บรรยากาศในยามราตรีกาลที่ไร้ซึ่งแสงจันทราสาดส่องช่างดูเงียบสงัดอ้างว้างไม่ต่างจากจิตใจอันเปราะบางของนาราภัทรในขณะนี้ หญิงสาวนั่งซบหน้าอยู่บนโต๊ะทำงานเป็นเวลานานเหลืออีกแค่ไม่กี่นาทีก็ล่วงเข้าเช้าของวันใหม่ การจากไปของเจ้าชายซารีฟร์โดยไม่กล่าวลาไม่บอกให้ทำใจล่วงหน้าราวกับต้องการตัดขาดลบเธอออกไปจากใจแข็งแกร่งเย็นชาดุจหินผาของตัวเจ้าชายนักรักทำให้เจ็บปวดเกินคณานับร้าวระบมทุกคราที่สูดลมหายใจ ถ้าหากไม่มีลูกน้อยในครรภ์ซึ่งกำลังเติบโตทุกวันคืนคอยเป็นพลังกำลังใจให้หยัดกายต่อสู้ต่อผู้ที่เป็นแม่ก็ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่เช่นไร
นาราภัทรสูดสะอื้นขณะปล่อยให้หยาดหยดน้ำตาอุ่นพร่างพรูลงเป็นทางยาวลงมากระทบกับแหวนทับทิมวงงามที่สวมใส่
“คงมีเพียงแหวนทับทิมวงนี้กับลูกของแม่ที่เป็นสิ่งย้ำเตือนให้รู้ว่าครั้งหนึ่งแม่เคยมีความสุขกับการได้ใช้ชีวิตเพียงสั้นๆ กับเจ้าชายนักรักอย่างเจ้าชายซารีฟร์”
หญิงสาวรำพึงรำพันน้ำตาไหลนองมือข้างหนึ่งเอื้อมไปลูบหน้าท้องของตนเองก่อนจะวางประทับแน่นิ่งถ่ายทอดความรักผ่านมือเล็กไปสู่ตัวลูกน้อย เรียวปากอิ่มสั่นระริกจากแรงสะอื้นได้ประทับจุมพิตลงไปบนแหวนทับทิมวงงามที่ตนเองรักและหวงแหน หญิงสาวซบหน้าร่ำไห้กับฝ่ามืออีกครั้งนึกเกลียดตัวเองเหลือเกินที่เป็นคนขี้ขลาดหวาดกลัวไม่กล้ารับรักเจ้าชายซารีฟร์ ใจหนึ่งอยากเปิดออกรับความรักเต็มอ้อมอก แต่อีกใจหนึ่งก็เอ่ยคัดค้านจะเชื่อได้เพียงใดสำหรับลมปากคำบอกรักของคาสโนว่าแห่งแผ่นดินทะเลทรายผู้ไม่เคยขาดอิสตรีรอบกายแม้เพียงวินาทีเดียว
กาลเวลาได้เดินทางล่วงเข้าสู่เช้าของวันใหม่เมื่อคุณกมลได้ประคองแก้วนมอุ่นใบใหญ่พร้อมกับเคาะประตูห้องทำงานเบาๆ ก่อนจะเอ่ยเรียกลูกสาวด้วยความเกรงใจ
“น้ำหนาว พ่อเข้าไปได้ไหมลูก”
นาราภัทรรีบยกมือขึ้นปาดน้ำตาปรับสีหน้าแววตาให้คลายจากอาการหมองเศร้าพยายามบังคับน้ำเสียงให้ฟังดูเป็นปกติที่สุดขณะตะโกนเปิดและเดินมาเปิดประตูให้บิดา
“น้ำหนาวยังไม่นอนค่ะคุณพ่อ เดี๋ยวน้ำหนาวเปิดประตูให้ค่ะ”
“ยังทำงานอยู่อีกหรือลูก”
คุณกมลวางแก้วนมอุ่นๆ ลงบนโต๊ะทำงานพลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเมื่อเห็นหน้าจอโน๊ตบุ๊คยังคงเปิดค้างอยู่ที่เรื่องงานภายในโรงแรม
“เกือบเสร็จแล้วค่ะคุณพ่อ น้ำหนาวกำลังเตรียมงานนิทรรศการแสดงภาพของเจ้าชายชารีฟร์ อนุชาองค์เล็กของเจ้าชายฮารีฟร์ต่อจากพี่น้ำเหนือ”
หญิงสาวหลีกเลี่ยงที่จะเอ่ยถึงบุรุษชาติอาหรับที่ทำให้เธอเจ็บปวดทุกคราที่คำนึงหวลหาอ้อมกอดอันแสนอบอุ่น
“ทำไมไม่ให้คนอื่นทำละลูก พ่อเห็นหนูเอางานที่โรงแรมมาทำต่อที่บ้านดึกดื่นแบบนี้หลายคืนติดกันแล้วน่ะ”
“น้ำหนาวอยากรับผิดชอบเองค่ะ งานระดับชาติแบบนี้ไม่อยากให้มีคำว่าผิดพลาด ยิ่งเป็นงานแสดงภาพของจิตกรเอกอย่างเจ้าชายชารีฟร์ อัล ริฟาอีลส์ แล้วยิ่งผิดพลาดไม่ได้” หญิงสาวฝืนยิ้มหวานให้บิดาสบายใจประคองให้ท่านนั่งลงบนโซฟาตัวยาวก่อนจะเอ่ยพูดต่อ
“คุณพ่อไม่ต้องเป็นห่วงว่าน้ำหนาวจะทำคนเดียวนะคะ ตอนนี้มีน้ำค้างเป็นแม่งานใหญ่แล้วก็องครักษ์คาซัจเป็นเสาเอกยังมีองครักษ์อีกเกือบสิบคนที่เจ้าชายฮารีฟร์ส่งให้มาดูแลงานนี้และช่วยแบ่งเบางานในโรงแรมด้วย”
“เหมือนฝันน่ะน้ำหนาว เดอะธาราแกรนด์โฮเทลของเราได้รับมาตรฐานเป็นโรงแรมระดับเกินห้าดาวและได้รับความไว้วางใจจากผู้นำบรรดาเศรษฐีจากทั่วทุกมุมโลกเลือกที่จะพักโรงแรมเราเป็นอับดับแรกถ้าหากได้มาเยือนเมืองไทย”
คุณกมลยิ้มกว้างด้วยความดีใจไม่นึกไม่ฝันมาก่อนว่าโรงแรมที่ตนเองก่อตั้งมาด้วยน้ำพักน้ำแรงชั่วทั้งชีวิตจะเดินทางไปไกลได้ถึงเพียงนี้
“คงต้องยกเครดิตให้เจ้าชายฮารีฟร์กับทีมนักบริหารจากอัลนูรีนที่ทำให้เดอะธาราแกรนด์โฮเทลก้าวมาถึงจุดนี้ได้”
นาราภัทรเอ่ยชมจากใจจริง การได้ร่วมงานกับทีมนักบริหารที่ล้วนแต่เป็นเหล่าองครักษ์ระดับหัวกะทินำทีมโดยองครักษ์คาซัจซึ่งเป็นผู้อยู่ดูแลงานที่โรงแรมโดยตรงทำเอาเธอทึ่งกับความคิดความสามารถของบุรุษอาหรับเหล่านี้
“ไหนๆ ก็มีคนมาช่วยดูแลงานที่โรงแรมแล้วพ่อว่าน้ำหนาวพักหน่อยไหมลูก วันมะรืนพวกเราก็ต้องเดินทางไปอัลนูรีนแล้ว พ่อว่าหนูน่าจะเตรียมตัวเดินทางได้แล้วน่ะ”
“พ่อคะน้ำหนาวไม่อยากไปอัลนูรีน” นาราภัทรเงยหน้าขึ้นมองบิดาก่อนจะเอ่ยบอกเสียงเศร้า
“แต่นี่เป็นงานแต่งงานของพี่สาวหนูน่ะลูก น้ำหนาวจะไม่ไปได้ไง”
คุณกมลออกจะตกใจอยู่บ้างกับความคิดของบุตรสาว ท่านรู้ดีว่าอะไรคือเหตุผลสำคัญที่ทำให้นางฟ้าตัวน้อยๆ ของท่านไม่อยากเดินทางไปยังดินแดนแผ่นดินทะเลทราย
“น้ำหนาวรู้ค่ะถ้าหากเลี่ยงได้น้ำหนาวก็อยากจะเลี่ยง”
ซุ่มเสียงที่เอ่ยตอบบิดาสั่นเครืออย่างที่เจ้าตัวบังคับไว้ไม่อยู่และเมื่อไม่อาจกลั้นน้ำตาได้อีกต่อไปก็จำยอมให้บิดาได้เห็นอาการโศกเศร้าเสียใจที่เผยออกมาพร้อมกับหยดหยาดน้ำตาที่ไหลรินเป็นทางยาว
ผู้เป็นบิดาได้เอื้อมมือไปเช็คคราบน้ำตาให้บุตรสาวอย่างอ่อนโยน “พ่อไม่เคยสอนให้หนูเลี่ยงปัญหาน่ะลูก อุปสรรคสิ่งกีดขวางปัญหาทั้งปวงมีไว้ให้เราเดินเข้าหาและแก้ไขด้วยมันสมองอันชาญฉลาด”
“แต่พ่อคะ ปัญหาครั้งนี้มันหนักเกินกว่าที่น้ำหนาวจะจัดการขจัดออกไปจากจิตใจของหนูได้”
หญิงสาวเอ่ยค้านเสียงสั่นสะอื้น ดวงตาคู่สวยที่มองบิดาเต็มไปด้วยหยาดน้ำตาแห่งความอาดูร
“มันไม่ได้หนักเกินไปเลยลูก ถ้าหากว่าน้ำหนาวยอมรับกับสิ่งที่เจ้าชายซารีฟร์ได้หยิบยื่นมาให้หนูทั้งหัวใจ”
นาราภัทรหยุดร่ำไห้สูดสะอื้นบังคับให้ความเจ็บปวดไหลลงสู่กายใจออกจะแปลกใจอยู่บ้างกับถ้อยคำของบิดาที่เอ่ยเป็นนัยๆ
“ทำไมแองจิล่าต้องทำกับน้ำหนาวแบบนี้ด้วย เราไม่เคยมีเรื่องโกรธเคืองกันเลย น้ำหนาวคบกับเธออย่างบริสุทธิ์ใจคอยช่วยเหลือเธอทุกเรื่องน้ำหนาวนึกไม่ถึงเลยว่าแองจิล่าจะหักหลังได้”
“เงินไงลูก เงินสามารถซื้อทุกอย่างได้แม้แต่จิตวิญญาณถ้าหากคนเหล่านั้นยอมให้กระดาษแผ่นบางๆ ครอบงำ องครักษ์ของเจ้าชายซารีฟร์ไปรีดคำตอบมาจากแแองจิล่าแล้ว เธอยอมรับผิดสารภาพบอกว่าทอมสันและพอลจ้างเธอร้อยดอลลาร์ให้ทำยังไงก็ได้เพื่อที่จะส่งตัวหนูไปสังเวยพวกมัน”
“น้ำหนาวจำได้เลาๆ ว่าหลังจากที่ดื่มพั้นซ์ไปแล้วก็รู้สึกราวกับกระโดดลงไปในกองไฟอยากถอดเสื้อผ้าออกให้หมด น้ำหนาวไม่รู้ตัวเลยว่าถูกวางยา น้ำหนาวจำได้เลือนๆ ว่าตัวเองถูกผลักเข้าไปในห้องที่มีสองคนนั้นรออยู่แล้ว น้ำหนาวพยายามช่วยเหลือตัวเองไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของคนชั่ว แต่ก็เหมือนหนีเสือปะจรเข้แทนที่จะช่วยน้ำหนาวหลุดพ้นจากภัยร้ายแต่เจ้าชายซารีฟร์กลับทำร้ายน้ำหนาวเสียเอง”
“น้ำหนาวฟังพ่อน่ะลูก พ่อไม่ได้เอ่ยแก้ตัวให้เจ้าชายซารีฟร์ แต่ในสถานการณ์เช่นนั้นคนที่ทำตกอยู่ที่นั่งลำบากคือเจ้าชายซารีฟร์ และเมื่อได้ทำในสิ่งที่ผิดพลาดไม่อาจเรียกคืนกลับมาได้เจ้าชายก็อยากรับผิดชอบทำทุกอย่างให้ถูกต้องตามที่ควรจะเป็น”
นาราภัทรยิ้มขื่นสีหน้ามองเศร้าก่อนจะเอ่ยถามบิดาเสียงสั่นเทา “เจ้าชายเขาบอกกับคุณพ่อว่าอยากแต่งงานกับน้ำหนาวเพียงเพื่อต้องการรับผิดชอบหรือคะ”
“เปล่าหรอกลูก เจ้าชายเขาบอกพ่อว่าเขารักน้ำหนาว”
“น้ำหนาวไม่อยากเชื่อคำพูดของเจ้าชายนักรักผู้ที่มีหญิงสาวมากหน้าหลายตาคอยเคลียคลออยู่ไม่ห่างกายแม้แต่วินาทีเดียวอย่างเจ้าชายซารีฟร์”
คุณกมลยิ้มเย็นทอดมองใบหน้างามติดเศร้าหมองของบุตรสาวด้วยความรักเอ็นดู ในบรรดาบุตรสาวทั้งสามคน น้ำหนาวเป็นคนที่ใจแข็งดื้อรั้นมากที่สุด ท่านรวบมือเล็กข้างซ้ายของบุตรสาวมากุมไว้ก่อนจะเอ่ยถาม
“พ่อไม่เคยเห็นแหวนทับทิมน้ำงามวงนี้มาก่อนและถ้าหากพ่อเดาไม่ผิดเจ้าชายซารีฟร์เป็นคนสวมให้หนูถูกไหมลูก”
นาราภัทรก้มลงพร้อมกับลูบแผ่วเบาที่เรือนแหวนด้วยความรักทะนุถนอม “เจ้าชายเป็นคนสวมให้ค่ะ เขาบอกว่าเป็นแหวนประจำยศของการเป็นเจ้าชายองค์รองแห่งราชวงศ์อัลนูรีน”
“พ่อคิดว่าต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว แหวนที่งดงามประเมินราคาไม่ได้ต้องมีความหมายมีคุณค่ากับเจ้าชายซารีฟร์อย่างเหลือล้ำ ผู้ชายน่ะลูกถ้าหากเขาไม่รักใครจริงๆ รักอย่างหมดใจเขาไม่มีทางมอบสิ่งของที่ล้ำค่ามีคุณค่าทางจิตใจให้กับหญิงผู้โชคดีคนนั้นหรอกลูก”
“แต่คุณพ่อคะเจ้าชายเขาก็เคยให้แหวนกับหญิงอื่นเหมือนกันแล้วก็ให้ต่อหน้าต่อตาน้ำหนาวด้วย”
นาราภัทรเอ่ยฟ้องบิดาด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดยังคงจำได้ติดตาติดใจตอนที่เจ้าชายซารีฟร์ให้แหวนเพชรกับนางแบบชื่อดังพร้อมกับมอบจุมพิตเป็นของแถมด้วย
“พ่อไม่เถียงหรอกถ้าหากเจ้าชายซารีฟร์จะเคยมอบของกำนัลให้กับหญิงอื่น แต่พ่ออยากให้น้ำหนาวคิดสักนิดถ้าหากเจ้าชายเขาไม่รักหนูทำไมเขาไม่ให้แหวนเพชรเหมือนกับผู้หญิงคนอื่นๆ รวยมหาศาลระดับเจ้าชายซารีฟร์จะซื้อแหวนให้น้ำหนาวสักกี่วงก็ได้เขาไม่จำเป็นต้องมอบแหวนที่ล้ำค่ามีคุณค่าทางจิตใจให้กับน้ำหนาว และถ้าหากเจ้าชายคิดเล่นๆ กับน้ำหนาวเหมือนหญิงอื่นเจ้าชายก็ไม่จำเป็นต้องเดินทางมาพบพ่อและก็ขอแต่งงานกับหนู”
นาราภัทรสะอื้นร้องไห้โฮเมื่อถ้อยคำสั่งสอนที่เต็มไปด้วยเหตุและผลค่อยๆ ซึมซับไปทั่วเรือนกายและรู้ว่าตนเองนั้นได้ตัดสินใจผิดไป
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พายุรักแห่งเม็ดทราย