พราวกลิ่นบุปผาตัณหารัก นิยาย บท 106

เพื่อหลีกหนีจากเขา เบียงก้าจัดการนัดบอดด้วยความเร่งรีบและคิดจะแต่งงานกับผู้ชายสักคนที่เธอรู้สึกว่าเขาเข้ากับเธอได้

ลุคไม่สามารถระงับความโกรธของเขาได้อีกต่อไป เขาก้มหน้าลงมามองเธอ “ผมมันน่ารำคาญมากนักรึยังไง? ทำไมต้องใช้วิธีแบบนี้เพื่อปฏิเสธผมด้วย?”

เบียงก้าเริ่มประหม่าหลังจากถูกเขาจ้อง เธอส่ายศีรษะและเอ่ยคำโกหกออกไป “คุณไม่ได้น่ารำคาญอะไรหรอกค่ะ แต่คนอย่างคุณเป็นคนรักในแบบที่ฉันวาดฝันเอาไว้ไม่ได้นิคะ ฉันแค่หลอกใช้คุณเป็นเครื่องมือก็เท่านั้น หลังจากที่ฉันได้แก้แค้นฌองแล้ว จิตสำนึกของฉันถึงเริ่มทำงาน และตอนนี้ฉันก็กำลังถอยออกมาเองแล้วด้วย แต่ก็คงไม่ผิดอะไรหรอกค่ะ ถ้าคุณจะยอมให้ฉันใช้คุณไปตลอดชีวิต”

ลุคไม่ได้น่ารำคาญอะไรในสายตาของเธอ แต่มันมีอะไรมากกว่านั้น

พวกเขาเคยทำงานด้วยกัน รับประทานอาหารด้วยกัน ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้แสดงความรักต่อสาธารณชนเพราะต้องรักษาความเป็นมืออาชีพในฐานะเจ้านายและลูกน้อง เบียงก้าสามารถรับทุกอย่างได้

เพราะอย่างนั้น การบังคับให้ตัวเองหาชายอื่นมาเป็นคนรักที่เหมาะสมคือทางเลือกสุดท้ายของเธอ เบียงก้าจำต้องใช้วิธีนี้เพื่อบอกตัวเองและลุคว่าทั้งเธอและเขาไม่อาจสร้างอนาคตร่วมกันได้

“ในเมื่อคุณเริ่มหลอกใช้ผมแล้ว ทำไมไม่หลอกไปให้ตลอดชีวิตผมล่ะ?”

นี่คือการประนีประนอมที่มากที่สุดเท่าที่เขาเคยทำมา

“ช่วงชีวิตนี้ของฉันมันช่างยาวนาน ฉันหวังว่าคุณจะเข้าใจนะคะว่าการรักคนผิดมันน่ากลัวกว่าการอยู่คนเดียวไปตลอดชีวิตเสียอีก นั่นคือประโยคที่คุณเคยบอกฉันเองนี่ ฉันรู้จักตัวเองดีว่าฉันไม่ใช่ผู้หญิงบริสุทธิ์อย่างที่คุณคิดว่าฉันเป็น ถ้าฉันต้องแต่งงานกับคุณ ฉันก็ควรเป็นภรรยาที่มีฐานะดีกว่านี้รึเปล่าล่ะคะ? หรือถ้าหากว่าฌองให้สัญญากับฉันอีกหนแล้วฉันกลับไปกับเขาล่ะ? หรือถ้าฉันนอนกับเขาเพื่อแก้แค้นล่ะ? ” ทันทีที่เบียงก้าพูดจบ น้ำตาของเธอก็ไหลออกมาจากดวงตา

เธอถอนหายใจ ไม่กล้าแม้แต่จะยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา เพราะเกรงว่าปู่ทั้งสองที่อยู่ห่างออกไปจะเห็น

เบียงก้าพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาในที่สุด

แม้ว่าน้ำตาของเธอจะหลั่งรินเพราะความสัมพันธ์นั้นร้าวฉานลง หากแต่ปากของเธอกลับกล่าวอีกเรื่อง “พอนึกไปถึงความสัมพันธ์ของฉันกับฌองที่เราเฝ้าบ่มเพาะมาตั้งห้าปีถูกโยนทิ้งไปแบบนั้น ฉันก็อดปวดใจไม่ได้เลยค่ะ ฉันยังคงแค้นที่ถูกผู้หญิงคนนั้นแย่งเขาไป ดังนั้น ตอนนี้จึงถึงตาฉันที่จะแย่งสามีของผู้หญิงคนนั้นมาบ้างแล้ว"

เมื่อเบียงก้าพูดจบ ดวงตาของเธอก็แดงก่ำขึ้นมาราวกับเป็นการปิดฉากการแสดง

ถึงแม้ว่าคนทั้งโลกจะถูกทักษะการแสดงของเธอหลอก แต่เขาก็ไม่เคยเชื่อเลยสักครั้ง

“ฉันจะยอมให้คุณพาปู่ไปโรงพยาบาล แต่นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วค่ะ” เบียงก้าพยักหน้ารับและหันหลังเดินจากไป

...

ผู้อาวุโสครอว์ฟอร์ดและพ่อเฒ่าเรย์นจ้องมองทั้งสองคนอยู่อย่างนั้น

เมื่อเบียงก้าเดินไปที่รถของลุค เธอก็ดูไม่เจ็บเหมือนตอนแรกแล้ว

พ่อเฒ่าเรย์นเห็นหลานสาวแต่ไม่ได้ถามอะไรเธอสักคำ เมื่อหลานสาวขึ้นรถของหลานเขยไป

นั่นอาจหมายความว่าพวกเขาไม่ได้ปัญหาอะไรใหญ่โต

“ฉันไปก่อนนะ คุณครอว์ฟอร์ด!” เมื่อพ่อเฒ่าเรย์นเห็นลุคเข้ามาในรถ เขาก็โบกมือให้ผู้อาวุโสครอว์ฟอร์ด

“ถ้าคุณอาการดีขึ้นเมื่อไหร่ ผมจะให้ลุคพาคุณมาเล่นหมากรุกกับผมที่นี่ ” เขากล่าวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มของผู้อาวุโสครอว์ฟอร์ด เขาโบกมือจนรถเรนจ์โรเวอร์สีดำขับออกจากคฤหาสน์ไป

ระหว่างทางไปโรงพยาบาล เบียงก้ามองต่ำและเอาแต่ไถโทรศัพท์ในมือ

ปู่เห็นกริยานี้ และรู้ว่าเธอไม่ควรทำตัวเย็นชาต่อลุค เขาเอ่ย "บี หลานนี่ไม่รู้จักโตเสียที ขอโทษนะ ลุค บางครั้งคุณต้องทนกับเธอสักหน่อย”

ลุคเหลือบมองทั้งสองคนผ่านกระจกมองหลังแล้วพยักหน้า "ผมทนได้อยู่แล้วครับ"

เบียงก้ากำลังตอบข้อความของเพื่อนร่วมชั้น

ตอนกลับมารวมตัวกันครั้งล่าสุด เธอได้เป็นเพื่อนกับเพื่อนร่วมชั้นเก่าของเธอบางคนบนเฟซบุ๊ก

เธอคิดว่าพวกเขาทุกคนเป็นคนมีบุคลิกที่ดี

ไม่กี่วันหลังจากการพบกันครั้งนั้น มีไม่กี่คนกำลังสนทนาในกลุ่ม และหนึ่งในนั้นบอกว่าเธอมีผู้ชายที่จะแนะนำให้เบียงก้ารู้จัก

เบียงก้าไม่กล้าบอกพวกเขาว่าเธออยู่กับลุค เพราะเกรงว่าพวกเขาจะตกใจกันไปใหญ่ เธอจึงได้แต่ปฏิเสธด้วยการบอกว่าเธองานยุ่งและไม่มีเวลาออกเดตเสียแบบนั้น

แต่สำหรับตอนนี้ แม้ว่าเธอจะไม่มีเวลา เธอก็ต้องหาเวลามาเริ่มออกเดตกับใครเขาเสียบ้าง

เมื่อคืนเธอส่งข้อความผ่านเฟซบุ๊กไปยังเพื่อนร่วมชั้นเพื่อบอกเธอว่า เธอพร้อมที่จะพบกับผู้ชายที่เธอพูดถึงแล้ว

เมื่อคืนนี้ เพื่อนร่วมชั้นเอาแต่เล่าให้เบียงก้าฟังถึงความเก่งกาจของผู้ชายคนนี้

'ฉันจะไม่แนะนำคนแย่ ๆให้เธอแน่ เขาเป็นเพื่อนที่ดีของแฟนฉัน เขาโสดมาตลอด แถมยังมีวิถีชีวิตที่ดีและทัศนคติก็ไม่แย่อีกต่างหาก ถ้าถามว่าทำไมฉันถึงไม่แนะนำให้เขารู้จักกับเพื่อนร่วมชั้นผู้หญิงคนอื่นน่ะเหรอ? ดูยายพวกนั้นสิ! พวกผู้ชายซื่อ ๆ ถูกคนพวกนั้นหักหลังกันหมด! น่าสงสารคนพวกนั้นนะที่ถูกยายผู้หญิงพวกนี้ปอกลอก!’ เพื่อนร่วมชั้นของเบียงก้ายังตอบคำถามอีกหลายข้อ

เบียงก้าตอบกลับ 'ขอบคุณนะ หลังเจอกับเขา ฉันจะพิจารณาเขาอย่างจริงจังเลยล่ะ'

‘ไม่มีปัญหา ฉันแค่อยากรับบทกามเทพแผลงศร แล้วก็อยากเห็นชีวิตการแต่งงานที่ดีนั่นแหละ ฉันชอบเวลาได้เห็นคู่รักที่มีคุณสมบัติดีเยี่ยมได้ใช้ชีวิตร่วมกัน’ เพื่อนร่วมชั้นพิมพ์ส่งมา

เบียงก้ามองเวลาและที่อยู่ของการนัดบอด และบันทึกไว้บนหน้าจอโทรศัพท์ของเธอ เธอเริ่มที่ละสายตาออกไปมองด้านนอก

เธอจงใจไม่สนใจลุคที่กำลังขับรถอยู่ เธอควบคุมอารมณ์ไม่ได้อย่างไร้เหตุผล และอดไม่ได้ที่จะคิดถึงลุค แต่เมื่อคิดถึงลุค ใบหน้าของอลิสันก็ลอยเข้ามาทันที

นี่ถือเป็นการเตือนตัวเองถึงอุปสรรคที่พวกเขาไม่สามารถก้าวข้ามผ่านไปได้ในความสัมพันธ์ของพวกเขา

ลุคขับรถมาหยุดที่ทางเข้าโรงพยาบาลซิลเวอร์

เพราะระหว่างทางเบียงก้ารู้สึกเมารถ เธอจึงลืมบอกเขาว่าเธออยากพาปู่ไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลไหน แต่ลุคนั้นไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้ว เขาจึงเลี่ยงที่จะไปโรงพยาบาลพาราเมาท์

“ขอบคุณที่มาส่งฉันกับปู่นะคะ” เบียงก้าเงยหน้ามองเขาแล้วพูดขึ้น หลังจากพยุงปู่ลงจากรถไป

ลุคมองเข้าไปในนัยน์ตาของเธอ เขาเห็นความสับสนในดวงตาคู่นั้น “ผมมีอีกหลายอย่างที่ต้องทำ เพราะงั้นผมคงไปส่งคุณถึงข้างในไม่ได้”

"ไม่เป็นไรค่ะ" เบียงก้าพยักหน้ารับและช่วยให้ปู่หันหลังเดินเข้าไปโรงพยาบาล

ลุคจึงขึ้นรถแล้วขับออกไป

เบียงก้าช่วยปู่เดินได้ไม่กี่ก้าวก็ได้ยินเสียงรถขับออกไป เธอไม่หันกลับไปมองตามเสียงนั้น ตั้งแต่เกิดเรื่องเหล่านั้นขึ้น เธอพยายามลืมความสัมพันธ์อันแสนสั้นที่เธอกับเขามีร่วมกันและจะเริ่มต้นชีวิตใหม่

พวกเขาต้องใช้เวลาเกือบครึ่งวันในการต่อคิวลงทะเบียนเพื่อตรวจร่างกาย แล้วยังต้องรอผลการวินิจฉัยอีก

ตอนเวลาประมาณบ่ายโมงวันนั้น เบียงก้าพาปู่ที่ดูเหมือนจะไม่เป็นอะไรแล้วกลับไปที่บ้านเช่าของตัวเอง

ปู่พึมพำด้วยความรู้สึกผิด “ปู่แค่ไอเป็นเลือดเท่านั้นเอง ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเสียหน่อย ปู่หายจากมะเร็งแล้วนะ ไอ้อาการไอเป็นเลือดแค่นี้ไม่ได้แปลว่าปู่จะต้องเป็นอะไรร้ายเสียหน่อย…”

เบียงก้าไม่เชื่อว่าปู่จะแกล้งป่วย

“ปู่คะ เดี๋ยวเย็นนี้หนูจะกลับไปทำอาหารให้นะคะ แต่ตอนนี้หนูมีธุระที่ต้องไปทำนิดหน่อย ปู่อยู่คนเดียวได้ไหมคะ?” เบียงก้ารู้ดีว่าเธอต้องทำงาน ต้องเข้าสังคม และยังต้องจัดการกับเรื่องสัพเพเหระอีกมากมาย มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะสามารถอยู่ดูแลปู่ได้ทั้งวัน

นั่นคือความคิดของเบียงก้า บางทีถ้าเธอมีรายได้มากกว่านี้สักหน่อย เธออาจจะมีปัญญาจ้างคนมาดูแลปู่ก็เป็นได้

เนื่องจากปู่ยังพอเดินไหว ยังพูดได้ และอารมณ์ดี คนดูแลที่เธอจะจ้างก็คงรังแกปู่ไม่ได้

ตามปกติคนที่ถูกรังแกมักเป็นคนสูงวัยที่พูดหรือช่วยเหลือตัวเองไม่ได้

“ปู่ไม่เป็นไรหรอก ไปทำสิ่งที่หลานต้องทำเถอะ” ชายอาวุโสนั่งลงบนโซฟาด้วยท่าทีสบาย ๆ เขาเปิดทีวีขึ้นมาดู

เมื่อเบียงก้าได้เห็นแบบนั้น เธอก็รู้สึกโล่งใจ

ในตอนที่เธอเดินลงมาด้านล่าง โทรศัพท์ก็ดังขึ้น

มันเป็นเบอร์ของโทรศัพท์บ้าน

“สวัสดีค่ะ ฉันเบียงก้า” เธอรับสายแล้วพูด

“คุณเบียงก้าคะ! มาที่นี่เร็วเข้า! คุณชายลานี่ประสบอุบัติเหตุค่ะ!” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกังวลของสาวใช้ดังมาจากปลายสาย

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พราวกลิ่นบุปผาตัณหารัก