเหตุผลหนึ่ง เราเกรงว่าเจ้าจะตั้งท้องลูกของเราอยู่”

“เจ้าชายไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องนี้หรอกค่ะ รับรองไม่มีปัญหาเรื่องเด็กให้เจ้าชายต้องลำบากใจ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พายุรักแห่งเม็ดทราย