“ฉัน ฉันไม่รู้วิธี…”
เบียงก้าคลำไปทั่วเข็มขัด ทั้งยังพยายามเกี่ยวหัวเข็มขัดเหล็กไว้กับเข็มขัดอีกด้วย
เธอต้องเรียนรู้การเกี่ยวหัวเข็มขัดโลหะนี้อย่างระวัง แต่...
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับร่างกายของบุรุษเพศ เบียงก้าอดไม่ได้ที่จะคิดไปถึงหนูตัวใหญ่แสนดุร้ายที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ชุดคลุมของเขาเมื่อคืนนี้ ความร้อนที่เห่อขึ้นบนพวงแก้มกำลังแผดเผาใบหน้าของเธอ
ริมฝีปากอันแห้งผากของเธอกล่าวออกมาว่าเธอไม่รู้วิธีใส่เข็มขัดเส้นนี้ ก่อนจะยอมแพ้
เธอเดินไปซ่อนตัวในครัว
เบียงก้าเอนหลังพิงไปกับกำแพงห้องครัวที่เย็นเยียบ ราวกับมันจะช่วยลดความร้อนผ่าวบนใบหน้าให้เธอได้
เบียงก้าได้แต่โกรธตัวเองที่ไม่เข้มแข็งพอ ถึงแม้ว่าเขาจะหล่อเหลาเพียงใด แต่เธอก็ควรจะมีภูมิคุ้มกันในเรื่องพวกนี้บ้าง ไม่รู้ทำไมทุกครั้งที่เธอเห็นเรือนร่างของลุค ใบหน้าเธอถึงได้แดง แถมใจยังเต้นเร็วด้วย? บางครั้งเธอก็คิดว่าตัวเองอาจโดนของก็เป็นได้
...
ลุคคาดเข็มขัดด้วยตัวเอง เขาไม่ได้รู้สึกโกรธเลย แต่กลับมีความสุขเสียด้วยซ้ำ
ดูเหมือนว่าที่เบียงก้าคาดเข็มขัดไม่เป็นเพราะเธอไม่เคยคาดเข็มขัดให้ผู้ชายคนไหนมาก่อนใช่รึเปล่า? เธอน่าจะทำแบบนี้กับเขาเป็นคนแรก
ลุคเข้ามาในครัวแล้วหยุดยืนตรงหน้าเธอ
เบียงก้าเงยหน้าขึ้นและมองโหนกคิ้วที่คมเข้มของเขา ก่อนจะก้มหน้าลงตามสัญชาตญาณ เธอไม่กล้าจะเงยหน้าขึ้นมองเขาอีกหน
ลุคไม่รู้ว่าโดยปกติแล้วหญิงสาวแสนขี้อายนั้นจะระบายอารมณ์ออกมาอย่างไร อาจเหมือนกับผู้ชายอย่างเรา ๆ ที่จะจัดการปลดปล่อยทุกอย่างตอนกลางคืนรึเปล่า? เหมือนกับเขาที่ตอนกลางวันจะมีอารมณ์น้อยลงนิดหน่อย
ลุคมองไปที่เบียงก้าแล้วกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “ผมขอโทษสำหรับเรื่องเมื่อคืน ผมนึกว่าการที่คุณอยู่ค้างคืนที่นี่เป็นเหมือนการบอกกลาย ๆ ว่าเราจะทำแบบนั้นกันได้”
เสียงของชายหนุ่มดูลุ่มลึกและนุ่มนวลเป็นพิเศษ อีกทั้งเพราะคำพูดของเขา… ยังทำเอาหูเธอร้อนผ่าวไปหมด
เบียงก้ายังเป็นเพียงวัยรุ่นคนหนึ่ง เธออายุแค่ 24 ปีเท่านั้น ในบรรดาเพื่อนร่วมชั้นของเธอ สาววัย 24 จากครอบครัวฐานะดียังคงได้รับการปฏิบัติราวกับเจ้าหญิงตัวน้อย
ยามว่างสมัยเรียนของเบียงก้านั้น เธอมักจะชอบท่องไปในโลกอินเทอร์เน็ตเพื่อหาอ่านสิ่งต่าง ๆ มีตำนานกล่าวไว้ว่า คารมคมคายของชายหนุ่มสามารถล่อลวงหญิงสาวให้ยอมพลีกายเพียงแค่เขาคนนั้นเปล่งวาจาออกมาเพียงเท่านั้น
เบียงก้ารู้สึกได้เลยว่าสุ้มเสียงของลุคเองก็เป็นเช่นนั้น
หลังจากพินิจพิเคราะห์อยู่นาน เรื่องที่เขาบอกว่าเธอส่งสัญญาณในเรื่องอย่างว่ากับเขาเมื่อคืน เบียงก้าคิดว่าเธอควรต้องจัดการเรื่องนี้ให้ชัดเจนเสียที เธอเงยหน้าขึ้นแล้วมองไปยังเขา “ฉันผิดเองค่ะที่ทำให้คุณคิดแบบนั้น แต่เรื่องที่ฉันเลือกที่จะค้างคืนที่นี่… มันไม่ใช่เพราะแบบนั้น”
เธอเลือกนอนบนเตียงใหญ่ของเขา เพราะเธอคิดไปเองว่าเขาคงจะนอนที่เตียงเล็กเป็นเพื่อนเรนนี่ต่างหาก
เสียงช้อนกระทบชามดังออกมาจากห้องรับประทานอาหาร
เด็กน้อยทั้งสองคนนั่งลงและเริ่มรับประทานมื้อเช้าด้วยตัวเอง
“ผมเข้าใจแล้ว มาทานมื้อเช้ากันก่อนเถอะ” ลุคไม่ได้พูดอะไรอีก เขาเลิกคิ้วแล้วมองไปยังหญิงสาวที่ทำหน้าตาจริงจัง ก่อนจะปล่อยให้เธอออกจากห้องครัวไปก่อน
บนโต๊ะอาหาร มีขนมปังแผ่นปิ้งและกาแฟร้อนอยู่เบื้องหน้าของลุค พร้อมด้วยหนังสือพิมพ์ที่วางอยู่บนโต๊ะ
“น้าบีคะ รองเท้าหนูขาดแล้ว…” เรนนี่เงยหน้าขึ้นมามอง ตาข้างหนึ่งถูกปิดเอาไว้
เธอทั้งดูน่าสงสารและน่าตลกในคราวเดียวกัน
บลองช์เอ่ย “ขอให้น้าบีพาเธอไปซื้อสิ ดีไหม? พ่อน่ะงานยุ่งจะตาย แถมยังต้องรีบไปทำงานด้วย”
เบียงก้าที่ได้ยินบลองช์พูดเช่นนั้น ก็พยักหน้ารับ “ได้สิจ๊ะ ฉันจะพาหนูไปซื้อรองเท้าคู่ใหม่เองนะ”
บลองช์ประกบขนมปังสามแผ่นขึ้นมารับประทานอย่างมีความสุข ระหว่างมื้อเช้านั้นเองที่เขาเล่าให้น้าบีฟังว่าพ่อของตัวเองยุ่งเพียงใด
ครั้งที่แล้วที่เขากับน้องสาวไปซื้อรองเท้าด้วยกัน คุณทวดมักเป็นคนจัดแจงให้เสมอ แต่คุณทวดเอาแต่เลือกรองเท้าสีเปลือกไม้เชย ๆ มาให้ตลอด! พอลองใส่ดูแล้วก็รู้สึกเหมือนกับกำลังจะเข้าร่วมรบกับกองทัพอย่างไรอย่างนั้น!
ในบางครั้งคุณย่าก็เป็นคนพาพวกเขาไปซื้อรองเท้าอยู่บ้างเช่นกัน แต่คุณย่าของพวกเขามักจะยุ่งอยู่กับการคุยโทรศัพท์ บางครั้งเธอก็พลัดหลงกับเด็ก ๆ ด้วยซ้ำไป
หลังจากนั้น คนรับใช้และคนขับรถก็เป็นคนพาพวกเขาไปซื้อแทน
ซึ่งจริง ๆ แล้ววิธีนี้ก็ดีอยู่บ้าง เพราะทั้งคนรับใช้และคนขับรถไม่เคยใส่ใจรูปแบบของรองเท้าหรือเสื้อผ้าเลยสักนิด เขากับน้องสาวจึงมีสิทธิ์เลือกซื้ออะไรก็ได้ที่ตนต้องการ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พราวกลิ่นบุปผาตัณหารัก