ราตรีกาลที่มืดมิดปราศจากลำแสงพระจันทร์สาดส่องเสียงจักจั่นร้องระงมไรเรเบาๆ ได้ช่วยทำลายบรรยากาศที่เงียบสงัดไม่ให้ดูอ้างว้างว้าเหว่เกินไปสำหรับหญิงสาวร่างบอบบางที่กำลังนั่งซึมเศร้าอยู่บริเวณสนามหญ้าหน้าบ้าน
นาราภัทรนั่งมองใบรับรองแพทย์สีขาวที่ถืออยู่ในมือซึ่งระบุชัดเจนว่าเธอกำลังตั้งครรภ์ได้หนึ่งเดือนกับอีกสองสัปดาห์ด้วยใบหน้าที่ติดหมองเศร้า มือบางเลื่อนมาสัมผัสแผ่วเบาที่หน้าท้องซึ่งยังคงแบนราบอยู่แต่อีกไม่กี่เดือนข้างหน้าคงเห็นเนินท้องที่นูนขึ้นตามอายุครรภ์ได้อย่างชัดเจน
“ถ้าเจ้าชายรู้ว่ากำลังจะมีลูกเจ้าชายจะดีใจไหมคะ”
ใบหน้างามหม่นหมองเงยขึ้นมองดวงดาวนับล้านที่เต็มดาษเดื่อนทั่วท้องฟ้าอยากฝากถ้อยคำถ้อยวาจาเอ่ยถามไปกับสายลมดวงดาวให้ส่งไปถึงเจ้าชายหนุ่มผู้ที่กอบกุมหัวใจของตนเองไว้ทั้งสี่แห่งห้อง
“แม่เป็นคนขี้ขลาดใช่ไหมลูก แม่กลัวความรักที่พ่อได้มอบให้ แม่ไม่กล้าเปิดใจยอมรับแม่เป็นคนใจแข็งเย็นชาเหมือนที่พ่อของหนูว่า นั่นก็เพราะว่าแม่รักพ่อของหนูมากเกินไปมากจนไม่อาจทำใจยอมรับความผิดหวังที่อาจจะตามมาในภายภาคหน้าได้”
หยาดน้ำตาอุ่นร่วงเผาะตามร่องแก้มขณะที่เจ้าตัวได้ก้มลงพึมพำเอ่ยถามลูกน้อยเลือดเนื้อเชื้อไขของเจ้าแห่งทะเลทรายที่กำลังก่อเกิดขึ้นในเรือนกายของตน หญิงสาวซบหน้าลงกับโต๊ะขาวสะอาดสะอื้นร่ำไห้จนตัวสั่นโยนด้วยไม่รู้จะเอ่ยบอกบิดาอย่างไรดี พ่อและพี่น้ำเหนือคงผิดหวังที่ส่งเสียให้เธอไปร่ำเรียนไกลถึงเมืองนอกเมืองนาแทนที่จะจบกลับมาใช้วิชาความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมาพัฒนาธุรกิจของครอบครัวแต่เธอกลับจบออกมพร้อมๆ กับการมีลูกน้อยที่กำลังจะลืมตาดูโลกในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
หญิงสาวนั่งร่ำไห้อยู่กับสายลมดวงดาวจักจั่นที่เรไรร้องระงมเป็นเวลานานจนดวงตาแดงก่ำบวมช้ำ เมื่อได้ระบายความเจ็บปวดเศร้าหมองผ่านสายน้ำตาอุ่นใสก็ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง มือเล็กยกขึ้นปาดน้ำตาออกจากดวงหน้าแล้วเลื่อนลงสัมผัสลูบไล้เป็นวงถ่ายทอดความรักความอบอุ่นจากปลายนิ้วเรียวยาวส่งไปยังตัวลูกน้อยก่อนจะเอ่ยให้กำลังใจตัวเอง
“ไม่มีพ่อก็ไม่เป็นไรน่ะลูก เราอยู่กันสองคนได้ เรายังมีคุณตาคุณยายป้าน้ำเหนือน้าน้ำค้างอยู่ด้วยยังไงหนูกับแม่ก็ไม่มีทางเหงาแน่นอน”
ใบรับรองแพทย์ถูกพับตามรอยเดิมก่อนจะยัดใส่ไปในกระเป๋าเสื้อคลุมสีชมพูอ่อนร่างบอบบางหยัดกายลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องช้าแต่ไม่ทันได้ก้าวเดินออกไปจากอาณาเขตที่นั่งซึมเศร้าเป็นเวลานานก็ได้ยินเสียงกดกริ่งเบาๆ ราวกับอาคันตุกะเกรงใจสำหรับการมาเยียนในยามราตรีกาลเช่นนี้
นาราภัทรขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจกะเวลาคราวๆ น่าจะเที่ยงคืนเกือบตีหนึ่งแล้วใครกันที่มากดกริ่งเรียกเอาป่านนี้
“ใครคะ”
หญิงสาวตะโกนถามด้วยไม่รู้ว่าอาคันตุกะที่มาเยือนในยามวิกาลเป็นใคร มาดีหรือมาร้ายและเพื่อความปลอดภัยจึงหยุดยืนห่างจากประตูรั้วเกือบห้าเมตรเห็นจะได้
“พระชายา กระหม่อมเอง ราชิตพะยะค่ะ”
ความจงรักภักดีซื่อสัตย์ไม่ได้มอบให้กับเจ้าชายซารีฟร์แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้นแต่เหล่าองครักษ์ได้ถวายหัวถวายชีวิตให้กับอิสตรีที่กำลังจะก้าวขึ้นมาเป็นพระชายาผู้งดงามของเจ้าเหนือหัวด้วย เพราะฉะนั้นคำพูดถ้อยคำวาจาจึงเต็มไปด้วยความนอบน้อมยกย่อง
“ราชิตเองหรือ มาทำไมดึกดื่นป่านนี้”
นาราภัทรสาวเท้ายาวๆ รีบเปิดประตูรั้วบานเล็กให้กับองครักษ์หนุ่มที่รีบผลุบกายเข้ามาภายในบริเวณบ้านด้วยความใจร้อน
“กระหม่อมขอประทานอภัยที่มารบกวนยามวิกาล” องครักษ์เอ่ยขอโทษเสียงทุ้มลึกพร้อมกับโค้งคำนับให้กับหญิงงาม
“ไม่เป็นไรหรอกราชิต มีเรื่องด่วนอะไรหรือว่า...เจ้าชาย...”
ใบหน้างามถอดสีเผือดมือไม้อ่อนแรงเมื่อนึกคิดไปไกลเกรงว่าผู้ที่กอบกุมหัวใจของตนเองกำลังตกอยู่ในอันตรายจากการถูกลอบสังหารเหมือนครั้งที่อาศัยอยู่ในบอสตัน
“คือเจ้าชายไม่สบายเป็นไข้หลายวันแล้ว แต่ไม่ยอมไปโรงพยาบาลไม่ยอมกินยากระหม่อมกับอาดิลจนปัญญาแล้ว อยากให้พระชายาไปดูอาการของเจ้าชายและก็เกลี้ยกล่อมให้กินยาก่อนที่อาการจะทรุดหนักไปกว่านี้พะยะค่ะ”
องครักษ์หนุ่มเอ่ยรายงานด้วยความเป็นกังวล เจ้าชายล้มป่วยตั้งแต่วันที่ทะเลาะกับพระชายาคนงาม เมื่อกลับถึงคฤหาสน์ที่เจ้าชายฮารีฟร์ได้ซื้อไว้ที่ชานเมืองเจ้าเหนือหัวของเขาก็หมกตัวเงียบห้ามให้ใครรบกวนจนกระทั่งล่วงเข้าวันใหม่เขาและอาดิลจึงได้ทราบว่าเจ้าชายไม่สบายมาก
นาราภัทรหายใจได้ทั่วท้องขึ้นเมื่อรับรู้ว่าเจ้าชายซารีฟร์ไม่ได้รับอันตรายตามที่ตนเองนึกกลัวแต่ถึงกระนั้นใบหน้างามก็ยังคงซีดเผือดด้วยความเป็นห่วงกับอาการเจ็บป่วยของอีกฝ่าย
“เจ้าชายไม่สบายตั้งแต่เมื่อไหร่คะราชิต”
“เอ่อ...ตั้งแต่วันที่กลับจากบ้านของพระชายาพะยะค่ะ” ราชิตอ้อมแอ้มตอบไม่เต็มเสียงนักด้วยเกรงว่าจะทำให้ผู้เอ่ยถามรู้สึกขัดเคืองใจ
“โธ่...เจ้าชายซารีฟร์” นาราภัทรร้องครางเสียงอ่อนรู้สึกผิดเต็มประดาที่ตัวเองเป็นต้นเหตุของเรื่องนี้ “ถ้าเจ้าชายไม่ยอมไปโรงพยาบาลทำไมไม่ตามหมอมารักษาที่บ้านคะ”
“กระหม่อมเชิญหมอมาแล้วพะยะค่ะแต่หมอไม่ทันได้ตรวจก็ถูกเจ้าชายตะเพิดไล่ออกจากห้องแทบไม่ทัน”
“ดื้อจริงๆ เลย” นาราภัทรบ่นงึมงำส่ายหัวด้วยความระอา
“กระหม่อมกับเหล่าองครักษ์ปรึกษากันอยู่นานก่อนจะตัดสินใจยอมขัดคำสั่งมาหาพระชายาที่นี่”
องครักษ์หนุ่มเอ่ยด้วยความเกรงใจก่อนจะทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าเอ่ยขอร้อง
“กระหม่อมอยากขอร้องให้พระชายาไปดูเจ้าชายด้วย แค่สักชั่วโมงก็ยังดีพะยะค่ะ”
“ราชิตลุกขึ้นเถอะอย่าคุกเข่าให้น้ำหนาวเลย” ร่างบอบบางก้มลงเอื้อมมือไปจับบ่ากว้างแข็งแกร่งให้องครักษ์ได้ลุกขึ้นยืน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พายุรักแห่งเม็ดทราย