พราวกลิ่นบุปผาตัณหารัก นิยาย บท 166

ซาเวียร์ไม่ได้ปฏิเสธแม่ไป

เขาอยากจะใช้โอกาสนี้คืนดีกับผู้เป็นพ่อเช่นกัน

เมื่อเทียบกับพ่อแล้ว ซาเวียร์อยากจะยิ่งใหญ่ให้ได้มากกว่าเขา ก่อนจะถึงวันที่ต้องลงจากตำแหน่ง

ความจริงก็คือพ่อไม่เคยโกรธลูกนอกสมรสอย่างเขาเลยสักครั้ง หากผู้เป็นพ่อโกรธเขาขึ้นมาจริง ๆ ประเดี๋ยวเดียว พ่อก็จะใจอ่อนลงเอง

ซาเวียร์ได้ให้คำสัญญากับพ่อและแม่ว่าจะพาพวกเขาไปชมภาพยนตร์หรือไม่ก็ละครเวทีไว้เมื่อห้าปีที่แล้ว ในตอนที่เขายังถูกจับกุมตัวอยู่ในเรือนจำนั่น

ในตอนนั้น ยามที่พ่อแม่มาเยี่ยมเขาในเรือนจำ เขาในชุดนักโทษพร้อมกุญแจมือมักจะถูกผู้คุมเป็นคนพาไปพบญาติ

หลังจากนั่งลง ในสายตาของซาเวียร์นั้น พ่อและแม่ดูราวกับเด็กวัยสิบขวบที่อ้าปากทำอ้ำอึ้งแต่ไม่ยอมพูดอะไรออกมา

เขาไม่ค่อยได้พูดคุยอะไรกับพ่อแม่มากนัก

ณ ตอนนั้น เขาได้ยินเสียงแม่คร่ำครวญผ่านกระจกหนานั่นมา “ลูกเอ๋ย อย่าเสียใจไปเลยนะที่ต้องอยู่ในนั้น… อนาคตลูกจะต้องเป็นคนที่ดีกว่านี้ และได้โปรดอย่าทำผิดแบบเดิมซ้ำสองเลยนะ แม่กับพ่อรักลูกมากนะ พอออกจากที่นี่ไปได้แล้ว ทำตามที่เราบอกเสียเถอะ ลูกต้องแต่งงานและมีทายาท ครอบครัวเราจะได้กลับมาอยู่พร้อมหน้ากันอย่างมีความสุขอีกครั้ง…”

ในวันนั้น แม่พูดมากเป็นพิเศษ หากแต่คำพูดของผู้เป็นแม่นั้นปะปนไปกับเสียงสะอื้นไห้ เขาจึงฟังเธอได้ไม่ชัดเจนนัก

แต่มีคำพูดหนึ่งของแม่ที่ซาเวียร์จดจำได้อย่างชัดเจน “ถ้าลูกรู้สึกผิดต่อพ่อและแม่จริง ๆ พอออกจากที่นี่ไปได้แล้ว… ลูกก็ชดใช้ความผิดนั้นเสีย พ่อกับแม่ไม่ได้อยากได้อะไรวิเศษวิโสมากมายนักหรอก แค่พาพวกเราไปดูภาพยนตร์หรือละครเวทีบ้าง เราก็พอใจแล้ว…”

เมื่อซาเวียร์ได้ยินเช่นนั้น เขาก็นิ่งงันไม่ต่างจากร่างไร้วิญญาณ ถึงกระนั้น ซาเวียร์ก็ประหลาดใจกับความคาดหวังที่ต่ำเตี่ยเรี่ยดินที่พ่อแม่มีต่อเขา

ทั้งหมดที่เขาต้องทำก็แค่พาพวกท่านไปดูภาพยนตร์ไม่ก็ละครเวทีสักเรื่อง หน้าที่ลูกกตัญญูของเขาง่ายดายถึงเพียงนั้น

แม้เป็นเรื่องแสนง่ายดายเช่นนั้น แต่เขากลับไม่เคยทำมันเพื่อพวกท่านเลยตลอดระยะเวลากว่า 20 ปีก่อนที่ตัวเองจะต้องเข้ามาอยู่ในสถานที่เช่นนี้

ตอนนี้ซาเวียร์พ้นโทษออกมาแล้ว และกำลังขับรถโลดแล่นไปบนถนนสายหนึ่ง

เพราะแม่โทรมาบอกเขาเรื่องที่เธอซื้อตั๋วละครเวทีไว้สามใบนั่นแหละ ภาพเก่าเมื่อห้าปีก่อนถึงแล่นกลับเข้ามาในหัว

ความทรงจำเหล่านั้นกลับเข้ามาย้ำเตือนกับเขาว่าถึงเวลาที่ตัวเองต้องทำตามสัญญาเสียที

...

ตอนที่เบียงก้าไปเยี่ยมคุณปู่ที่โรงพยาบาล เธอไม่ยอมให้ลุคและเด็ก ๆ ย่างกรายเข้าไปในแผนกผู้ป่วย

เธอบอกปู่ไปแล้วว่า เธอกับลุคไม่เหมาะสมกัน ดังนั้น หากพวกเขามาปรากฏตัวพร้อมกันเร็วเช่นนี้ เธอคงไม่มีหน้าจะอธิบายอะไรให้ปู่ฟัง

หลังจากดูแลเรื่องอาหารมื้อเที่ยงให้คุณปู่แล้ว เบียงก้าขอตัวกลับก่อน เพราะเธอยังมีหลายอย่างที่ต้องทำ

ก่อนเธอจะจากไป เบียงก้าหยิบเอาแล็ปท็อปที่ตัวเองทิ้งไว้เมื่อวานติดตัวไปด้วย

หากมีแล็ปท็อปไว้กับตัวเองมันคงจะสะดวกกว่า เผื่อว่าซูอาจจะสั่งงานอะไรเธอเพิ่ม

หลังรับประทานอาหารกลางวันแล้ว คุณปู่ก็เดินไปทั่ววอร์ด และโบกมือเป็นสัญญาณให้เบียงก้ากลับไปจัดการธุระของเธอ

ในตอนที่เบียงก้าก้าวออกจากโรงพยาบาล เธอก็เห็นว่ารถเรนจ์ โรเวอร์สีดำนั้นถูกขับมาจอดที่ด้านหน้าก่อนแล้ว

เธอเดินไปที่รถ แล้วพบว่าลุคที่เพิ่งไปสูบบุหรี่ที่อื่นเดินมาหาเธอ เขาหยิบเอาแล็ปท็อปไปถือไว้ แล้วเปิดประตูรถให้เธอเข้าไป

“เรากินอะไรกันดีล่ะ?” ก่อนที่เบียงก้าจะได้เอ่ยขอบคุณ ชายหนุ่มก็ถามขึ้นเสียก่อน

เบียงก้ามองกลับไปที่เขา “ให้ลานี่กับเรนนี่เลือกจะดีกว่าค่ะ”

ลุคพยักหน้าอย่างไร้ข้อโต้แย้ง และวุ่นอยู่กับบทบาทสามีในอุดมคติ

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม คำพูดของลูกทั้งสองและแม่ของพวกเขาถือเป็นอันสิ้นสุด

หลังจากขึ้นรถแล้ว ลุคมีหน้าที่เป็นเพียงพลขับเท่านั้น

เบียงก้าค้นหาร้านอาหารมากมายด้วยโทรศัพท์ของเธอ และส่งมันให้ลานี่และเรนนี่เลือกจากเบาะด้านหลัง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พราวกลิ่นบุปผาตัณหารัก