เมื่อกลับมาถึงแผนกออกแบบ เบียงก้าเปิดแล็ปท็อปและมองรูปโฉมปัจจุบันของเมืองที่กำลังจะมีการพัฒนา
ลุคต้องการพัฒนาเมืองเล็ก ๆ ที่เธอไม่เคยคาดคิดมาก่อน
ตามคำบอกเล่าของคนในละแวกเมืองนั้น การพัฒนาของเมืองนี้ดูเหมือนจะดำเนินการมาหลายปีแล้ว
บ้านหลายหลังในเขตการดำเนินงานเตรียมจะถูกรื้อถอนในเร็ววัน
'ไม่เป็นอะไรใช่ไหม? งานเป็นไง ไปได้สวยเลยใช่รึเปล่า?' ซูส่งข้อความถามเบียงก้า
เบียงก้าตอบว่า 'ก็สบายดีนะ'
แม้ว่าเบียงก้าจะบอกว่าเธอสบายดี แต่ความจริงคือ เธอยังคงฟุ้งซ่านและไม่สามารถจดจ่อกับงานได้
หลังจากทำงานเพียงไม่กี่นาที เธอก็เริ่มคิดถึงเด็กตัวน้อยแสนน่ารักทั้งสอง ใบหน้าของเรนนี่และลานี่มักจะลอยเข้ามาในจิตใจอยู่เสมอ
หลังจากร่างแบบแปลนมาได้ครึ่งชั่วโมง เบียงก้าก็ลุกไปหยิบน้ำดื่ม เธอเริ่มคิดถึงนิสัยแปลก ๆ ของลุคอีกครั้ง เมื่อเร็ว ๆ นี้ เธอไม่สามารถบอกได้ว่าเขารู้สึกอย่างไร เมื่อวานเขาทั้งคู่อยู่ในโรงพยาบาล เขาทำให้เธออับอายขายหน้าด้วยคำพูดเช่นนั้น หรือไม่อาจเพราะเขากำลังอารมณ์เสียอยู่ก็เป็นได้
เธอไม่แน่ใจว่าตอนที่ทั้งสองได้พบหน้ากัน เขาจะอารมณ์ดีขึ้นรึยัง เธอสงสัยว่าเขาจะยังคงทำให้เธออับอายขายหน้าต่อไปหรือไม่
เมื่อคิดได้เช่นนั้น เบียงก้าก็เริ่มรู้สึกหดหู่
เธอแค่หวังว่าเขาจะไม่ทำตัวเย่อหยิ่งหรือใจร้อนเกินไป เพราะเธอเต็มใจจะแบกรับทุกสิ่งทุกอย่างไว้เพราะเห็นแก่ลูกน้อยทั้งสอง
แก้มอมชมพูและรอยยิ้มอันสดใสของเด็กน้อยทั้งสองทำให้จิตใจเธอกลับมาเบิกบานได้อีกครั้ง และบดบังใบหน้าอันขุ่นมัวของลุคจนมิด
ขณะดื่มน้ำ เบียงก้าอดเผยรอยยิ้มออกมาไม่ได้ เธอรู้สึกโชคดีเหลือเกินที่เด็กน้อยทั้งสองชอบและอยากใกล้ชิดกับเธอ
อาจเป็นเพราะแม่กับลูกก็คงมีอะไรเชื่อมต่อกัน เลือดเนื้อเชื้อไขนั้นไม่มีวันแยกจากไปเด็ดขาด เมื่อพวกเขามาเจอกันพร้อมหน้า เพียงพริบตาเดียวก็สามารถจำความรู้สึกที่ดีต่อกันได้
“ทำไมดูเธอมีความสุขออกนอกหน้าขนาดนั้น? ฉันดีใจที่เธอยิ้มได้นะ ก็มีอยู่บางครั้งที่ฉันคิดว่าเธอจะไม่ยิ้มอีกต่อไปแล้ว” นีน่ามาชงกาแฟและใช้นิ้วถูขมับ “ฉันคิดว่าเมื่อวานฉันคงดื่มเหล้าปลอมไปแน่ ๆ ฉันปวดหัวจนแทบจะระเบิดอยู่แล้วเนี้ย”
เบียงก้าไม่ได้บอกว่าทำไมเธอถึงยิ้ม เธอไม่กล้าแบ่งปันความสุขในใจเพราะกลัวว่าคนอื่นจะไม่เชื่อ
ทุกอย่างยังคงรู้สึกเหมือนฝันสำหรับเธอ
พ่อเธอเป็นมะเร็งปอด และคุณปู่เธอซึ่งอายุมากแล้วเพิ่งถูกลักพาตัวไป อีกทั้งยังเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ขณะเดียวกัน เธอถูกบังคับให้แต่งงานกับซาเวียร์ ชีวิตสีเทาของเธอดูเหมือนจะหม่นได้มากกว่าเดิมนัก กระนั้น มันเหมือนกับว่าพระอาทิตย์ท่อประกายแสง และดินแดนมืดกลับสว่างไสวมวลหมู่ดอกไม้ผลิบานและโอนอ่อนตามสายลมฤดูใบไม้ผลิที่พัดพริ้วลิ่วไปตามทิศทางสายลมนั้น
ลานี่และเรนนี่เป็นดั่งดวงตะวัน ดอกไม้ และสายลมฤดูใบไม้ผลิของเธอ
แม้ว่าลุคจะอารมณ์ร้ายและอาจยังโกรธเธออยู่ แต่เธอก็ยังไม่หมดหวังที่จะได้คำตอบจากพ่อลูก
ก่อนจะเลิกงาน เบียงก้าโทรหาเขาอีกครั้ง
"ขออภัย หมายเลขที่คุณโทรไม่สามารถใช้ได้ในขณะนี้ โปรดลองอีกครั้งในภายหลัง"
…
หลังจากเลิกงาน เธอเดินออกจากบริษัท
ภายใต้แสงสลัวยามพลบค่ำ เบียงก้าไปเดินลงไปยังสถานีรถไฟใต้ดิน
เมื่อเธอไปถึงโรงพยาบาล สิ่งแรกที่เธอทำคือเอ่ยถามคุณหมอถึงเรื่องอาการของคุณพ่อเธอ จากนั้น เธอก็ไปหาพ่อที่วอร์ดและวางวิตามินที่เธอซื้อไว้ข้างเตียง
พี่เลี้ยงก็มาถึงแล้วเช่นกัน เธอเป็นผู้หญิงวัยกลางคนวัย 40 ปี
ขณะที่เควินนอนอยู่โรงพยาบาล เขาพูดเบา ๆ ว่า “ลูกจ้างคนมาดูแลพ่อเหรอ? ต้องใช้เงินมากแน่ ๆ…”
เบียงก้าปลอบพ่อและพูดว่า "ก็ไม่ได้แพงมากมายอะไรเลยค่ะ คุณพ่อ เราไม่มีญาติที่นี่ ถึงเราจะขอ พวกเขาก็มาดูแลคุณพ่อที่โรงพยาบาลทุกวันไม่ได้อยู่แล้ว จ้างคนมาดูแลพ่อแบบนี้มันก็น่าจะดีแล้วแหละค่ะ ไม่งั้นถ้าหนูมาที่นี่ทุกวัน ก็คงไม่มีใครหาเงินน่ะสิ”
ทั้งที่เธอยืนกรานว่าจะไม่ให้คนแปลกหน้ามาดูแลพ่อ แต่อย่างไรก็ต้องมองดูความจริงเสียหน่อย ถ้าไม่จ้างคนมาดูแล เธอก็ต้องลาออกและเดินทางมาดูแลพ่อด้วยตนเอง
แต่ถ้าเธอลาออก เธอก็จะไม่สามารถหาเงินมาช่วยเหลือพ่อในโรงพยาบาลได้อีก
เธอเป็นพนักงานใหม่ในบริษัท ที คอร์ปอเรชั่น ซึ่งผ่านช่วงทดลองงานและได้เป็นพนักงานประจำ บริษัทจ่ายเงินให้พนักงานตรงเวลาทุกเดือน เงินเดือนของเธอจะถูกโอนเข้าบัญชีธนาคาร
การจ่ายเงินสำหรับโครงการจะได้รับหลังจากโครงการใกล้จะเสร็จสมบูรณ์เท่านั้น
นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมแม้ลุคกับเธอจะทะเลาะกัน เธอยังไม่สามารถออกจากงานตอนนี้ได้ ถ้าขืนลาออก เธอก็จะไม่สามารถรับเงินจากโครงการนี้
นี่เป็นโครงการที่มีมูลค่าสูงถึงหมื่นดอลลาร์เลยทีเดียว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พราวกลิ่นบุปผาตัณหารัก