พายุรักแห่งเม็ดทราย นิยาย บท 45

ด้วยเข้าใจว่าผู้ที่กำลังเดินเข้ามาคือเหล่าองครักษ์ที่บังอาจขัดคำสั่งไม่มีหยุดหย่อน เจ้าชายองค์รองแห่งอัลนูรีนจึงตะโกนตวาดลั่นทั้งๆ ที่ยังซบหน้ากับโต๊ะทำงาน หนังสือหนาหนักที่วางอยู่ใกล้มือถูกกระชากขึ้นมาพร้อมกับโยนข้ามหัวตัวเองตรงไปผู้ที่บังอาจบุกรุกและก็แม่นเสียด้วยเพราะหนังสือเล่มหนาลอยละล่องมากระทบกับบ่าเล็กเข้าอย่างจัง

“โอ๊ย!...”

นาราภัทรทรุดฮวบลงไปกองกับพื้นขนาดรู้ตัวมาก่อนแล้วว่าจะเจอพายุอารมณ์แบบนี้และพยายามหลบแล้วแต่กระนั้นก็ยังเจอมุมหนังสือเข้าจังๆ

“น้ำหนาว...”

เจ้าชายซารีฟร์ร้องครางผงกหัวขึ้นหันขวับมาตามต้นเสียงและเมื่อได้เห็นร่างบางที่ทรุดตัวลงนั่งกับพื้นพรมพร้อมกับยกมือกุมบ่าเล็กไว้เพราะความเจ็บปวดก็รู้สึกผิดเต็มประดาร่างกำยำใหญ่โตรีบผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยหวังที่จะเข้าไปประคองเอ่ยขอโทษหญิงที่รักแต่เนื่องด้วยอาการไข้ที่ยังคงรุมเร้าจนใบหน้าคมเข้มแดงก่ำกอปรกับการลุกขึ้นอย่างรวดเร็วฉับพลันทำให้เจ้าตัวหน้ามืดร่างใหญ่กำยำซวนเซก่อนจะล้มลงไปนอนแผ่หลาอยู่ใกล้ๆ กับร่างบางหอมกรุ่น

“เจ้าชายซารีฟร์! ตัวร้อนจี๋เลย”

นาราภัทรกรีดร้องด้วยความตกใจผวาเข้าไปประคองศีรษะอีกฝ่ายให้เกยอยู่บนตักและทันทีที่แตะโดนตัวเจ้าชายหนุ่มก็ต้องสะดุ้งโหยงเพราะความร้อนผ่าวจากพิษไข้

“ราชิต อาดิล ใครก็ได้ที่อยู่ข้างนอกเข้ามาช่วยประคองเจ้าชายด้วย”

ไม่ต้องรอให้พระชายาตะโกนเรียกให้เจ็บคอไม่กี่วินาทีต่อมาทั้งราชิตและอาดิลต่างก็วิ่งเข้ามาในห้องนอนอย่างรวดเร็วพอได้เห็นสภาพของเจ้าเหนือหัวที่กำลังนอนแผ่หลาอยู่บนพื้นพรมก็ตกใจหน้าถอดสีรีบวิ่งเข้าไปประคองให้ลุกขึ้นแต่ไม่ทันได้แตะโดนตัวเจ้าชายหนุ่มก็ถูกตวาดลั่นจนต้องหดมือกลับอย่างรวดเร็ว

“ไม่ต้อง! เราลุกเองได้ ไม่ต้องมาช่วย”

เจ้าชายซารีฟร์ปัดมือใหญ่ของเหล่าองครักษ์ออกพร้อมกับตวาดเสียงห้วนจัดพยายามยันกายลุกขึ้นนั่งทั้งๆ ที่รู้ว่าตนเองนั้นไม่ไหวแล้ว

“อย่าดื้อได้ไหมเจ้าชายซารีฟร์ ไม่สบายมากขนาดนี้แล้วยังดื้อด้านเอาแต่ใจเหมือนเดิม”

นาราภัทรตวาดดุด้วยความโมโหระคนเป็นห่วงคนในอ้อมแขนจับร่างใหญ่โตที่พยายามจะลุกขึ้นยืนด้วยตนเองให้อยู่นิ่งๆ จากนั้นก็หันไปเอ่ยสั่งเหล่าองครักษ์อีกครั้ง

“ราชิต อาดิลประคองเจ้าชายไปที่เตียงหน่อย”

“พะยะค่ะ”

องครักษ์ทั้งสองรับคำพร้อมๆ กัน ต่างก็กลั้นหัวเราะจนหน้าแดงเมื่อยกรามขณะที่ได้ยินพระชายาออกคำสั่งแกมดุเจ้าชายหนุ่มผู้ยิ่งใหญ่ไปในตัว ตั้งแต่รับใช้เจ้าชายซารีฟร์มาพวกเขาเพิ่งเคยเห็นเจ้าชายทำตัวงอตีหน้ามุ่ยก็ครั้งนี้แต่กระนั้นก็ยอมทำตามคำสั่งของอิสตรีเพศเป็นครั้งแรกโดยไม่มีการคัดค้าน

“หยุดหัวเราะได้แล้ว”

เจ้าชายซารีฟร์ขึงตาใส่ตวาดเหล่าองครักษ์ตัวแสบที่ยังคงพากันกลั้นหัวเราะไว้จนสุดความสามารถแต่ก็ยังมีเสียงหัวเราะเล็ดลอดลอยมากระทบหูให้เขาได้โกรธเคือง

“ประคองพระชายาให้ลุกขึ้นด้วย”

เจ้าชายหนุ่มออกคำสั่งแผ่วเบาอยากเป็นผู้เข้าไปโอบกอดประคองหญิงอันเป็นที่รักให้ลุกขึ้นยืนด้วยสองมือของตนเองแต่เนื่องด้วยสภาพร่างกายที่ไม่เอื้ออำนวยจึงจำเป็นต้องออกคำสั่งให้องครักษ์เป็นผู้ทำหน้าที่แทน

องรักษ์ราชิตขยับกายเข้าไปใกล้ร่างบางก่อนจะโค้งคำนับเป็นการขออนุญาตแล้วยื่นมือไปจับต้นแขนเนียนช่วยประคองพระชายาได้ลุกขึ้นยืนบ้าง

“พาเจ้าชายไปที่เตียงค่ะ แล้วก็หาผ้าขนหนูผืนเล็กให้น้ำหนาวสักสองผืนขอน้ำเย็นด้วยนะคะ”

“พะยะค่ะ กระหม่อมจะไปเตรียมมาให้พระชายาเดี๋ยวนี้พะยะค่ะ”

อาดิลรับคำสั่งหลังจากช่วยประคองเจ้าเหนือหัวให้ล้มตัวลงนอนบนเตียงใหญ่จากนั้นก็รีบผละออกไปทำตามคำสั่งโดยไม่รอช้า

“อาดิล ถ้าหมอมาถึงให้รีบเข้ามาในห้องเลยน่ะ”

นาราภัทรเอ่ยบอกองครักษ์หนุ่มพร้อมกันนั้นมือบางก็เอื้อมไปปลดกระดุมเสื้อออกเป็นแถวก่อนจะถอดเสื้อเชิ้ตออกโดยมีราชิตช่วยอีกแรง

“ใครสั่งให้ตามหมอ” คนป่วยผงกหัวขึ้นตวาดถามเสียงดังตีหน้าบึ้งขึงตามองด้วยความไม่พอใจ

“น้ำหนาวเป็นคนออกคำสั่งเองหายข้องใจหรือยังคะ”

นาราภัทรเอ่ยตอบเสียงแข็งขึงตาโต้กลับโดยไม่ลดละ คราวนี้คนป่วยหุบปากฉับยอมล้มตัวลงนอนตามแรงผลักเบาๆ ของมือเล็กถึงแม้ยังเสียใจระคนโกรธเคืองกับเรื่องที่ทะเลาะกันเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาแต่เจ้าชายหนุ่มก็ดีใจที่นาราภัทรยอมเสียเวลามาดูแลตัวเขาแม้ในยามราตรีกาลดึกดื่นเช่นนี้

ราชิตกลั้นหัวเราะจนไหล่สั่นสะท้านหน้าแดงก่ำปวดเมื่อยกล้ามไปหมดนึกๆ แล้วก็อยากให้เจ้าชายนักรักผู้ไม่เคยลงให้กับหญิงใดได้นอนป่วยสักอาทิตย์จะได้ถูกพระชายาแสนสวยปราบเสียให้เข็ด

“น้ำกับผ้าได้แล้วพะยะค่ะ”

องครักษ์อาดิลร้องบอกมาแต่ไกลในมือใหญ่ทั้งสองมีกะละมังใบเล็กถือมาด้านละข้างจากนั้นก็วางลงบนโต๊ะเล็กข้างหัวเตียงแล้วชุบผ้าขนหนูสีขาวผืนเล็กลงในน้ำบิดจนแห้งหมาดๆ ยื่นให้พระชายากับราชิต

“ให้พระชายาทำคนเดียวก็พอแล้ว” เจ้าชายซารีฟร์เอ่ยบอกเสียงอ่อนแรงปัดมือใหญ่ของราชิตที่กำลังเอื้อมมาช่วยเช็ดตัวให้ออกห่าง

“ไม่เป็นไร น้ำหนาวทำคนเดียวก็ได้ค่ะ”

นาราภัทรรับผ้าขนหนูมาถือไว้แล้วขยับกายขึ้นไปนั่งใกล้ๆ กับใบหน้าคมเข้มที่ยังคงแดงก่ำด้วยพิษไข้ หญิงสาวคลี่ผ้าขนหนูให้เต็มฝ่ามือจากนั้นก็เริ่มเช็ดตั้งแต่หน้าผากกว้างใบหน้าคมสากเต็มไปด้วยไรเคราที่เริ่มขึ้นเขียวครึ้มทั่วสันคางบึกบึน

“ปวดหัวจังเลยน้ำหนาว”

นาราภัทรกลั้นหัวเราะเงยหน้าขึ้นมองเหล่าองครักษ์ที่พากันอมยิ้มกว้างกลั้นหัวเราะด้วยความขบขำไม่ต่างจากเธอ ใครว่ามีแค่เด็กตัวเล็กๆ ที่ออดอ้อนทำตัวให้ผู้ใหญ่สงสาร คนตัวใหญ่กำยำแข็งแกร่งอย่างเจ้าชายซารีฟร์ อัล ริฟาอีลส์ ก็ทำเป็นเหมือนกันแถมยังอ้อนได้น่าสงสารเสียด้วย

“ไม่ต้องมาทำเสียงอ่อยตีหน้าเศร้าเลยน่ะ คุณหมอมาตรวจก็ไม่ยอมให้ดูอาการ เป็นไข้ตัวร้อนแทนที่จะนอนพักกลับไปนั่งทำงานดึกดื่น ไม่ปวดหัวก็ไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว”

นาราภัทรตีลงไปหนักๆ บนบ่ากว้างบ่นเสียยืดยาวพลางรับผ้าขนหนูมาอีกผืนจากองครักษ์อาดิลแล้วค่อยๆ เช็ดไล่ความร้อนตามลำคอออกเขินอายหน้าแดงก่ำอยู่บ้างเมื่อเลื่อนมือมาถึงแผงอกกว้างบึกบึนเต็มไปด้วยมัดกล้ามที่มีไรขนอ่อนๆ ขึ้นประปราย

“อยากป่วยแบบนี้สักอาทิตย์เจ้าจะได้ไม่หนีหายไปไหน จูบเราหน่อยได้ไหมน้ำหนาว เราคิดถึงเจ้าจะแย่อยู่แล้ว”

คนป่วยตัวใหญ่ปรือตามองด้วยแววตาหวานฉ่ำยังคงอ้อนร้องขอความเห็นใจเหมือนเดิม เมื่อไม่ได้รับการตอบสนองจากพระชายาที่รักยิ่งก็ผงกหัวขึ้นโอบแขนไปรอบแผ่นหลังของนาราภัทรแล้วเป็นฝ่ายประทับจุมพิตดูดดื่มหอมหวานเนิ่นนาน

“พอแล้วค่ะ อายราชิตกับอาดิลบ้างสิ” นาราภัทรกระซิบดุแนบชิดกับริมฝีปากร้อนผ่าวอายจนหน้าแดงก่ำเลือดอุ่นๆ ไหลทั่วเรือนร่าง

เจ้าชายซารีฟร์ยิ้มบางๆ อย่างโรยแรงก่อนจะกระซิบตอบให้อีกฝ่ายสบายใจ

“เจ้าสองคนนั่นมันรู้หน้าที่ดี ไม่มีใครแอบดูเราหรอก”

นาราภัทรแอบเหลือบสายตามองเหล่าองครักษ์ด้วยความเขินอายแล้วก็เป็นจริงเหมือนที่เจ้าชายซารีฟร์ได้เอ่ยบอกองครักษ์หนุ่มทั้งสองพากันก้มหน้านิ่งกุมมือประสานอยู่หน้าตักตนเองไม่มีใครแสดงกริยาสอดรู้สอดเห็นกับการกระทำเรียกพลังกำลังใจของเจ้าเหนือหัว

น้ำเสียงที่เอ่ยต่อว่าอย่างงอนๆ พร้อมกับการพลิกตัวหันหลังให้ทันทีที่พูดจบทำให้นาราภัทรต้องหลุดเสียงหัวเราะเอ่ยต่อว่าอย่างอดไว้ไม่อยู่

“เอาแต่ใจไม่พอแล้วยังขี้งอนอีก”

หญิงสาวก้มหน้าลงลดริมฝีปากเข้าไปใกล้จนลมหายใจเป่ารินรดแก้มสากจากนั้นก็เอ่ยสารภาพให้เจ้าชายหนุ่มหายงอนแย้มยิ้มออกมาได้

“ไม่ได้รังเกียจค่ะ แต่ว่าอายเสียมากกว่า”

“ถ้างั้นเอาผ้าห่มมาคลุมไว้ตรงเอวก็ได้ตอนที่เราเปลือยกายเจ้าจะได้ไม่อายเท่าไหร่”

“เฮ้อ...ถ้าหากไม่ป่วยอยู่จะไม่ยอมทำตามเด็ดขาด”

นาราภัทรบ่นงึมงำหยิบผ้าห่มมาคลุมตรงช่วงเอวก่อนจะถอดกางเกงขายาวออกจากเรือนกายกำยำกว่าจะถอดออกได้ก็เล่นเอาเหงื่อตกเหมือนกัน หญิงสาวหันไปรับผ้าขนหนูที่บิดหมาดๆ มาจากองครักษ์จากนั้นก็เริ่มเช็ดลดความร้อนตามท่อนขาเรียวขาแข็งแกร่งทั้งสองข้าง ใบหน้างามลออแดงก่ำร้อนผ่าวทุกครั้งที่เอื้อมมือไปเช็ดตรงบริเวณต้นขาด้านในพอมือตัวเองพลั้งไปสัมผัสโดนกองไฟร้อนฉ่าที่ตั้งเด่นตระหง่านสู้มือทันทีก็มีอันต้องเขินอายหลบตาคมกริบซึ่งกำลังทอดมองด้วยเพลิงแห่งความปรารถนา

“สาบานว่าจะยอมให้พิษไข้เล่นงานแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวในชีวิต”

เจ้าชายซารีฟร์กัดฟันกรอดระงับความต้องการที่แล่นพล่านราวกับสายน้ำที่ไหลเชี่ยวกรากไว้สุดกำลังไม่เคยรู้สึกแย่เท่ากับครั้งนี้มาก่อนด้วยอยากโรมรันบรรเลงเพลิงรักจนร่างกายปวดหนึบแทบระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ แต่ก็ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะลุกขึ้นเพื่อทำตามที่ใจต้องการ

“น้ำหนาว” เจ้าชายหนุ่มกระซิบเรียกเสียงสั่นส่งภาษามือให้หญิงสาวก้มลงมาใกล้ๆ ริมฝีปากของตนเอง

“ค่ะ อะไรคะ” นาราภัทรเอ่ยถามพร้อมกับยื่นผ้าขนหนูให้ราชิตแล้วรับผืนใหม่มาเช็ดตามลำตัวให้อีกครั้ง

“ก้มลงมาใกล้ๆ หน่อยเราไม่มีแรงตะโกน” คนป่วยเอ่ยร้องขอแกมออกคำสั่ง

“เรื่องมากจริงๆ” นาราภัทรต่อว่าไม่จริงจังนักแต่ก็ยอมทำตามคำร้องขอของคนป่วย

เจ้าชายซารีฟร์ยิ้มแพรวพราวดวงตาคมกริบเผยแววเจ้าเล่ห์ให้เห็นก่อนจะกระซิบร้องขอเสียงแหบพร่าชิดกับเรียวปากอวบอิ่ม

“เราไม่มีแรงแต่เจ้ายังมี...เพราะฉะนั้นเจ้าเป็นคนคุมเกมส์น่ะ”

“เจ้าชายซารีฟร์!”

นาราภัทรตวาดแว้ดทุบลงไปบนอกกว้างบึกบึนอย่างเหลืออดอายจนหน้าแดงซ่านร้อนผ่าวไปทั้งตัวกับคำร้องขอที่รู้ดีว่าหมายถึงอะไร

“เงียบ! ไม่ต้องพูดเลยแล้วก็นอนเฉยๆ รอคุณหมอมาดูอาการ”

หญิงสาวดุเสียงห้วนถลึงตาใส่ไม่สนใจว่าคนที่ถูกตวาดแว้ดๆ จะเป็นถึงเจ้าชายองค์รองแห่งแผ่นดินทะเลทรายที่กว้างใหญ่ไพศาล เธอรับชุดนอนมาจากราชิตแล้วสวมให้คนป่วยโดยมีอาดิลเข้ามาช่วยอีกแรง

เจ้าชายซารีฟร์หน้าม้านรีบตีหน้าบึ้งจ้องมองเหล่าองครักษ์ที่พากันหัวเราะร่วนด้วยความขบขำโดยไม่นึกเกรงใจเขาสักนิด

“หยุดหัวเราะได้แล้วเจ้าราชิตเจ้าอาดิล ถ้าใครเอาเรื่องนี้ไปบอกท่านพี่ฮารีฟร์เราจะสั่งให้ขังลืมสักเดือน”

องครักษ์ทั้งสองโค้งคำนับรับคำสั่งโดยไม่เอ่ยวาจาออกมาเนื่องจากยังหยุดหัวเราะไม่ได้ พวกเขาไม่นึกเกรงกลัวกับคำขู่ของเจ้าเหนือหัวหนุ่มเพราะพวกเขาไม่เคยขัดคำสั่งโทรไปรายงานเจ้าชายฮารีฟร์จะมีก็แต่ประมุขแห่งอัลนูรีนเท่านั้นที่เป็นฝ่ายโทรมาสอบถามข่าวคราวของอนุชาอย่างต่อเนื่องและเมื่อเจ้าชายฮารีฟร์เป็นผู้เอ่ยถามพวกเขาก็เป็นคนเอ่ยตอบเพราะฉะนั้นก็ไม่ถือว่าเป็นการขัดคำสั่งใดๆ ทั้งสิ้น

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พายุรักแห่งเม็ดทราย