เพื่อหลีกหนีจากเขา เบียงก้าจัดการนัดบอดด้วยความเร่งรีบและคิดจะแต่งงานกับผู้ชายสักคนที่เธอรู้สึกว่าเขาเข้ากับเธอได้
ลุคไม่สามารถระงับความโกรธของเขาได้อีกต่อไป เขาก้มหน้าลงมามองเธอ “ผมมันน่ารำคาญมากนักรึยังไง? ทำไมต้องใช้วิธีแบบนี้เพื่อปฏิเสธผมด้วย?”
เบียงก้าเริ่มประหม่าหลังจากถูกเขาจ้อง เธอส่ายศีรษะและเอ่ยคำโกหกออกไป “คุณไม่ได้น่ารำคาญอะไรหรอกค่ะ แต่คนอย่างคุณเป็นคนรักในแบบที่ฉันวาดฝันเอาไว้ไม่ได้นิคะ ฉันแค่หลอกใช้คุณเป็นเครื่องมือก็เท่านั้น หลังจากที่ฉันได้แก้แค้นฌองแล้ว จิตสำนึกของฉันถึงเริ่มทำงาน และตอนนี้ฉันก็กำลังถอยออกมาเองแล้วด้วย แต่ก็คงไม่ผิดอะไรหรอกค่ะ ถ้าคุณจะยอมให้ฉันใช้คุณไปตลอดชีวิต”
ลุคไม่ได้น่ารำคาญอะไรในสายตาของเธอ แต่มันมีอะไรมากกว่านั้น
พวกเขาเคยทำงานด้วยกัน รับประทานอาหารด้วยกัน ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้แสดงความรักต่อสาธารณชนเพราะต้องรักษาความเป็นมืออาชีพในฐานะเจ้านายและลูกน้อง เบียงก้าสามารถรับทุกอย่างได้
เพราะอย่างนั้น การบังคับให้ตัวเองหาชายอื่นมาเป็นคนรักที่เหมาะสมคือทางเลือกสุดท้ายของเธอ เบียงก้าจำต้องใช้วิธีนี้เพื่อบอกตัวเองและลุคว่าทั้งเธอและเขาไม่อาจสร้างอนาคตร่วมกันได้
“ในเมื่อคุณเริ่มหลอกใช้ผมแล้ว ทำไมไม่หลอกไปให้ตลอดชีวิตผมล่ะ?”
นี่คือการประนีประนอมที่มากที่สุดเท่าที่เขาเคยทำมา
“ช่วงชีวิตนี้ของฉันมันช่างยาวนาน ฉันหวังว่าคุณจะเข้าใจนะคะว่าการรักคนผิดมันน่ากลัวกว่าการอยู่คนเดียวไปตลอดชีวิตเสียอีก นั่นคือประโยคที่คุณเคยบอกฉันเองนี่ ฉันรู้จักตัวเองดีว่าฉันไม่ใช่ผู้หญิงบริสุทธิ์อย่างที่คุณคิดว่าฉันเป็น ถ้าฉันต้องแต่งงานกับคุณ ฉันก็ควรเป็นภรรยาที่มีฐานะดีกว่านี้รึเปล่าล่ะคะ? หรือถ้าหากว่าฌองให้สัญญากับฉันอีกหนแล้วฉันกลับไปกับเขาล่ะ? หรือถ้าฉันนอนกับเขาเพื่อแก้แค้นล่ะ? ” ทันทีที่เบียงก้าพูดจบ น้ำตาของเธอก็ไหลออกมาจากดวงตา
เธอถอนหายใจ ไม่กล้าแม้แต่จะยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา เพราะเกรงว่าปู่ทั้งสองที่อยู่ห่างออกไปจะเห็น
เบียงก้าพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาในที่สุด
แม้ว่าน้ำตาของเธอจะหลั่งรินเพราะความสัมพันธ์นั้นร้าวฉานลง หากแต่ปากของเธอกลับกล่าวอีกเรื่อง “พอนึกไปถึงความสัมพันธ์ของฉันกับฌองที่เราเฝ้าบ่มเพาะมาตั้งห้าปีถูกโยนทิ้งไปแบบนั้น ฉันก็อดปวดใจไม่ได้เลยค่ะ ฉันยังคงแค้นที่ถูกผู้หญิงคนนั้นแย่งเขาไป ดังนั้น ตอนนี้จึงถึงตาฉันที่จะแย่งสามีของผู้หญิงคนนั้นมาบ้างแล้ว"
เมื่อเบียงก้าพูดจบ ดวงตาของเธอก็แดงก่ำขึ้นมาราวกับเป็นการปิดฉากการแสดง
ถึงแม้ว่าคนทั้งโลกจะถูกทักษะการแสดงของเธอหลอก แต่เขาก็ไม่เคยเชื่อเลยสักครั้ง
“ฉันจะยอมให้คุณพาปู่ไปโรงพยาบาล แต่นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วค่ะ” เบียงก้าพยักหน้ารับและหันหลังเดินจากไป
...
ผู้อาวุโสครอว์ฟอร์ดและพ่อเฒ่าเรย์นจ้องมองทั้งสองคนอยู่อย่างนั้น
เมื่อเบียงก้าเดินไปที่รถของลุค เธอก็ดูไม่เจ็บเหมือนตอนแรกแล้ว
พ่อเฒ่าเรย์นเห็นหลานสาวแต่ไม่ได้ถามอะไรเธอสักคำ เมื่อหลานสาวขึ้นรถของหลานเขยไป
นั่นอาจหมายความว่าพวกเขาไม่ได้ปัญหาอะไรใหญ่โต
“ฉันไปก่อนนะ คุณครอว์ฟอร์ด!” เมื่อพ่อเฒ่าเรย์นเห็นลุคเข้ามาในรถ เขาก็โบกมือให้ผู้อาวุโสครอว์ฟอร์ด
“ถ้าคุณอาการดีขึ้นเมื่อไหร่ ผมจะให้ลุคพาคุณมาเล่นหมากรุกกับผมที่นี่ ” เขากล่าวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มของผู้อาวุโสครอว์ฟอร์ด เขาโบกมือจนรถเรนจ์โรเวอร์สีดำขับออกจากคฤหาสน์ไป
ระหว่างทางไปโรงพยาบาล เบียงก้ามองต่ำและเอาแต่ไถโทรศัพท์ในมือ
ปู่เห็นกริยานี้ และรู้ว่าเธอไม่ควรทำตัวเย็นชาต่อลุค เขาเอ่ย "บี หลานนี่ไม่รู้จักโตเสียที ขอโทษนะ ลุค บางครั้งคุณต้องทนกับเธอสักหน่อย”
ลุคเหลือบมองทั้งสองคนผ่านกระจกมองหลังแล้วพยักหน้า "ผมทนได้อยู่แล้วครับ"
เบียงก้ากำลังตอบข้อความของเพื่อนร่วมชั้น
ตอนกลับมารวมตัวกันครั้งล่าสุด เธอได้เป็นเพื่อนกับเพื่อนร่วมชั้นเก่าของเธอบางคนบนเฟซบุ๊ก
เธอคิดว่าพวกเขาทุกคนเป็นคนมีบุคลิกที่ดี
ไม่กี่วันหลังจากการพบกันครั้งนั้น มีไม่กี่คนกำลังสนทนาในกลุ่ม และหนึ่งในนั้นบอกว่าเธอมีผู้ชายที่จะแนะนำให้เบียงก้ารู้จัก
เบียงก้าไม่กล้าบอกพวกเขาว่าเธออยู่กับลุค เพราะเกรงว่าพวกเขาจะตกใจกันไปใหญ่ เธอจึงได้แต่ปฏิเสธด้วยการบอกว่าเธองานยุ่งและไม่มีเวลาออกเดตเสียแบบนั้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พราวกลิ่นบุปผาตัณหารัก