พราวกลิ่นบุปผาตัณหารัก นิยาย บท 165

“รองเท้าคู่พ่อแม่ลูกคืออะไรเหรอคะ?” เรนนี่เอ่ยถามพนักงานเสียงหวาน

“รอเดี๋ยวนะจ๊ะ เดี๋ยวฉันจะไปหยิบมาให้หนูน้อยน่ารักดูนะ”

พนักงานขายสาวสวยหายตัวไปหลังจากนั้น ก่อนจะเดินกลับมาพร้อมกับกล่องรองเท้าสี่กล่องในมือ

พนักงานขายต้องพยายามนำเสนอการขายอย่างดีที่สุด เพื่อเพิ่มยอดขายให้ได้มากที่สุด

มันเป็นรองเท้าผ้าใบสีขาวที่เหมือนกันสี่คู่ รูปลักษณ์ของมันนั้นเรียบง่าย สะอาด โปร่งสบาย และมีชื่อยี่ห้อสีแดงแปะอยู่ด้านหลัง

พนักงานสาววางรองเท้าเหล่านั้นลงบนพื้นให้พวกเขาดู “คู่นี้สำหรับคุณพ่อ นี่สำหรับคุณแม่ แล้วนี่ก็ของหนูกับของพี่ชายนะจ๊ะ ทั้งครอบครัวจะได้ใส่รองเท้าที่เข้าคู่กันแบบนี้เลย ดูสิ สวยมากเลยนะจ๊ะ”

เรนนี่เข้าใจในสิ่งที่พนักงานอธิบายแล้วในตอนนี้ เธอหันมามองน้าบีและพี่ชายก่อนจะพึมพำเบา ๆ “มีรองเท้าของพ่อ ของหนู ของน้าบี แล้วก็ของพี่ลานี่ด้วย”

“ถ้าเราใส่รองเท้าพวกนี้เดินไปตามถนน คนอื่นจะเข้าใจว่าพวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันใช่ไหมครับ?” บลองช์เอ่ยถามเพราะความไม่เข้าใจ ขณะมองดูป้ายโฆษณาขนาดใหญ่บนผนังที่อยู่ไกลออกไป

เบียงก้าก้มหน้าลง ทั้งยังเอามือกุมขมับในตอนที่เธอเห็นโฆษณาบนผนังของร้าน

รองเท้าพวกนี้ดูเหมือนจะเป็นสินค้าหลักของแบรนด์นี้ พวกเขาถึงได้โฆษณารองเท้าเซตนี้ไปทั่ว

บนผนังร้าน มีป้ายโฆษณาของครอบครัวคนดังแปะอยู่ ในโฆษณานั้น ทั้งครอบครัวกำลังปีนเขาและทุกคนก็สวมรองเท้า เสื้อผ้า และหมวกเบสบอลแบบเดียวกันอีกด้วย

ประการแรก รองเท้ายี่ห้อนี้ราคาหลายพันเหรียญ ซึ่งฟุ่มเฟือยเกินไปสำหรับเธอ

ประการที่สอง เธอไม่ใช่แม่ตามกฎหมายของเด็ก ๆ แม้ว่าเธอจะต้องการสวมรองเท้าคู่พ่อแม่ลูกกับพวกเขา ก็ยังไม่ถึงเวลาให้ทำเช่นนั้นอยู่ดี

พนักงานขายยังคงพยายามจะขายสินค้าพวกนั้นให้ได้ เห็นได้ชัดเลยว่าพ่อของเด็ก ๆ เป็นเศรษฐีที่สามารถซื้อข้าวของได้จากความต้องการ ส่วนเรื่องราคานั้นเป็นเรื่องไม่สำคัญใด ๆ

การยุเด็ก ๆ ให้อยากได้นั้นก็ไม่ต่างจากการได้ล้วงกระเป๋าเงินของพ่อเด็กแล้ว

ใช่ นั่นถูกต้องทีเดียว ลุคแค่นั่งอยู่ข้าง ๆ และไม่สนด้วยซ้ำว่าลูกทั้งสองคนจะเลือกรองเท้าคู่ไหน เขาทำตัวเป็นคนหน้านิ่งแถมยังดูเย็นชา และมีหน้าที่เพียงแค่จ่ายเงินด้วยบัตรเครดิตเพียงเท่านั้น

ทุกสายงานไม่มีอะไรง่าย เบียงก้ารู้ดีว่าทำไมพนักงานขายคนนี้ถึงพยายามมากนัก

แต่ตอนที่เบียงก้าพยายามจะบอกกับพนักงานขายว่าเธอไม่ใช่แม่ของเด็กทั้งสองคน เธอก็เกิดพูดไม่ออกขึ้นมา

นั่นเพราะเธอไม่อาจเปลี่ยนความจริงที่ว่าลานี่และเรนนี่คือเลือดเนื้อเชื้อไขของเธอกับลุคได้…

เรนนี่ตกหลุมรักรองเท้าคู่พ่อแม่ลูกเข้าเสียแล้ว เธอมองพี่ชายด้วยดวงตาที่เหลืออยู่หนึ่งข้าง

บลองช์เดินเข้าไปหาและกระซิบแก่น้องสาว “ไปบอกคุณพ่อ เพราะเธอบาดเจ็บอยู่ พ่อต้องฟังเธอแน่”

“ได้เลย พี่ลานี่”

เรนนี่วิ่งไปยังโซฟาด้วยความกังวล

ลุคนั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟาของร้าน โดยมีแก้วน้ำที่พนักงานขายรินมาเสิร์ฟไว้ให้อยู่บนโต๊ะข้างตัว

“พ่อคะ…” เรนนี่วิ่งทั้งที่ตาข้างหนึ่งปิดอยู่ เธอจ้องมองผู้เป็นพ่อ มือเล็กสองข้างดึงนิตยสารการเงินออกจากมือของลุค

ลุคไม่ได้ให้ความสนใจกับข้าวของและเด็ก ๆ เลยตั้งแต่ย่างกรายเข้ามาในร้าน แต่หลังจากลูกสาวมาหา เขาจึงลุกขึ้นแล้วอุ้มเธอเอาไว้ก่อนเอ่ยถาม “ลูกเลือกได้รึยัง? พ่อจะได้ไปจ่ายเงิน”

ทั้งผู้ใหญ่และเด็กน้อยเดินตรงไปยังตู้โชว์

มันเป็นเพียงช่วงเวลาเล็กน้อยเท่านั้นที่พนักงานขายได้เห็นใบหน้าของชายหนุ่มชัดเจน

รังสีรอบกายชายหนุ่มนั้นดูเป็นผู้ใหญ่และมั่งคั่งเหลือเกิน เขามีใบหน้าแสนดุดัน หากแต่วิธีที่เขาอุ้มลูกสาวไว้ในมือนั้นดูอบอวลไปด้วยรัก

พนักงานขายอดไม่ได้ที่จะมองเขาต่ออีกสองสามนาที ไม่รู้ทำไมชายคนนี้ถึง… ดูเหมือนกับคนที่เพิ่งขึ้นปกนิตยสารการเงินเล่มล่าสุดอย่างไรอย่างนั้น...

“พ่อคะ พวกเราใส่รองเท้าคู่พ่อแม่ลูกได้ไหมคะ?”

หลังจากเรนนี่พูดจบ เธอกลัวเหลือเกินว่าพ่อจะปฏิเสธคำขอนี้ จึงได้แต่ซบหน้าลงกับหัวไหล่ของผู้เป็นพ่อ เธอเตรียมจะร้องไห้อยู่รอมร่อแล้ว

“คุณลูกค้าคะ รองเท้าทั้งสี่คู่นี้เป็นรุ่นล่าสุด…”

พนักงานสาวสวยอธิบายทุกอย่างออกมา

ลุคเข้าใจในแนวคิดและความหมายของรองเท้าคู่พ่อแม่ลูกเป็นอย่างดี รองเท้าทั้งสี่คู่วางอยู่บนพื้น ซึ่งรวมของเขาและเบียงก้าด้วย

เบียงก้ารู้สึกได้ถึงสายตาของลุคที่มองเธอ เธอจึงมองเขากลับไป

เมื่อสองสายตาสบประสานกัน เบียงก้าส่ายศีรษะเพราะต้องการให้เขาปฏิเสธคำขอของลูกไป

...

20 นาทีต่อมา

ลุควางถุงใส่ของสี่ใบในมือลงในรถ

ในตอนที่เขาปิดประตูแล้วหันกลับมา สายตาที่เฉียบคมกวาดมองไปยังรองเท้าสีขาวที่เบียงก้า เรนนี่และลานี่สวมอยู่ ซึ่งเป็นแบบเดียวกัน

ลุคยิ้มออกมาอย่างกลั้นไม่ได้ เบื้องหลังเขามีลูกสองคนและแม่ของเด็ก ๆ อยู่ด้วย ใครก็ตามที่เห็นเข้าก็คงพากันคิดว่า คนทั้งสาม ทั้งผู้ใหญ่และเด็กเป็นคนในครอบครัวของเขา

เพราะพวกเขาสวมรองเท้าผ้าใบสีขาวที่เหมือนกันทั้งสี่คน

ลุคจำได้ว่าตัวเองเคยสวมรองเท้าพวกนี้แค่ตอนมัธยมเท่านั้น หลังจากที่เข้าสู่แวดวงธุรกิจ เครื่องแต่งกายที่แสนน่าเบื่อและเป็นทางการก็เข้ามาแทนที่ เสื้อผ้าของเขาประกอบไปด้วยชุดสูทเสื้อเชิ้ตติดกระดุมและรองเท้าหนังแทน

ตอนสิบโมงเช้า เจสันก็ส่งรหัสสำหรับการรับตั๋วละครเวทีมาให้

ละครเวทีนั้นจะเริ่มแสดงเวลาบ่าย 2 โมง 40 นาที ซึ่งเหลือเวลามากพอที่จะให้พวกเขาได้แวะรับประทานมื้อกลางวันก่อนละครเวทีจะเริ่ม แต่ตอนนี้ก็ถือว่ายังเร็วไปสำหรับมื้อเที่ยงอยู่ดี

ลานี่รออยู่ที่ลานจอดรถ และแอบบอกเบียงก้าว่าเขาอยากจะไปเล่นที่สนามเด็กเล่นสักหน่อย

เบียงก้าจึงถูกยัดเยียดหน้าที่ที่ต้องเป็นคนบอกพ่อของเด็กน้อยทั้งสองแทน

ลุคมองเบียงก้าที่กำลังเดินมาหา ในตอนที่เธอหยุดลงตรงหน้า เธอก็เอ่ยปาก “ลานี่กับเรนนี่อยากไปสนามเด็กเล่นค่ะ คุณอนุญาตไหมคะ?”

“นี่คุณไม่พอใจอะไรรึเปล่า?” ลุคเอ่ยถามหญิงสาวผู้มีใบหน้าบึ้งตึงไม่สบอารมณ์

เธอไม่พอใจเรื่องที่ต้องสวมรองเท้าเข้าคู่พ่อแม่ลูกแบบนี้อย่างไรเล่า

“ถ้าฉันใส่รองเท้าเหมือนพวกคุณสามคนเดินไปตามถนน แล้วมีใครแอบถ่ายพวกเราขึ้นมา ฉันกลัวว่าข่าวหน้าหนึ่งพรุ่งนี้จะมีแต่รูปพวกเราเอาได้นะคะ” เบียงก้าเอ่ย

สองสามวันก่อน หนังสือพิมพ์ก็เพิ่งลงข่าวว่าเขาพาลูก ๆ ไปรับประทานอาหารเช้าอยู่เลย

เหล่าสาวโสดจะหาประโยชน์จากข่าวเหล่านั้น และคงจะเผยแพร่วิดีโอของหญิงสาวที่ข้องแวะกับผู้ชายแบบลุคเอาได้

ลุคขมวดคิ้ว “ข่าวหน้าหนึ่งอะไร? คุณกังวลว่าสื่อจะเรียกคุณว่าเป็นคนรักของผม หรือกังวลว่าคนอื่นจะรู้ว่าคุณเป็นแม่ของเด็ก ๆ กันแน่ล่ะ?”

"..."

เบียงก้าอยากจะยอมรับทั้งสองอย่าง

ในตอนที่ลุคล็อกรถและมองดูรองเท้าคู่ที่เขากับเบียงก้าสวมแล้วก็รู้สึกหึงหวงเบียงก้าขึ้นมาไม่ต่างไปจากคู่ชายหญิงที่เพิ่งคบหาดูใจกันได้ไม่นาน “หรือคุณกลัวว่าคนในทะเบียนสมรสจะเห็นเข้าล่ะ?”

ถ้าเป็นเรื่องของเบียงก้าเมื่อใด แรงราคะของชายหนุ่มพลันกระพือขึ้นพร้อมกับแรงโทสะที่เข้าครอบงำทั้งหัวใจของเขา

“ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ…” เบียงก้าส่ายศีรษะทันควัน

ลุคดูพอใจกับคำตอบที่ได้รับ เขาจุดบุหรี่ ก้มศีรษะลงแล้วกล่าว “ดี งั้นคุณก็ใส่รองเท้าคู่นี้ตลอดไปเลยแล้วกัน เพราะถ้าคุณถอด ก็อย่าหวังว่าจะได้เจอลูกอีก”

เบียงก้าหมดคำจะพูด

หลังจากพาลูกทั้งสองไปเล่นที่สนามเด็กเล่นแล้ว เบียงก้าก็แวะไปที่โรงพยาบาลก่อนมื้อเที่ยงด้วย

ขณะเดียวกันนั้น

ซาเวียร์ที่เพิ่งขับรถออกจากโรงพยาบาลได้เพียง 20 นาทีก็รับสายของผู้เป็นแม่

“ซาเวียร์ ลูกจำได้ไหมว่าลูกสัญญากับเราว่าจะพาไปดูภาพยนตร์ไม่ก็ละครเวทีน่ะ? แม่ซื้อตั๋วละครเวทีมาสามใบด้วยนะ ละครจะเริ่มเล่นตอนบ่าย 2 โมง 40 นาที ลูกมารับเราได้ไหม?” เพราะสองพ่อลูกยังเคืองกันไม่หายหลังจากทะเลาะกันวันนั้น คุณนายแทนเนอร์จึงใช้โอกาสนี้เพื่อสานสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกขึ้นมาอีกครั้ง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พราวกลิ่นบุปผาตัณหารัก