เมื่อเบียงก้าออกจากลิฟต์ เจ้าหน้าที่ของอาคารที่อยู่ด้านหลังของเบียงก้าพูดกับชายที่อยู่ตรงประตูว่า “ผมต้องอภัยจริง ๆ ครับ เธอบอกว่าเธอรู้จักคุณ”
ลุคพยักหน้ารับ
เจ้าหน้าที่จึงจากไป
เบียงก้ามองไปยังชายที่ยืนอยู่ตรงประตู ก่อนเอ่ยถามด้วยความสงสัย “คุณเห็นปู่ของฉันรึเปล่า?”
เธอเป็นฝ่ายที่เอาแต่พูดว่าจะออกไปจากชีวิตของเขา แต่ตอนนี้กลับเป็นเธอที่มาเคาะประตูเขากลางดึกเพื่อถามเรื่องสัพเพเหระ
เบียงก้าอดไม่ได้ที่จะต้องเก็บงำความรู้สึกอึดอัดเอาไว้ เธอไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องผ่านมันไปให้ได้เพื่อที่จะตามหาปู่ให้เจอ
“เกิดอะไรขึ้นกับปู่ของคุณ? เขาไม่ได้อยู่ที่บ้านงั้นเหรอ?”ลุคก้มหน้าลงขณะผูกชุดคลุมนอน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นแล้วเอ่ยถามเธอ
เบียงก้าจ้องมองลงไปในสีหน้าและแววตาของเขา เธอตระหนักได้ว่าเขาดูจริงใจและคงไม่รู้จริง ๆ ว่าคุณปู่ของเธอหายไปไหน
ความผิดหวังนั้นทำให้หัวใจของเบียงก้าหล่นไปที่ตาตุ่ม เธอส่ายศีรษะแล้วกดไปที่ปุ่มของลิฟต์ด้วยมืออันสั่นเทา เธอตั้งใจจะมุ่งหน้ากลับลงไป
เมื่อลุคสังเกตเห็นพวงแก้มซีดเซียวและดวงตาที่เป็นประกายของเบียงก้า เขาออกจากห้องแล้วเดินไปยังลิฟต์ด้วย
เบียงก้าพยายามสะกดกลั้นไม่ให้ตัวเองร้องไห้ออกมา แต่แล้ว เขาโยนเธอลงโซฟาและกักตัวเธอไว้กับอ้อมแขนของตัวเอง ขณะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก นัยน์ตาดำขลับของเขาไร้อารมณ์ “เกิดอะไรขึ้น? บอกผมมาให้หมด!”
ดวงตาของเบียงก้าเต็มไปด้วยหยาดน้ำ
ในตอนนั้นเอง เด็กน้อยทั้งสองคนก็เดินออกมาจากห้อง
เรนนี่หนีบตุ๊กตาหมีสีขาวไว้ในอ้อมแขน ขณะที่อยู่ในความงุนงง เธอขยี้ตา ในขณะที่ลานี่เอาแต่กังวลว่าตัวเองจะใส่รองเท้าสลับข้าง เขาเพียงแค่จ้องมองผู้ใหญ่ที่ทำตัวแปลกทั้งสองคนบนโซฟา
“กลับไปนอนเถอะ พ่อมีเรื่องต้องคุยกับน้าบี” ลุคหันกลับมาพร้อมคิ้วที่ขมวดเป็นปม
ลานี่เม้มปาก เขาไม่พูดอะไรและพาน้องสาวกลับเข้าห้องของตัวเองไป ก่อนที่พวกเขาจะกลับเข้าห้องไปนั้นเอง พวกเขาเหลือบมองน้าบีอยู่สองสามครั้งแล้วเดินเข้าไปอย่างไม่ค่อยเต็มใจ...
เบียงก้าเองก็สบตาเด็ก ๆ กลับไปเช่นกัน
แต่เธอไม่อาจฝืนส่งยิ้มไปให้พวกเขาได้
โทรศัพท์ของเธอดังขึ้น
เบียงก้าหยิบมันขึ้นมาตรวจดูในทันที ราวกับว่ากำลังรอสิ่งที่สำคัญบางอย่าง
มันคือข้อความเสียงจากนีน่า
นี่น่าเป็นคนส่งข้อความเสียงมาให้เธอ “ฉันไม่เห็นปู่ของเธอเลย เกิดอะไรขึ้นเหรอบี? ทุกอย่างยังเรียบร้อยดีใช่ไหม? ปู่ของเธอหายไปไหนล่ะ? แล้วนี่เธออยู่ที่ไหน? ฉันจะรีบไปนะ ไม่ต้องห่วง!”
ลุคหยิบโทรศัพท์ของเธอไป แล้วตอบข้อความแทนเบียงก้า “ไม่มีอะไรหรอก ทุกอย่างเรียบร้อยดี”
หลังจากที่พูดไปแบบนั้น เขายึดโทรศัพท์ของเธอไว้แล้วจ้องมองเข้าไปในดวงตาที่หลบอยู่ใต้ขนตาหนาอย่างเย็นชา “ผมจะไปเปลี่ยนชุดก่อน รออยู่นี่นะ”
เขาเอาโทรศัพท์เธอติดตัวไปด้วย เบียงก้าจึงทำได้แค่รอเขา
ผู้ชายคนนี้อาจสวมแต่ชุดสูทและผูกเนกไทตลอด 365 วันต่อปีก็เป็นได้ เขาจึงสามารถคุยเรื่องธุรกิจได้ตลอดเวลาอย่างไรล่ะ
เบียงก้าออกจากอพาร์ตเมนต์มาพร้อมกับลุค และมันเป็นอะไรที่ดึงดูดสายตาจากผู้คนจำนวนมากที่แผนกต้อนรับ
“พวกเราเป็นคู่รักกันเหรอ?” หญิงสาวจากส่วนต้อนรับเอ่ยถามเจ้าหน้าที่อีกคน
เจ้าหน้าที่หญิงที่กำลังง่วนอยู่กับการตรวจสอบข้อมูลอยู่นั้นเงยหน้าขึ้นมา เธอมองไปที่คนทั้งคู่ที่เดินออกไปแล้วกล่าว “พวกเขาน่าจะคบกันอยู่นั่นแหละ แต่ฉันสัมผัสได้ว่าทั้งคู่ไม่ได้ใกล้ชิดกันมากมายอะไร ไม่อย่างนั้น ผู้หญิงคนนั้นคงจะมีกุญแจไว้กับตัวแล้วล่ะ ฉันพูดถูกไหม? เราต้องส่งคนให้พาเธอขึ้นไปหาผู้ชายคนนั้นถึงบนห้องเชียวนะ พวกเราอาจจะเป็นคู่รักกันก็จริง แต่รักกันแบบลับ ๆ ไงล่ะ”
“พวกเขาอาจจะแค่ทะเลาะกันก็ได้ เท่าที่ฉันดูเนี่ย ผู้ชายคนนั้นดูรักเธอคนนั้นจะตาย เขาไม่ได้เป็นอย่างพวกตาเฒ่าเจ้าเล่ห์ที่ทำอะไรแบบนั้นกับพวกผู้หญิงหากินพวกนั้นหรอกน่า…”
เจ้าหน้าที่ที่อาวุโสกว่ารู้สึกประหลาดใจ “เธอพูดเรื่องตลกอะไรเนี่ย? ผู้หญิงหน้าตาดาษดื่นอย่างเธอมีอยู่ถมเถไป น้ำหน้าอย่างเธอน่ะเหรอจะมีปัญญามาเล่นตัวออดอ้อนกับผู้ชายคนนั้น? ถ้าไม่ใช่เพราะหน่ายกับชีวิต ก็คงเป็นพวกไม่เคยถูกทิ้งมาก่อน ถึงได้อยากจะเล่นกับไฟสินะ?”
หญิงสาวที่แผนกต้อนรับเม้มริมฝีปากแล้วพูดกับเจ้าหน้าที่ที่อาวุโสกว่า “ผู้หญิงหน้าตาดาษดื่นอะไรกัน? ฉันอยากให้คุณไปหาคนที่มีหน้าตาธรรมชาติอย่างเธอดูเสียก่อนเถอะ ไม่ต้องถึงสิบคนหรอกนะ แค่คนเดียวก็พอ ถ้าทำได้ฉันจะตบมือให้เลย”
เจ้าหน้าที่อีกคนหยุดพูดลง
...
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พราวกลิ่นบุปผาตัณหารัก