คำพูดของลุคไม่ได้ส่อแววยั่วเย้าแม้แต่น้อย เขาแค่เยาะเย้ยเธอก็เท่านั้น
เบียงก้าใบหน้าขึ้นสีและเอนหลังไปกับประตู เธอหลับตาลงอย่างช้า ๆ ทั้งยังลอบกลืนน้ำลาย ในขณะที่ต้องบังคับให้ตัวเองหายใจ
เธอก้มศีรษะลงและมองภาพตัวเองในหัว ‘เบียงก้าเอ๊ย เธอบ้าไปแล้วหรือยังไงถึงได้ไปคิดกับเขาแบบนั้น?!’
‘เบียงก้า เธอต้องการความช่วยเหลือจริง ๆนั่นแหละ!’
‘เธอลืมไปแล้วรึยังไงว่าเธอกับเขาเป็นอะไรกัน?’
‘ลืมตาดูบ้างสิ!’
หลังต้องระงับความรู้สึกที่กระอักกระอ่วนของตัวเอง เบียงก้าเข้าไปในห้องพร้อมกับจานอาหารในมือ
ลุคในตอนนี้สวมเสื้อเชิ้ตสีเทาเข้มและกางเกงขายาวสีดำ การแต่งกายของเขายิ่งทำให้เขาดูลึกลับ ห่างไกล และเย็นชายิ่งกว่าเดิม
ตั้งแต่ลืมตาตื่น ดวงตาของเขาทั้งดูเหนื่อยล้าและเลื่อนลอย ในตอนที่เห็นหญิงสาวเดินเข้ามาในห้อง เขาก็เอ่ยถามเธอด้วยน้ำเสียงเย็นชา “คุณเอาอาหารมาให้ผมเหรอ?”
เบียงก้าวางจานลง
เธอมองเขาก่อนจะกล่าว “คุณปู่บอกให้ฉันยกอาหารขึ้นให้มาคุณ แล้วฉันก็ปฏิเสธเขาไม่ได้”
ลุคติดกระดุมเสื้อเชิ้ต เขาเงยหน้ามองเธอ แล้วพูด “นั่งกินด้วยกันสิ ผมรู้ว่าคุณยังไม่ได้กินอะไร เพราะคุณเพิ่งลงไปข้างล่างแค่เดี๋ยวเดียวเองก่อนจะกลับขึ้นมา”
เพราะช่วงเวลาแค่นั้น เขาจึงมั่นใจว่าเบียงก้ายังไม่มีอะไรตกถึงท้องแน่
แต่ถึงอย่างนั้นเบียงก้าก็ไม่ยอมนั่งลงกับเขา “คุณทานเถอะค่ะ ฉันยังไม่หิว”
ลุคคิ้วขมวดและมองยังหญิงสาวที่เดินออกจากห้องไป เธอมองเพียงแค่อาหารและเมินเขา จากนั้นจึงเดินไปที่ห้องหนังสือ
20 นาทีต่อมา เบียงก้ากลับไปยังห้องนั้น
ลุคไม่แตะอาหารแม้แต่คำเดียว
ถ้าพวกเขาเป็นอย่างคู่อื่น ๆ เธอคงจะกังวลเรื่องเขาในฐานะของคนรัก แต่ในความเป็นจริงแล้วเรื่องของเธอกับเขามันไม่ได้เป็นเช่นนั้นอีกแล้ว
ไม่ว่าเขาจะรับประทานหรือไม่ เธอก็ไม่จำเป็นต้องสน ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นว่าเธอเป็นฝ่ายเชื้อเชิญให้เรื่องระหว่างพวกเรากลับมาเป็นเช่นเดิมอีก
เธอนำจานอาหารลงมาชั้นล่าง
เมื่อเบียงก้าไปถึงห้องครัว เธออธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้สาวรับใช้ฟัง สาวรับใช้ไม่ได้ถามอะไรเพิ่ม เพียงแค่ล้างจานต่อไป
เมื่อเบียงก้าเห็นว่าคุณปู่ของเธอรับประทานอาหารจนหมดแล้ว เธอจึงพาเขาไปเดินเล่นในสวน และเพราะทางเท้าในสวนนั้นราบเรียบ จึงไม่มีปัญหาในการเข็นรถเข็น
เมื่อพวกเขาไปถึงกลางสนาม พ่อเฒ่าเรย์นเอ่ยปากกับหลานสาวที่เป็นคนเข็นรถเข็นให้ตัวเองว่า “หลานไปเอาน้ำมาให้ปู่สักแก้วได้ไหม? ขอยืมโทรศัพท์ด้วยสิ ปู่จะโทรศัพท์สักหน่อย”
เบียงก้าไม่รู้ว่าปู่คิดจะทำอะไร เธอจึงส่งโทรศัพท์ให้เขาด้วยความไร้เดียงสา
“เดี๋ยวหนูไปเอาน้ำมาให้นะคะ”
“อื้ม” พ่อเฒ่าเรย์นมองดูหลานสาวของตัวเองเดินจากไป ก่อนจะโทรหาใครบางคน
เควินรู้ว่าพ่อของเขาอยู่ที่เมืองเอ และรู้วิธีที่ลูกสาวของตัวเองโน้มน้าวปู่ของเธอด้วย พวกเขาต้องทำให้แน่ใจว่าทุกคนจะเข้าใจตรงกัน เพื่อไม่ให้หลุดพูดอะไรไปตอนที่พ่อของเควินโทรมา
ด้วยความที่พ่อเฒ่ากลัวว่าหลานสาวจะกลับมา เขาจึงถามลูกชายด้วยคำถามสั้น ๆ “เควิน พ่อถามอะไรลูกหน่อยได้ไหม? เมียเก่าลูกชื่ออลิสัน แทนเนอร์รึเปล่า? ตอนนี้เธอน่าจะอยู่ที่เมืองเอใช่ไหม?!”
ในตอนที่เควินผู้ซึ่งเอนกายอยู่บนเตียงของโรงพยาบาลได้ยินคำถามของผู้เป็นพ่อ เขาก็เดาได้ทันทีว่าพ่อของตัวเองคงพบกับอลิสันเข้า และคิดว่าชื่อของเธอฟังดูคุ้นเคย
‘อลิสันคงไม่ยอมรับว่าตัวเธอเป็นใคร พ่อถึงได้โทรมาถามเพื่อความมั่นใจแบบนี้’
เพื่อไม่ให้เกิดปัญหา เควินได้แต่โกหกออกไป “พ่อต้องจำผิดแน่ จูลี่ ซิมเมอร์... เมียเก่าผมชื่อ จูลี่ ซิมเมอร์ต่างหาก…”
หลังจากบอกออกไป เควินได้ยินเสียงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
…
ณ คฤหาสน์ครอว์ฟอร์ด
ในตอนที่เบียงก้าเดินออกมาพร้อมกับแก้วน้ำในมือ ชายอาวุโสก็วางสายทันที
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พราวกลิ่นบุปผาตัณหารัก