พิษรักองค์ชายโฉมงาม นิยาย บท 245

ตอนที่ 245 หมอที่เก่ง ๆ อยู่ไหน

กุ้ยไท่เฟยพูด “ได้ยินมาว่ามีคนเกินร้อยที่ติดเชื้อแล้วเพคะ ส่วนคนที่เหลือเพราะเคยพบปะกับคนติดเชื้อก็ไม่รู้จะติดโรคระบาดไปด้วยหรือไม่ ดังนั้นเลยปิดหมู่บ้านไว้เพคะ

ฮองไทเฮาถามด้วยความกังวล “แต่ว่าคนของหมู่บ้านสือโถวมักจะไปมาหาสู่กับคนอื่น มีคนที่ทำอาชีพอยู่ในเมืองหลวงหรือไม่ ถ้ามีแล้วเกิดไม่รู้ตัวแพร่เชื้อให้ผู้อื่น แต่ว่ายังไม่ออกอาการถ้าเป็นเช่นนี้แล้วละก็โรคระบาดนี้จะแพร่เชื้อไปได้อย่างรวดเร็วแน่”

กุ้ยไท่เฟยตอบด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล “คนในหมู่บ้านสือโถวบางส่วนทำไร่ทำนา แต่ก็มีคนบางส่วนทำอาชีพอยู่นอกหมู่บ้าน แน่นอนว่าต้องเคยพบปะกับคนอื่น ได้ข่าวว่าวันนี้คนพวกนั้นที่ติดเชื้อมีสิบกว่าคนที่ขายของอยู่ในเมืองหลวงเพคะ”

ใบหน้าของฮวงไทเฮาตกตะลึง “ในเมื่อเป็นเช่นนี้โรคระบาดก็มีโอกาสที่จะแพร่เชื้อมายังเมืองหลวงสิ ประชากรในเมืองหลวงหนาแน่น เมื่อแพร่กระจายก็จะร้ายแรงยิ่งนัก”

กุ้ยไท่เฟยถอนหายใจเบา ๆ “หม่อมฉันก็กังวลถึงจุดนี้ มิฉะนั้นคงไม่รีบร้อนมาบอกท่าน เรื่องนี้ความจริงแล้วร้ายแรงเหลือเกิน วันนี้คนในเมืองหลวงต่างหวาดกลัว ทุกคนล้วนสงสัยฝ่ายตรงข้ามว่าเป็นผีดิบ”

“ผีดิบรึ?” ฮองไทเฮาเป็นคนนับถือพุทธ เชื่อในเรื่องวิญญาณอย่างไม่ต้องสงสัย “จะเป็นเรื่องนั้นจริง ๆ หรือ?”

กุ้ยไท่เฟยส่ายมือ “ไม่ใช่ผีดิบอะไรหรอกเพคะ เป็นเพียงโรคหนึ่งเท่านั้น”

“หมอหลวงก็ไม่วิธีรักษาเลยรึ?”

กุ้ยไท่เฟยพูด “บอกว่าไม่มีวิธีรักษา เอาแบบนี้ไหมเพคะ ท่านเรียกหมอหลวงเข้ามาสอบถาม”

ฮองไทเฮารีบสั่งซุนกงกงทันที “เรียกไต้เท้าหย้วนพ่านมาพบข้า”

ซุนกงกงตอบรับ “พะยะค่ะ กระหม่อมน้อมรับคำสั่ง”

ไต้เท้าหย้วนพ่านไม่ได้ไปหมู่บ้านสือโถว แต่ส่งหมอหลวงสองท่านไป หนึ่งในนั้นคือท่านหมอหลวงหลิวที่รักษาอ๋องเหลียง ได้รับการปกป้องจากหมุยเฟยก่อน ต่อมาก็ได้รับคำชมเชยจากอี๋เฟย ดังนั้นจึงได้รับอนุญาตให้ใช้วิชาความรู้เพื่อชดเชยความผิดอยู่ในวังหลวง วันนี้เมื่อเกิดโรคระบาดก็จำเป็นต้องมีหมอหลวงไปหาสาเหตุ เขาเป็นคนที่ต้องชดเชยความผิดก็ต้องไปลุยเป็นคนแรก ๆ

ดังนั้น ไต้เท้าหย้วนพ่านมาถึงนำท่านหมอหลวงหลิวมาด้วย

ท่านหมอหลวงหลิวคุกเข่าตรงหน้าฮองไทเฮา ในใจคล้ายกับเกิดความหวาดเกรงแล้วพูด “ฮองไทเฮา ตอนนี้น่ากลัวมากจริง ๆ พะยะค่ะ คนที่ป่วยนี้คล้ายกับมีอาการป่วยเรื่องแปลกคือต้องกัดคน ถ้าหม่อมฉันไม่ได้รับการคุ้มกันจากทหาร เกรงว่าก็คงจะถูกกัดไปแล้ว”

“เช่นนั้นตรวจพบแล้วหรือไม่ว่าเป็นโรคอะไร?” ฮองไทเฮาถาม

ท่านหมอหลวงหลิวส่ายหน้า “ฮองไทเฮาโปรดลงโทษ หม่อมฉันไม่มีความสามารถ ไม่รู้ว่าเป็นโรคอะไร มองจากภายนอกดูคล้ายโรคพิษสุนัขบ้า แต่โรคพิษสุนัขบ้าไม่ใช่กัดคนเป็นหลัก คนที่ติดเชื้อพวกนี้กลับจ้องแต่จะกัดคน ดวงตาของพวกเขาเหมือนกับดวงตาของกระต่าย แดงกล่ำ จนทำให้น่าตกใจ ถ้าไปตอนมืดค่ำยังคิดว่าที่เจอคงเป็นผี”

ไต้เท้าหย้วนพ่านพูด “อยู่ต่อหน้าฮองไทเฮา ไม่อาจพูดจาส่งเดชได้”

แต่ท่านหมอหลวงหลิวกลับพูดว่า “ไม่ใช่นะใต้เท้า ถ้าท่านเห็นเองกับตาก็จะเห็นว่าข้าน้อยไม่ได้พูดเกินจริงเลยแม้แต่น้อย”

ฮองไทเฮาได้ฟังที่ท่านหมอหลวงหลิวพูด ในใจก็ห้ามที่จะหวาดกลัวไม่ได้ คิดไปอีกว่าเกิดเรื่องนู้นเรื่องนี้มากมาย ลูกหลานตระกูลซือถูก็ยังไม่รวมกำลังกันอีก หรือว่าฟ้าดินจะพิโรธ จึงมอบโรคผีดิบมาปกป้องราชวงศ์

กุ้ยไท่เฟยคล้ายกับรู้ว่าในใจของฮองไทเฮาคิดอะไรอยู่ จึงถอนใจแล้วพูด “ในเมื่อวันนี้ในแคว้นเกิดเรื่องมากมายบางทีอาจเป็นเพราะซือถูเย้นของพวกเราไม่พร้อมใจกัน คิดถึงเรื่องที่น้องสาวทำเมื่อก่อน ความจริงก็เกินไป โดยเฉพาะตอนที่ซือจู๋จากไป ทุกคืนข้าก็จะมาคิดทบทวน รู้สึกว่าตนเองมีโทษหนัก ดังนั้นวันนี้เข้าวังมานอกจากจะพูดเรื่องนี้กับพี่สาว ข้ายังอยากจะขอโทษท่านอีกด้วย ความจริงน้องสาวทำผิดหลายเรื่อง หวังว่าพี่สาวจะยอมให้อภัย”

ใบหน้าของกุ้ยไท่เฟยเต็มไปด้วยความจริงใจ ดวงตาก็มีหยดน้ำตาไหลออกมา ทำให้คนรู้สึกได้ว่าสำนึกผิดแล้วจริง ๆ เดิมฮองไทเฮาก็เป็นคนจิตใจอ่อนไหว โดยเฉพาะอย่างยิ่งนางยังเป็นน้องสาวแท้ ๆ ของตนเองอีก เลยพูดออกไปว่า “คนเป็นพี่สาวไหนเลยจะโทษเจ้าได้? เรื่องล้วนผ่านไปแล้ว ต่อไปครอบครัวเดียวกันก็สามัคคีกันไว้”

กุ้ยไท่เฟยน้ำตาไหลอาบด้วยความเสียใจ “น้ำใจของพี่สาว ในที่สุดน้องสาวก็รู้แล้วว่าทำไมฮ่องเต้องค์ก่อนดีกับพี่สาวนัก น้องสาวเทียบกับท่านไม่ได้เลยสักด้าน”

ฮองไทเฮาต่อว่า “คิดเรื่องโง่ ๆ อีกแล้วใช่หรือไม่? ล้วนเป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้ว พวกเราเป็นพี่น้องแท้ ๆ อีกทั้งยังปรนนิบัติฮ่องเต้องค์ก่อนมาด้วยกัน เดิมก็เป็นคนใกล้ชิดกันที่สุด ไม่ควรจะเป็นคนแปลกหน้าเย็นชาต่อกัน อีกทั้งเย้นเอ๋อร์วันนี้เป็นอ๋องซื่อเจิ้งแล้ว นามของเจ้าก็คือกุ้ยไท่เฟยมีเกียรติดุจฮองเฮา แทนที่พวกเราจะมาพูดกันว่าใครผิดใครถูก ใครดีใครเลวกันที่นี่ ไม่ดีกว่าหรือที่จะช่วยกันคิดว่ามีวิธีอะไรที่ช่วยแก้ไขภัยพิบัติครั้งนี้ได้ เพื่อจะได้แบ่งเบาความกลัดกลุ้มของเย้นเอ๋อร์กัน”

กุ้ยไท่เฟยร้องอ๋าออกมา หน้าอมทุกข์ขมวดคิ้วพูด “ขณะนี้มีวิธีอะไรอีก? หมอหลวงล้วนบอกว่าไม่มีวิธีแล้ว นอกจากเป็นหมอเทวดา”

ฮองไทเฮาได้ฟังก็ใจเต้น “ไม่รู้ว่าหลีโม่จะมีวิธีหรือไม่?”

กุ้ยไท่เฟยตกใจเล็กน้อย “นาง?” แล้วรีบส่ายมือ “ไม่มีทาง ก่อนอื่นต้องพูดก่อนว่านางมีวิชาแพทย์หรือไม่ แต่ถึงแม้จะมี แต่นางเป็นบุตรสาวของจวนเฉิงเสี้ยง จะไปสถานที่เกิดภัยพิบัติโรคระบาดได้อย่างไร? ถ้าหากเกิดเหตุไม่คาดคิด พวกเราจะไปหาบุตรสาวจากที่ไหนมาชดใช้ให้เฉิงเสี้ยง?”

ฮองไทเฮาคิดไปคิดมา ก็พูดว่า “ที่เจ้าพูดก็มีเหตุผล แล้วแคว้นต้าโจวข้ายังมีกรมฮุ่ยหมิน มีหมอหลวง มีหมอที่มีชื่อเสียงมากมาย แท้จริงก็ไม่อาจให้หญิงสาวคนหนึ่งไปสถานที่เกิดภัยพิบัติได้ ถ้าแคว้นอื่นเห็นเข้าคงได้หัวเราะเยาะพวกเรา”

“ใช่แล้วเพคะ” กุ้ยไท่เฟยเหลือบตามองท่านหมอหลวงหลิวแวบหนึ่ง

ท่านหมอหลวงหลิวก็คุกเข่าลงบนพื้นแล้วพูด “ฮองไทเฮา กุ้ยไท่เฟย กระหม่อมมีเรื่องกราบทูล ไม่ทราบว่าควรพูดหรือไม่”

ฮองไทเฮาพูดด้วยความรำคาญ “เรื่องมาจนบัดนี้ยังมีอะไรไม่ควรพูดอีก? พูดออกมา”

ท่านหมอหลวงหลิวพูด “พะยะค่ะ กระหม่อมคิดว่าคำแนะนำของฮองไทเฮานั้นดีมาก ถึงแม้จะพูดว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลเสี้ยเป็นหญิง แต่วิชาแพทย์ของนางทุกคนล้วนเห็นประจักษ์แล้ว ก่อนหน้านี้ที่อ๋องเหลียงเป็นโรคลมบ้าหมู หม่อมฉันล้วนไม่มีวิธีรักษา คุณหนูใหญ่ตระกูลเสี้ยใช้เวลาไม่กี่วันก็ทำให้อ๋องเหลียงกลับมาแข็งแรงได้ ต่อมาท่านอ๋องบาดเจ็บก็เป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลเสี้ยที่เป็นคนรักษา อีกทั้งได้ข่าวว่าตันชิงเสี้ยนจู่ก่อนหน้านี้ตาบอด ปัจจุบันหายแล้ว ล้วนเป็นเพราะคุณงามความดีของคุณหนูใหญ่ตระกูลเสี้ย แคว้นต้าโจวของพวกเรามีคนที่มีวิชาแพทย์ล้ำเลิศเพียงนี้ไม่มากนัก ถึงแม้ไม่ควรจะให้ผู้หญิงเข้าไปในเขตภัยพิบัติ แต่ว่าหากคุณหนูใหญ่มีวิธีรักษาจริง ๆ ก็จะสามารถควบคุมโรคระบาดได้ สามารถช่วยคนจากหมู่บ้านสือโถวเจ็ดร้อยกว่าคนให้มีชีวิตต่อไปได้ นี่เกี่ยวพันกับผลดีผลเสียของราษฎรแคว้นต้าโจวนะพะยะค่ะ”

ฮองไทเฮาใจเต้น แต่ว่าสุดท้ายก็ยังรู้สึกว่าให้อิสตรีไปในพื้นที่ภัยพิบัตินั้นไม่เหมาะสม

“อย่างไรก็รอไปก่อนเกิด บางทีพวกเจ้าอาจจะหาวิธีได้” ฮองไทเฮาตรัส

กุ้ยไท่เฟยพูด “ใช่แล้ว รอกันไปก่อนเถอะ ถ้าหมอหลวงคิดหาวิธีไม่ได้ บางทีหมอของกรมฮุ่ยหมินอาจจะหาวิธีได้ละ? ไม่อาจให้อิสตรีคนหนึ่งไปอยู่เขตภัยพิบัติได้ ข่าวแพร่ออกไปคนจะคิดได้ว่าแคว้นต้าโจวเราไม่มีคน”

ออกจากตำหนักฮองไทเฮา กุ้ยไท่เฟยก็สั่งอาฝู “เจ้ารีบไปนัดนายหญิงแก่ให้มาเจอกันที่ร้านจู้เสียน คืนนี้”

“พะยะค่ะ!” อาฝูตอบรับแล้วออกไป

ภายในร้านจู้เสียน

นายหญิงแก่มาถึงช้า ให้กุ้ยไท่เฟยรอเต็มครึ่งชั่วยาม

แต่ว่ากุ้ยไท่เฟยก็ไม่ได้แสดงออกว่าไม่พอใจ ตอนที่นายหญิงแก่ถึงกุ้ยไท่เฟยยังเป็นผู้เทน้ำชาด้วยตัวเอง

“นายหญิงแก่ปกติไม่เปล่งเสียงใด ๆ แต่พอเปล่งเสียงก็ทำให้คนพากันตระหนกตกใจได้” กุ้ยไท่เฟยพูดด้วยรอยยิ้ม

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พิษรักองค์ชายโฉมงาม