พายุรักแห่งเม็ดทราย นิยาย บท 49

ราชิตเอ่ยค้านจนหนทางที่จะช่วยคลายสถานการณ์รักที่ไม่สมหวังซึ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในชีวิตของเจ้าชายนักรักแห่งทะเลทราย

“อาดิล! เรานึกอะไรออกแล้ว” ราชิตร้องออกมาอย่างมีความหวังนึกถึงใบรับรองแพทย์ที่ตนเองเก็บได้ในคืนวันที่ไปหาพระชายา

“เจ้ารอแป๊บหนึ่งน่ะเราจะไปเอาเอกสารบางอย่างให้เจ้าดู”

ราชิตสาวเท้ายาวๆ เกือบเป็นวิ่งไปที่ห้องพักของตนเองรื้อหาใบรับรองแพทย์อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะวิ่งกลับมาหาเพื่อนรักแล้วยื่นให้อีกฝ่ายได้ดูบ้าง

อักษรไทยที่ขีดเขียนพิมพ์ลงบนกระดาษสีขาวแผ่นบางไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับเหล่าองครักษ์ที่ได้รับการฝึกสอนให้อ่านเขียนภาษาไทยเป็นภาษาที่สามรองจากภาษาอาหรับและภาษาอังกฤษ อาดิลรับกระดาษแผ่นบางมาคลี่อ่านแล้วยิ้มแป้นด้วยความดีใจยิ่งยวดจากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองเพื่อนรัก

“พระชายาตั้งครรภ์” อาดิลเอ่ยออกมาด้วยความดีใจตื่นเต้น

“ใช่แล้วอาดิล เราเก็บใบรับรองแพทย์ได้วันที่ไปรับพระชายาที่บ้าน”

“ไปบอกเจ้าชายเดี๋ยวนี้เลยราชิต ถ้าเจ้าชายรู้เรื่องที่พระชายาตั้งครรภ์ต้องดีใจยกเลิกการกลับอัลนูรีนแล้วกลับไปง้อพระชายาแน่นอน”

ราชิตยิ้มกว้างพยักหน้าเห็นด้วยรับใบรับรองแพทย์มาจากเพื่อนรักแล้วพับตามรอยเดิมก่อนจะก้าวยาวๆ ไปหาเจ้าเหนือหัวที่ยังคงนั่งเอนกายหลับตานิ่งพิงพนักเก้าอี้อยู่ในท่าเดิม

“พระองค์พะยะค่ะ กระหม่อมอยากบอกข่าวดีของพระชา...”

“ถ้าหากเป็นเรื่องของน้ำหนาวเราไม่อยากได้ยินอีก” มือใหญ่ยกขึ้นโบกปัดน้ำเสียงสั่งห้ามสั้นห้วนสวนกลับทั้งๆ ที่ยังหลับตานิ่ง

“พระองค์ฟังกระหม่อมสักนิดเถอะพะยะค่ะ”

ราชิตเซ้าซี้ด้วยความหวังที่เหลือน้อยเต็มที แล้วอีกไม่กี่วินาทีต่อมาก็ต้องสะดุ้งเฮือกผงะถอยหลังไปหลายก้าวเมื่อเจ้าชายซารีฟร์เปิดเปลือกตาขึ้นจ้องมองด้วยดวงตาลุกวาวตวาดสั่งเสียงห้วนเน้นทีละคำ

“ออก...ไป...ราชิต!...”

“พะ...พะยะค่ะ กระหม่อมไปแล้วพะยะค่ะ”

ราชิตหันหลังกลับก้าวเผ่นแนบแบบไม่คิดชีวิต ตั้งแต่อยู่รับใช้เจ้าชายซารีฟร์มาเขายังไม่เคยเห็นเจ้าชายมีท่าทีโกรธเคืองพวกตนเหมือนครั้งนี้มาก่อน

“ตาเจ้าแล้วอาดิล”

ราชิตยื่นใบรับรองแพทย์ให้อาดิลแล้วดุนหลังเพื่อนรักซึ่งตีสีหน้าหวาดหวั่นให้เดินตรงไปหาเจ้าชายซารีฟร์ที่ยังคงถมึงทึงดวงตาลุกโชนด้วยไฟพิโรธ

“หยุด! อยู่ตรงนั้นอาดิลไม่ต้องมาพูดเรื่องของน้ำหนาวอีก ถ้าหากพวกเจ้าสองคนยังกล้าขัดคำสั่งเราอีกเราจะสั่งให้นักบินลงจอดท่าอากาศยานที่จะถึง”

เจ้าชายองค์รองแห่งทะเลทรายตวาดลั่นเครื่องบินทั้งๆ ที่นั่งหันหลังให้เหล่าองครักษ์แต่ก็รับรู้ได้ว่าคนที่กำลังเดินช้าๆ มาหาตนเองนั้นเป็นใคร

อาดิลชะงักกึกไม่กล้าก้าวเท้าต่อรู้ว่าเจ้าชายผู้ยิ่งใหญ่เป็นคนเด็ดขาดพูดคำไหนก็เป็นคำนั้น ถ้าหากให้นักบินลงจอดท่าอากาศยานข้างหน้าคงไม่แคล้วเป็นตัวเขากับราชิตที่ต้องลงจากเครื่อง อาดิลหันไปมองเพื่อนรักที่พยักพเยิดบุ้ยปากให้ส่งใบรับรองแพทย์ให้เจ้าชายแล้วหันกลับมามองแค่มองหลังของเจ้าเหนือหัวพร้อมกับสูดลมหายเข้าปอดลึกๆ เพื่อเรียกความกล้าให้กับตนเองก่อนจะก้าวเท้าไปใกล้อีกนิดหนึ่งแล้ววางใบรับรองแพทย์ไว้บนพนักเก้าอี้จากนั้นก็รีบโกยแนบไม่คิดชีวิตไม่ต่างจากราชิตเพื่อนรักที่ได้เผ่นหนีก่อนหน้านี้ไม่กี่นาที

“พระองค์เปิดดูเอกสารฉบับนี้ด้วยพะยะค่ะ”

เจ้าชายซารีฟร์เหลือบสายตามองกระดาษสีขาวที่พับเรียบร้อยซึ่งวางอยู่บนที่พักแขนมือหนาเอื้อมไปหยิบกระดาษสีขาวแล้วขยำเป็นก้อนกลมก่อนจะทิ้งลงแทบเท้าโดยไม่ยอมเปิดอ่านให้เสียเวลาจากนั้นก็สั่งกำชับเสียงห้วนจัด

“อย่าได้เอาอะไรมาวางให้เกะกะสายตาเราอีก”

อาดิลมองเพื่อนรักก่อนจะส่ายหน้าอย่างหมดหวังทรุดลงนั่งกุมขมับจนปัญญาหมดหนทางที่จะแก้ไขสถานการณ์ความรักอันอึมครึมม่านเมฆร้ายที่ปกคลุมทั่วหัวใจของเจ้าเหนือหัวทั้งสองให้จางหายไป

“เราจนปัญญาแล้วราชิตไม่รู้จะทำยังไงต่อไป”

“เราก็เหมือนกันมืดแปดด้านคิดอะไรไม่ออกเหมือนกัน”

ราชิตนั่งกุมขมับด้วยท่าทางที่ไม่ต่างจากอาดิล ดวงตาคมจ้องมองเจ้าเหนือหัวด้วยความเป็นห่วงแต่ก็ไม่รู้จะทำเช่นได้ดี ตอนนี้เขาและอาดิลได้แต่ภาวนาอ้อนวอนต่อเม็ดทรายทั่วทั้งแผ่นดินอัลนูรีนช่วยดลบันดาลให้เจ้าชายนักรักได้สุขสมหวังกับรักแท้รักเดียวที่เกิดขึ้นกับดอกไม้งามแห่งสยาม...

ท่าอากาศยานนานาชาติอัลนูรีน...แผ่นดินทะเลทรายสีทอง

เจ้าชายซารีฟร์ อัล ริฟาอีลส์ผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ก้าวเท้าเหยียบลงไปบนใบรับรองแพทย์ที่ถูกขยำทิ้งเป็นก้อนกลมขณะเดินออกตามทางเดินตรงไปยังประตูเครื่องบินเมื่อการเดินทางกลับแผ่นดินเกิดได้สิ้นสุดลง ถึงแม้หัวใจยังคงเจ็บร้าวกับรักแท้ที่ไม่อาจสมหวังหนทางรักที่ไม่อาจมาบรรจบกันได้ทำให้เจ็บปวดร้าวระบมทุกครั้งที่หายใจแต่ถึงกระนั้นหัวใจแข็งแกร่งก็ยังคงแจ่มชื่นมีพลังขึ้นมาบ้างเมื่อได้ย่างก้าวเหยียบลงแผ่นดินบ้านเกิดเมืองนอนที่จากไปไกลนานแรมปี และเมื่อได้เห็นบุคคลอันเป็นที่รักยิ่งได้มารอรับถึงบันไดเครื่องบินทำเอาเจ้าชายองค์รองแห่งอัลนูรีนถึงกับมีน้ำหล่อเลี้ยงในดวงตาคมกริบดำขลับ

“ท่านพี่ของน้อง”

เจ้าชายซารีฟร์เอ่ยเรียกเชษฐาด้วยน้ำเสียงดีใจรีบสาวเท้ายาวๆ ตรงเข้าไปหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าเชษฐาจากนั้นก็ทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าทำความเคารพเชษฐาอย่างนบน้อมตามประเพณีโบราณของอัลนูรีนโดยการเอื้อมมือไปแตะที่เท้าของเชษฐาแล้วยกขึ้นมาแตะที่ศีรษะกับหัวใจของตนเอง

“ซารีฟร์น้องรักลุกขึ้นเถอะ”

เจ้าชายฮารีฟร์โน้มตัวจับบ่ากว้างไว้แน่นแล้วช่วยพยุงให้อนุชาได้ลุกขึ้นยืน ดวงตาคมที่ทอดมองอนุชาองค์รองเต็มไปด้วยความรักภาคภูมิใจ

นีราพรรณเอ่ยกลั้วหัวเราะเงยหน้าขึ้นยิ้มหวานให้พระสวามีจากนั้นก็หันมายกมือไหว้ทำความเคารพเจ้าชายซารีฟร์ที่ยืนหัวเราะร่วนท่าทางชอบอกชอบใจกับคำพูดของเธออยู่ไม่น้อย

เจ้าชายหนุ่มนักรักหัวเราะร่วนทั้งสีหน้าแววตาเผยให้เห็นความยินดีที่เชษฐาได้เลือกหญิงงามแห่งสยามที่เหมาะสมและควรคู่กันมากที่สุด เขาก้าวเท้าเข้าไปใกล้ราชินีอีกนิดหนึ่งก่อนจะดึงร่างบอบบางมาจากอ้อมแขนของเชษฐาแล้วสวมกอดสมาชิกคนใหม่ของครอบครัวไว้แน่นโดยไม่สนใจอาการขึงตาจ้องมองเขม็งของเชษฐา

“ยินดีต้อนรับราชินีคนสวยเข้าสู่อ้อมกอดของแผ่นดินทะเลทราย”

เจ้าชายฮารีฟร์แกล้งขึงตามองทำเสียงฮึดฮัดไม่พอใจที่ราชินีคนสวยถูกฉกไปต่อหน้าต่อตาและเมื่อปล่อยให้อนุชาได้กอดต้อนรับนีราพรรณเป็นที่พอใจแล้วจึงได้โอบกอดร่างบอบบางให้กลับมาสู่อ้อมกอดของตนเองเหมือนเดิม

“พี่รู้สึกว่าน้องตัวใหญ่ขึ้นมากเลยน่ะ”

เจ้าชายฮารีฟร์เอ่ยแซวยิ้มๆ หลังจากมีเวลาได้สำรวจเรือนกายของอนุชาด้วยสายตาพร้อมกันนั้นก็ตบมือไปตามลำตัวต้นแขนแข็งแกร่ง

“คงเป็นเพราะอาหารนมเนยขอพวกฝรั่งมั้งท่านพี่ที่ทำให้น้องอ้วนขึ้นหลายกอง”

ผู้เป็นอนุชายิ้มกว้างขณะเอ่ยตอบเชษฐารู้สึกอบอุ่นสุขใจที่ได้กลับมายังมาตุภูมิของตนเอง

“อืม...ไม่ใช่เพราะมีแม่ครัวฝีมือเลิศไปทำอาหารให้ทานทุกวันหรอกหรือ”

เพราะยังไม่ได้รับรายงานสถานการณ์ความเคลื่อนไหวล่าสุดของอนุชากับผู้ที่กำลังจะก้าวมาเป็นน้องสะใภ้เจ้าชายฮารีฟร์จึงได้เอ่ยแซวต่อ

เจ้าชายซารีฟร์ตีหน้าขรึมขึ้นมาทันที ดวงตาคมกริบเผยให้เห็นแววเจ็บปวดอยู่ชั่วขณะจิตก่อนที่เจ้าตัวจะกะพริบให้จางหายไปพร้อมกับสายลมที่พัดผ่าน

“ไม่มีแม่ครัวไม่มีใครทั้งนั้นกระหม่อมอยู่คนเดียว”

“หมายความว่าไงซารีฟร์? แล้วน้ำหนาว...น้องเลิกกับน้ำหนาวแล้วงั้นหรือ” ผู้เป็นเชษฐาร้องถามเสียงหลงออกจะงุนงงกับถ้อยคำปริศนาของอนุชาอยู่ไม่น้อย

เจ้าชายซารีฟร์ฝืนยิ้มให้กับทุกคนก่อนจะเอ่ยตอบเสียงเศร้า “เปล่าพะยะค่ะ กระหม่อมไม่ได้เลิกกับน้ำหนาว เพราะน้ำหนาวไม่เคยยอมคบยอมรับกระหม่อมเป็นชายคนรัก ไม่แม้แต่รับรักที่กระหม่อมได้วางอยู่แทบเท้าของเธอ”

เจ้าชายฮารีฟร์หันมามองราชินีกับอนุชาองค์เล็กที่ตีสีหน้าตกใจไม่แพ้กันก่อนจะตะโกนถามอนุชาที่เดินลิ่วๆ ตรงไปยังรถเก๋งคันใหญ่ที่ประทับตราหลวงซึ่งจอดรถรอรับอยู่แล้ว

“ซารีฟร์อธิบายให้พี่ฟังหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้น”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พายุรักแห่งเม็ดทราย