พราวกลิ่นบุปผาตัณหารัก นิยาย บท 164

“ฉัน ฉันไม่รู้วิธี…”

เบียงก้าคลำไปทั่วเข็มขัด ทั้งยังพยายามเกี่ยวหัวเข็มขัดเหล็กไว้กับเข็มขัดอีกด้วย

เธอต้องเรียนรู้การเกี่ยวหัวเข็มขัดโลหะนี้อย่างระวัง แต่...

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับร่างกายของบุรุษเพศ เบียงก้าอดไม่ได้ที่จะคิดไปถึงหนูตัวใหญ่แสนดุร้ายที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ชุดคลุมของเขาเมื่อคืนนี้ ความร้อนที่เห่อขึ้นบนพวงแก้มกำลังแผดเผาใบหน้าของเธอ

ริมฝีปากอันแห้งผากของเธอกล่าวออกมาว่าเธอไม่รู้วิธีใส่เข็มขัดเส้นนี้ ก่อนจะยอมแพ้

เธอเดินไปซ่อนตัวในครัว

เบียงก้าเอนหลังพิงไปกับกำแพงห้องครัวที่เย็นเยียบ ราวกับมันจะช่วยลดความร้อนผ่าวบนใบหน้าให้เธอได้

เบียงก้าได้แต่โกรธตัวเองที่ไม่เข้มแข็งพอ ถึงแม้ว่าเขาจะหล่อเหลาเพียงใด แต่เธอก็ควรจะมีภูมิคุ้มกันในเรื่องพวกนี้บ้าง ไม่รู้ทำไมทุกครั้งที่เธอเห็นเรือนร่างของลุค ใบหน้าเธอถึงได้แดง แถมใจยังเต้นเร็วด้วย? บางครั้งเธอก็คิดว่าตัวเองอาจโดนของก็เป็นได้

...

ลุคคาดเข็มขัดด้วยตัวเอง เขาไม่ได้รู้สึกโกรธเลย แต่กลับมีความสุขเสียด้วยซ้ำ

ดูเหมือนว่าที่เบียงก้าคาดเข็มขัดไม่เป็นเพราะเธอไม่เคยคาดเข็มขัดให้ผู้ชายคนไหนมาก่อนใช่รึเปล่า? เธอน่าจะทำแบบนี้กับเขาเป็นคนแรก

ลุคเข้ามาในครัวแล้วหยุดยืนตรงหน้าเธอ

เบียงก้าเงยหน้าขึ้นและมองโหนกคิ้วที่คมเข้มของเขา ก่อนจะก้มหน้าลงตามสัญชาตญาณ เธอไม่กล้าจะเงยหน้าขึ้นมองเขาอีกหน

ลุคไม่รู้ว่าโดยปกติแล้วหญิงสาวแสนขี้อายนั้นจะระบายอารมณ์ออกมาอย่างไร อาจเหมือนกับผู้ชายอย่างเรา ๆ ที่จะจัดการปลดปล่อยทุกอย่างตอนกลางคืนรึเปล่า? เหมือนกับเขาที่ตอนกลางวันจะมีอารมณ์น้อยลงนิดหน่อย

ลุคมองไปที่เบียงก้าแล้วกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “ผมขอโทษสำหรับเรื่องเมื่อคืน ผมนึกว่าการที่คุณอยู่ค้างคืนที่นี่เป็นเหมือนการบอกกลาย ๆ ว่าเราจะทำแบบนั้นกันได้”

เสียงของชายหนุ่มดูลุ่มลึกและนุ่มนวลเป็นพิเศษ อีกทั้งเพราะคำพูดของเขา… ยังทำเอาหูเธอร้อนผ่าวไปหมด

เบียงก้ายังเป็นเพียงวัยรุ่นคนหนึ่ง เธออายุแค่ 24 ปีเท่านั้น ในบรรดาเพื่อนร่วมชั้นของเธอ สาววัย 24 จากครอบครัวฐานะดียังคงได้รับการปฏิบัติราวกับเจ้าหญิงตัวน้อย

ยามว่างสมัยเรียนของเบียงก้านั้น เธอมักจะชอบท่องไปในโลกอินเทอร์เน็ตเพื่อหาอ่านสิ่งต่าง ๆ มีตำนานกล่าวไว้ว่า คารมคมคายของชายหนุ่มสามารถล่อลวงหญิงสาวให้ยอมพลีกายเพียงแค่เขาคนนั้นเปล่งวาจาออกมาเพียงเท่านั้น

เบียงก้ารู้สึกได้เลยว่าสุ้มเสียงของลุคเองก็เป็นเช่นนั้น

หลังจากพินิจพิเคราะห์อยู่นาน เรื่องที่เขาบอกว่าเธอส่งสัญญาณในเรื่องอย่างว่ากับเขาเมื่อคืน เบียงก้าคิดว่าเธอควรต้องจัดการเรื่องนี้ให้ชัดเจนเสียที เธอเงยหน้าขึ้นแล้วมองไปยังเขา “ฉันผิดเองค่ะที่ทำให้คุณคิดแบบนั้น แต่เรื่องที่ฉันเลือกที่จะค้างคืนที่นี่… มันไม่ใช่เพราะแบบนั้น”

เธอเลือกนอนบนเตียงใหญ่ของเขา เพราะเธอคิดไปเองว่าเขาคงจะนอนที่เตียงเล็กเป็นเพื่อนเรนนี่ต่างหาก

เสียงช้อนกระทบชามดังออกมาจากห้องรับประทานอาหาร

เด็กน้อยทั้งสองคนนั่งลงและเริ่มรับประทานมื้อเช้าด้วยตัวเอง

“ผมเข้าใจแล้ว มาทานมื้อเช้ากันก่อนเถอะ” ลุคไม่ได้พูดอะไรอีก เขาเลิกคิ้วแล้วมองไปยังหญิงสาวที่ทำหน้าตาจริงจัง ก่อนจะปล่อยให้เธอออกจากห้องครัวไปก่อน

บนโต๊ะอาหาร มีขนมปังแผ่นปิ้งและกาแฟร้อนอยู่เบื้องหน้าของลุค พร้อมด้วยหนังสือพิมพ์ที่วางอยู่บนโต๊ะ

“น้าบีคะ รองเท้าหนูขาดแล้ว…” เรนนี่เงยหน้าขึ้นมามอง ตาข้างหนึ่งถูกปิดเอาไว้

เธอทั้งดูน่าสงสารและน่าตลกในคราวเดียวกัน

บลองช์เอ่ย “ขอให้น้าบีพาเธอไปซื้อสิ ดีไหม? พ่อน่ะงานยุ่งจะตาย แถมยังต้องรีบไปทำงานด้วย”

เบียงก้าที่ได้ยินบลองช์พูดเช่นนั้น ก็พยักหน้ารับ “ได้สิจ๊ะ ฉันจะพาหนูไปซื้อรองเท้าคู่ใหม่เองนะ”

บลองช์ประกบขนมปังสามแผ่นขึ้นมารับประทานอย่างมีความสุข ระหว่างมื้อเช้านั้นเองที่เขาเล่าให้น้าบีฟังว่าพ่อของตัวเองยุ่งเพียงใด

ครั้งที่แล้วที่เขากับน้องสาวไปซื้อรองเท้าด้วยกัน คุณทวดมักเป็นคนจัดแจงให้เสมอ แต่คุณทวดเอาแต่เลือกรองเท้าสีเปลือกไม้เชย ๆ มาให้ตลอด! พอลองใส่ดูแล้วก็รู้สึกเหมือนกับกำลังจะเข้าร่วมรบกับกองทัพอย่างไรอย่างนั้น!

ในบางครั้งคุณย่าก็เป็นคนพาพวกเขาไปซื้อรองเท้าอยู่บ้างเช่นกัน แต่คุณย่าของพวกเขามักจะยุ่งอยู่กับการคุยโทรศัพท์ บางครั้งเธอก็พลัดหลงกับเด็ก ๆ ด้วยซ้ำไป

หลังจากนั้น คนรับใช้และคนขับรถก็เป็นคนพาพวกเขาไปซื้อแทน

ซึ่งจริง ๆ แล้ววิธีนี้ก็ดีอยู่บ้าง เพราะทั้งคนรับใช้และคนขับรถไม่เคยใส่ใจรูปแบบของรองเท้าหรือเสื้อผ้าเลยสักนิด เขากับน้องสาวจึงมีสิทธิ์เลือกซื้ออะไรก็ได้ที่ตนต้องการ

แต่ถึงกระนั้น พอมองกลับไปแล้วพวกเขาก็ไม่ได้ชอบใจนัก

เด็กคนอื่น ๆ จะไปซื้อข้าวของกับพ่อแม่ของตัวเองทั้งนั้น

หลังจากได้ฟังเรื่องราวจากปากของเด็กทั้งสอง เบียงก้ารู้สึกทุกข์ใจเหลือเกิน เธออดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองชายที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามซึ่งเงียบอยู่ตลอดเวลา

‘นี่คือพ่อในแบบที่เขาเป็นให้เด็กทั้งสองคน มาตลอดห้าปีอย่างนั้นเหรอ?’

พูดตรง ๆ เลยว่า เขาเป็นพ่อที่ไม่ได้เอาอ่าวเลยสักนิด

แล้วเบียงก้าถึงได้สติในภายหลังว่า ‘ลุคก็เป็นคนเย็นชาเช่นนี้เสมอ และเหตุผลที่เขามีลูก ก็เพื่อผลประโยชน์ของครอบครัวนั่นเอง’

ทายาทเป็นเครื่องต่อรองที่ทำให้เขาได้ครองอำนาจ และเขาคงไม่มีความรู้สึกลึกซึ้งอะไรกับลูกนัก

ไม่น่าแปลกใจสักนิดที่เขาจะไม่มีกะจิตกะใจที่จะใช้เวลาไปกับลูกของตัวเอง

ณ ปลายโต๊ะอาหาร ลุคจดจ่ออยู่กับหนังสือพิมพ์ในมือ เขายกแก้วกาแฟร้อนขึ้นจิบเป็นระยะ ในขณะที่หูก็ฟังการสนทนาของเบียงก้ากับลูกไปด้วย เขาลุกขึ้นแล้วกล่าว “พอซื้อของเสร็จแล้ว เราไปดูละครเวทีกัน”

เบียงก้ากับเด็กน้อยทั้งสองมองไปยังลุค

ผู้เป็นพ่อวางหนังสือพิมพ์ลง ลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องอาหารไป

ในตอนที่เขาวางหนังสือพิมพ์ลง นิ้วของลุคก็ชี้ไปยังจุดที่มีการโฆษณาของละครเวที ซึ่งระบุเวลาเป็นบ่ายของวันนั้น ยังมีละครเวทีอีกบางเรื่องที่จะฉายในโรงภาพยนตร์ของเมืองเอ

“เย้! ผมอยากดูละครเวทีเรื่องนี้ครับ!” บลองช์เห็นชื่อของละครเวทีและเห็นได้ชัดว่าเขาอยากดูเรื่องนี้เหลือเกิน

เบียงก้านึกอยากปฏิเสธข้อเสนอของลุค แต่เพราะลานี่ดูเหมือนจะตื่นเต้นกับเรื่องนี้จนออกนอกหน้า...

ในที่สุด ทั้งครอบครัวก็รับประทานอาหารจนหมด

เบียงก้าจัดการทำความสะอาดและล้างจาน ก่อนจะไปแอบโทรศัพท์หาซูที่ห้องนอนก่อนออกไป

“ขอโทษจริง ๆ ค่ะ แต่วันนี้ฉันต้องลางานอีกรอบแล้ว…”

ถึงแม้เธอจะลาหยุดบ่อย แต่เธอก็จะอยู่ทำงานที่ได้รับมอบหมายจากทีมจนดึกดื่น

เพียงแต่มันจะทำให้เธอพลาดการประชุมเสมอ ซึ่งนั่นไม่ดีเอาเสียเลย แต่เธออดพะวงไม่ได้ว่าพ่อที่ไม่เอาไหนแบบลุคจะดูแลเรนนี่ที่ดวงตาบาดเจ็บเช่นนี้ได้ไม่ดี

ซูกล่าวว่า “หัวหน้าก็เพิ่งมาถามหาเธอเหมือนกันนะ เขาสงสัยว่าทำไมเธอถึงโชคดีขนาดที่ว่าท่านประธานไม่เคยว่าอะไร ทั้งที่เธอยื่นใบลาสูงเป็นตั้ง โดยเฉพาะตอนหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้เธอก็ยังลาได้ ท่านประธานก็อีกคน เขาสั่งว่าให้ระงับขั้นตอนการดำเนินงานของโครงการนี้เอาไว้ชั่วคราวก่อน แล้วให้ไปดูหน้างานสักสองสามวันก่อน ถึงค่อยตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรต่อ”

เบียงก้าไม่ได้ตอบอะไรไป “...”

นั่นหมายความว่าถึงสองสามวันนี้เธอจะไปทำงาน ก็ไม่มีอะไรให้ทำอยู่ดี

หลังบุคลากรที่รับผิดชอบโครงการนี้กลับมาจากดูงาน พวกเขาถึงจะได้ทำแผนเพิ่ม

ขณะเดียวกันนั้น โครงการอื่น ๆ ที่ลุล่วงไปจนถึงขั้นตอนสุดท้ายนั้นไม่เกี่ยวข้องกับเบียงก้าที่เพิ่งเข้ามาใหม่ เธอจึงไม่อาจยุ่มย่ามได้มากนัก

มันสายเกินกว่าจะเรียนรู้รายละเอียดต่าง ๆ ของโครงการเหล่านั้นไปแล้ว

เพราะกว่าเธอจะเข้าใจรายละเอียดพวกนั้นได้ โครงการก็คงจบลงไปเสียก่อน

...

หลังจากมื้อเช้าสิ้นสุดลง พวกเขาก็ออกเดินทาง

เด็กทั้งสองนั่งลงที่เบาะหลังรถ และเพราะมีการติดตั้งเบาะนิรภัยสำหรับเด็ก ที่เบาะหลังจึงไม่มีที่ว่างสำหรับเบียงก้าอีก

เธอไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องนั่งที่เบาะผู้โดยสารข้างคนขับ

รองเท้าของเรนนี่ขาดเพราะฝีมือของเด็กข้างบ้าน ดังนั้นเธอจึงอยากได้คู่ใหม่เพื่อให้ตัวเองกลับมามีความสุขอีกครั้ง

ลุคขับไปยังศูนย์การค้าที่อยู่ห่างออกไปสองช่วงตึก

หลังจากจอดรถที่ชั้นใต้ดิน ลุคอุ้มลูกสาวของเขา ในขณะที่เบียงก้าจูงมือลานี่ไป พวกเขาเข้าไปในศูนย์การค้าด้วยกัน

ลานี่จำได้ขึ้นใจว่าร้านรองเท้าตั้งอยู่ที่ใด

พนักงานขายสาวสวยเอ่ยเสียงหวาน “หนูน้อย หนูอยากใส่รองเท้าที่เข้าคู่กันกับคุณพ่อและคุณแม่ด้วยไหมจ๊ะ? เราเพิ่งมีรองเท้าแบบใหม่เข้ามาเลยนะ!”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พราวกลิ่นบุปผาตัณหารัก