พราวกลิ่นบุปผาตัณหารัก นิยาย บท 134

เมื่อเบียงก้าออกจากลิฟต์ เจ้าหน้าที่ของอาคารที่อยู่ด้านหลังของเบียงก้าพูดกับชายที่อยู่ตรงประตูว่า “ผมต้องอภัยจริง ๆ ครับ เธอบอกว่าเธอรู้จักคุณ”

ลุคพยักหน้ารับ

เจ้าหน้าที่จึงจากไป

เบียงก้ามองไปยังชายที่ยืนอยู่ตรงประตู ก่อนเอ่ยถามด้วยความสงสัย “คุณเห็นปู่ของฉันรึเปล่า?”

เธอเป็นฝ่ายที่เอาแต่พูดว่าจะออกไปจากชีวิตของเขา แต่ตอนนี้กลับเป็นเธอที่มาเคาะประตูเขากลางดึกเพื่อถามเรื่องสัพเพเหระ

เบียงก้าอดไม่ได้ที่จะต้องเก็บงำความรู้สึกอึดอัดเอาไว้ เธอไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องผ่านมันไปให้ได้เพื่อที่จะตามหาปู่ให้เจอ

“เกิดอะไรขึ้นกับปู่ของคุณ? เขาไม่ได้อยู่ที่บ้านงั้นเหรอ?”ลุคก้มหน้าลงขณะผูกชุดคลุมนอน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นแล้วเอ่ยถามเธอ

เบียงก้าจ้องมองลงไปในสีหน้าและแววตาของเขา เธอตระหนักได้ว่าเขาดูจริงใจและคงไม่รู้จริง ๆ ว่าคุณปู่ของเธอหายไปไหน

ความผิดหวังนั้นทำให้หัวใจของเบียงก้าหล่นไปที่ตาตุ่ม เธอส่ายศีรษะแล้วกดไปที่ปุ่มของลิฟต์ด้วยมืออันสั่นเทา เธอตั้งใจจะมุ่งหน้ากลับลงไป

เมื่อลุคสังเกตเห็นพวงแก้มซีดเซียวและดวงตาที่เป็นประกายของเบียงก้า เขาออกจากห้องแล้วเดินไปยังลิฟต์ด้วย

เบียงก้าพยายามสะกดกลั้นไม่ให้ตัวเองร้องไห้ออกมา แต่แล้ว เขาโยนเธอลงโซฟาและกักตัวเธอไว้กับอ้อมแขนของตัวเอง ขณะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก นัยน์ตาดำขลับของเขาไร้อารมณ์ “เกิดอะไรขึ้น? บอกผมมาให้หมด!”

ดวงตาของเบียงก้าเต็มไปด้วยหยาดน้ำ

ในตอนนั้นเอง เด็กน้อยทั้งสองคนก็เดินออกมาจากห้อง

เรนนี่หนีบตุ๊กตาหมีสีขาวไว้ในอ้อมแขน ขณะที่อยู่ในความงุนงง เธอขยี้ตา ในขณะที่ลานี่เอาแต่กังวลว่าตัวเองจะใส่รองเท้าสลับข้าง เขาเพียงแค่จ้องมองผู้ใหญ่ที่ทำตัวแปลกทั้งสองคนบนโซฟา

“กลับไปนอนเถอะ พ่อมีเรื่องต้องคุยกับน้าบี” ลุคหันกลับมาพร้อมคิ้วที่ขมวดเป็นปม

ลานี่เม้มปาก เขาไม่พูดอะไรและพาน้องสาวกลับเข้าห้องของตัวเองไป ก่อนที่พวกเขาจะกลับเข้าห้องไปนั้นเอง พวกเขาเหลือบมองน้าบีอยู่สองสามครั้งแล้วเดินเข้าไปอย่างไม่ค่อยเต็มใจ...

เบียงก้าเองก็สบตาเด็ก ๆ กลับไปเช่นกัน

แต่เธอไม่อาจฝืนส่งยิ้มไปให้พวกเขาได้

โทรศัพท์ของเธอดังขึ้น

เบียงก้าหยิบมันขึ้นมาตรวจดูในทันที ราวกับว่ากำลังรอสิ่งที่สำคัญบางอย่าง

มันคือข้อความเสียงจากนีน่า

นี่น่าเป็นคนส่งข้อความเสียงมาให้เธอ “ฉันไม่เห็นปู่ของเธอเลย เกิดอะไรขึ้นเหรอบี? ทุกอย่างยังเรียบร้อยดีใช่ไหม? ปู่ของเธอหายไปไหนล่ะ? แล้วนี่เธออยู่ที่ไหน? ฉันจะรีบไปนะ ไม่ต้องห่วง!”

ลุคหยิบโทรศัพท์ของเธอไป แล้วตอบข้อความแทนเบียงก้า “ไม่มีอะไรหรอก ทุกอย่างเรียบร้อยดี”

หลังจากที่พูดไปแบบนั้น เขายึดโทรศัพท์ของเธอไว้แล้วจ้องมองเข้าไปในดวงตาที่หลบอยู่ใต้ขนตาหนาอย่างเย็นชา “ผมจะไปเปลี่ยนชุดก่อน รออยู่นี่นะ”

เขาเอาโทรศัพท์เธอติดตัวไปด้วย เบียงก้าจึงทำได้แค่รอเขา

ผู้ชายคนนี้อาจสวมแต่ชุดสูทและผูกเนกไทตลอด 365 วันต่อปีก็เป็นได้ เขาจึงสามารถคุยเรื่องธุรกิจได้ตลอดเวลาอย่างไรล่ะ

เบียงก้าออกจากอพาร์ตเมนต์มาพร้อมกับลุค และมันเป็นอะไรที่ดึงดูดสายตาจากผู้คนจำนวนมากที่แผนกต้อนรับ

“พวกเราเป็นคู่รักกันเหรอ?” หญิงสาวจากส่วนต้อนรับเอ่ยถามเจ้าหน้าที่อีกคน

เจ้าหน้าที่หญิงที่กำลังง่วนอยู่กับการตรวจสอบข้อมูลอยู่นั้นเงยหน้าขึ้นมา เธอมองไปที่คนทั้งคู่ที่เดินออกไปแล้วกล่าว “พวกเขาน่าจะคบกันอยู่นั่นแหละ แต่ฉันสัมผัสได้ว่าทั้งคู่ไม่ได้ใกล้ชิดกันมากมายอะไร ไม่อย่างนั้น ผู้หญิงคนนั้นคงจะมีกุญแจไว้กับตัวแล้วล่ะ ฉันพูดถูกไหม? เราต้องส่งคนให้พาเธอขึ้นไปหาผู้ชายคนนั้นถึงบนห้องเชียวนะ พวกเราอาจจะเป็นคู่รักกันก็จริง แต่รักกันแบบลับ ๆ ไงล่ะ”

“พวกเขาอาจจะแค่ทะเลาะกันก็ได้ เท่าที่ฉันดูเนี่ย ผู้ชายคนนั้นดูรักเธอคนนั้นจะตาย เขาไม่ได้เป็นอย่างพวกตาเฒ่าเจ้าเล่ห์ที่ทำอะไรแบบนั้นกับพวกผู้หญิงหากินพวกนั้นหรอกน่า…”

เจ้าหน้าที่ที่อาวุโสกว่ารู้สึกประหลาดใจ “เธอพูดเรื่องตลกอะไรเนี่ย? ผู้หญิงหน้าตาดาษดื่นอย่างเธอมีอยู่ถมเถไป น้ำหน้าอย่างเธอน่ะเหรอจะมีปัญญามาเล่นตัวออดอ้อนกับผู้ชายคนนั้น? ถ้าไม่ใช่เพราะหน่ายกับชีวิต ก็คงเป็นพวกไม่เคยถูกทิ้งมาก่อน ถึงได้อยากจะเล่นกับไฟสินะ?”

หญิงสาวที่แผนกต้อนรับเม้มริมฝีปากแล้วพูดกับเจ้าหน้าที่ที่อาวุโสกว่า “ผู้หญิงหน้าตาดาษดื่นอะไรกัน? ฉันอยากให้คุณไปหาคนที่มีหน้าตาธรรมชาติอย่างเธอดูเสียก่อนเถอะ ไม่ต้องถึงสิบคนหรอกนะ แค่คนเดียวก็พอ ถ้าทำได้ฉันจะตบมือให้เลย”

เจ้าหน้าที่อีกคนหยุดพูดลง

...

ลุคขับรถออกจากลานจอดไป

รถเรนจ์โรเวอร์จอดอยู่ที่หน้าประตูของอพาร์ตเมนต์ เขาลดกระจกลงแล้วมองเธอ “รถไฟใต้ดินใกล้ปิดทำการแล้ว คุณจะหารถเช่าไหมล่ะ? แต่ถ้าทำแบบนั้น ผมเกรงว่าเงินคุณจะหมดเอาได้นะ นอกจากจะต้องใช้มันตามหาปู่ คุณยังต้องแบ่งไว้ใช้รักษาพ่อที่ป่วยของตัวเองด้วยนิ” เขาบังคับให้เธอขึ้นรถและรับความช่วยเหลือจากเขา

ไม่ว่าจะเป็นช่วงก่อนหรือหลังจากที่เลิกรากันไป เบียงก้าใช้เงินของตัวเองในการจ่ายค่ารักษาของพ่อและเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และปีนี้ เธอมีใครอีกคนให้ต้องดูแลเพิ่ม นั่นคือปู่ของเธอ

เธอแบกรับภาระหนักเกินไป

เธอจำต้องใช้เงินทุกบาททุกสตางค์ให้คุ้มค่าที่สุด

เบียงก้าขึ้นรถแล้วพิงศีรษะไปกับเบาะของรถอย่างเงียบ ๆ

“คุณมีญาติที่ไหนอีกรึเปล่า? พยายามติดต่อพวกเขาบ้างแล้วรึยัง?” ลุคขับรถด้วยความมั่นคงและวางแผนจะพาเธอไปส่งที่บ้านอีกครั้ง เพื่อดูให้แน่ใจว่าชายชราอาจจะกลับมาแล้วแต่ไม่อาจเข้าบ้านได้

“ถ้าฉันติดต่อญาติไม่ได้ ปู่ก็น่าจะไม่ต่างกัน” เบียงก้าพูดหลังจากคร่ำครวญอย่างหนัก

ภายในรถ ลุคโทรหาปู่ของตัวเอง

ผู้อาวุโสครอว์ฟอร์ดกล่าวว่าเขาไม่ได้พบกับพ่อเฒ่าเรย์นเลย แถมยังถามด้วยว่าเกิดอะไรขึ้น

ลุคเลี่ยงที่จะตอบคำถาม แล้ววางสายไป เขามองไปยังเธอ “แจ้งตำรวจเถอะ ไม่ต้องกลัวนะ ปู่คุณไม่เป็นอะไรหรอก”

ถ้าหากเธอเป็นคนแจ้งตำรวจ พวกเขาก็คงจะไม่รับเรื่องจนกว่าจะหายไปจนครบ 48 ชั่วโมง...

แต่เนื่องจากลุคมีฐานะ อำนาจ และเส้นสายที่ดี เขาเพียงแค่โทรหาเจสันเพื่อให้เขาจัดการก็เท่านั้น

เจสันเดินทางไปยังสถานีตำรวจเพียงลำพังเพื่ออธิบายถึงเรื่องที่เกิดขึ้นและแนบรูปถ่ายกับข้อมูลของพ่อเฒ่าเรย์นให้แก่ตำรวจ

หลังจากที่ขับรถพาเธอมาส่งที่บ้านเช่า ลุคเดินตามเบียงก้าไป กระทั่งขึ้นไปชั้นบนด้วยกัน

เมื่อพวกเขาเปิดประตูออกแล้วพบเพียงแค่ความมืดมิดและเงียบสงัดของบ้านแล้ว พวกเขาจึงรู้ได้ในทันทีว่าปู่ยังไม่กลับมา

พวกเขากลับลงไปชั้นล่างอีกครั้ง

ลุคตามเธอไปทุกซอกทุกมุมของละแวกนั้น ทั้งยังเดินตามเธอไปบนถนนทุกสายที่อยู่ห่างออกไป แต่กระนั้น ก็ยังไม่พบปู่ของเธออยู่ดี

นี่เป็นช่วงปลายเดือนกันยายนแล้ว ดังนั้นอากาศในตอนกลางคืนจะหนาวเย็นเป็นพิเศษ

เบียงก้าไม่รู้ว่าที่ร่างกายของเธอเริ่มสั่นเทาเช่นนี้เป็นเพราะความหนาวเย็น หรือความตื่นตระหนกของเธอเองกันแน่

ตำรวจได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิดทุกตัวในละแวกนี้แล้ว แต่พวกเขาก็ไม่ได้พบอะไรมากนัก กล้องวงจรปิดพวกนี้ชำรุดมากกว่าที่ใช้ได้จริงเสียอีก

“คุณคิดว่าปู่คุณจะกลับไปที่บ้านนอกนั่นไหม?” ลุคเอ่ยถามในตอนที่เขาเดินตามหลังเบียงก้า

เบียงก้าหันกลับมามองเขา น้ำตายังคงคลอหน่วยอยู่ในดวงตาแม้เวลาจะผ่านไปหลายชั่วโมงแล้วก็ตาม ในยามค่ำคืนเช่นนี้ เบียงก้าไม่ต่างไปจากลูกแมวตัวน้อยแสนเปราะบางและน่าเศร้าที่กลัวการเผชิญหน้ากับทุกคนบนโลกใบนี้

ลุคก้าวมาด้านหน้า แล้วใช้มือใหญ่โตคว้าเอามือเล็ก ๆ ของเธอไปกุมไว้แน่น และชี้ไปที่จุดที่รถจอดอยู่ข้างถนนไกลออกไป เขาพูดอย่างใจเย็น “เรากลับไปดูลาดเลาที่บ้านนอกนั่นกัน ส่วนเรื่องที่นี่ให้เป็นหน้าที่ของตำรวจเถอะนะ”

เบียงก้าไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว

ระหว่างทางกลับไปบ้านนอกนั้น ลุคดื้อดึงที่จะมอบเสื้อคลุมตัวนอกให้เธอ

เธอรู้สึกหนาวมากจริง ๆ

“นอนพักเถอะ ถึงแล้วผมจะปลุก” ลุคจุดบุหรี่และลดกระจกลงเพื่อให้ควันบุหรี่ลอยออกไป

ในตอนที่เขาต้องขับรถยามดึก เขาจำเป็นต้องสูบบุหรี่เพื่อให้ร่างกายตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา

เบียงก้าหลับตาลงครู่หนึ่ง ก่อนจะลืมตาขึ้นอีกครั้ง ทุกครั้งที่นอนไม่หลับ เธอมักจะพยายามเปลี่ยนความรักที่มีต่อลุคให้กลายเป็นเพียงความรู้สึกของคนในครอบครัวแทน

ถ้าทำเช่นนี้ พวกเขาทั้งสองก็จะไม่มีความผิดในแง่ศีลธรรมใด ๆ

ชายผู้ซึ่งกำลังจดจ่ออยู่กับการขับรถสังเกตเห็นว่าเธอนอนไม่หลับ จึงเอ่ยถามขึ้น “คุณกำลังคิดอะไรอยู่น่ะ?”

เบียงก้ามองไปที่ลุคแล้วเอ่ยอย่างใจเย็น “ฉันแค่คิดว่า... คุณเป็นหัวหน้าของฉัน เป็นเจ้านาย หรือบางที ฉันอาจจะคิดกับคุณในฐานะพี่ชาย…”

ชายที่กำลังขับรถดีดขี้บุหรี่ลงในที่เขี่ยบุหรี่ในรถ ราวกับเขาได้ฟังเรื่องตลก ริมฝีปากเย็นชาของเขาเอ่ยอย่างแผ่วเบา “พี่ชายงั้นเหรอ? คุณแน่ใจนะว่าอยากมีพี่ชายที่อยากนอนกับคุณทุกวันน่ะ?”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พราวกลิ่นบุปผาตัณหารัก