พราวกลิ่นบุปผาตัณหารัก นิยาย บท 167

เบียงก้าบอกทางด้วยความอึดอัดใจ

ไม่ใช่ทุกร้านจะขายเบอร์ริโตอร่อย ๆ เพื่อไม่ให้มีอะไรผิดพลาด เบียงก้าขอให้ลุคขับรถพาเธอไปแถวบ้านเช่าหลังเก่าของเธอ

หลังกลับมายังประเทศบ้านเกิด เบียงก้าก็อยู่ละแวกนี้มาตลอด เธอจึงคุ้นชินกับร้านค้าแถวนี้ และรู้ว่าร้านไหนที่มีอาหารอร่อย

รถเรนจ์โรเวอร์สีดำที่จอดอยู่ริมถนน นั้นดึงดูดสายตาคนโดยรอบให้หันมองเป็นตาเดียว

พวกเขามองไปที่ผู้เป็นพ่อเจ้าของแผ่นหลังตรง และคู่แฝดเจ้าของผิวขาวนวลแสนน่ารัก

ตอนนี้เป็นช่วงมื้อเที่ยงพอดี ร้านเบอร์ริโต้จึงเต็มไปด้วยลูกค้า

เจ้าของร้านตะโกนขึ้น “เบอร์ริโต้ของหมายเลข 23 เสร็จแล้วนะ!”

นักเรียนมัธยมปลายในชุดนักเรียนเดินมาที่จุดชำระเงิน ยื่นบัตรคิวที่เขียนว่า ‘หมายเลข 23’ ไปให้เจ้าของแล้วรับเอาเบอร์ริโต้ไป

หญิงเจ้าของร้านมองครอบครัวทั้งสี่คนที่เดินเข้ามาด้วยนัยน์ตาเป็นประกาย

ไม่ใช่เพราะเรื่องที่เธอจะได้ลูกค้าเพิ่ม แต่เพราะพวกเขาสี่คนนั้นน่าดึงดูดและดูคล้ายจะมีชื่อเสียง

‘ไม่แน่นะ พวกเขาอาจจะเป็นดาราก็ได้’

“เชิญนั่งลงก่อนนะ ข้างในยังมีที่ว่างจ้า!” หญิงเจ้าของร้านให้การต้อนรับพวกเขาอย่างอบอุ่น เธอยังขอให้ลูกค้าแบ่งโต๊ะให้พวกเขานั่งด้วยซ้ำไป “โต๊ะหนึ่งโต๊ะสองรวมโต๊ะให้ด้วยนะ ช่วงมื้อเที่ยงแบบนี้เราต้องการที่เพิ่ม!”

นักเรียนมัธยมคนนั้นจึงถือเบอร์ริโต้ไปนั่งรวมกับอีกโต๊ะ เพื่อให้โต๊ะสำหรับสี่คนมีที่ว่าง

เจ้าของร้านเช็ดโต๊ะและเก้าอี้ทั้งสี่ตัวที่เด็กมัธยมคนนั้นเพิ่งย้ายออกไปให้ “อยากสั่งอะไรกันล่ะ?”

เบียงก้าเหลือบมองลุคและจำได้ว่าเขาพิมพ์ตอบมาว่าอย่างไร เธอประหม่าเล็กน้อยแต่ก็ตัดสินใจสั่งออกไป “เบอร์ริโต้สี่ที่ค่ะ รสดั้งเดิมสอง แบบไม่เผ็ดสองค่ะ”

“พวกเรากินเผ็ดได้นะ…” เด็กตัวน้อยทั้งสองพูดขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน

เบียงก้าหันไปมองพ่อของเด็กอย่างไม่กล้าจะเชื่อ

ก่อนลุคนั่งลงเขาก็เอ่ยขึ้น “ลานี่น่ะกินเผ็ดได้ แต่กับเรนนี่ไม่ได้ หมอบอกให้ลูกเลี่ยงของเผ็ด ๆ ไปก่อน”

เบียงก้าเปลี่ยนรายการอาหารกับเจ้าของร้าน

เจ้าของร้านจดรายการอาหารแล้วมอบยื่นไปให้สามีของตน

ขณะวางจานลงบนโต๊ะพวกเขา เจ้าของร้านก็เอ่ยถามกับเบียงก้าอย่างเงียบ ๆ “พวกคุณเป็นดารารึเปล่า?”

“ไม่ใช่ค่ะ” เบียงก้าส่ายศีรษะแล้วอธิบายต่อ “ฉันเคยเช่าบ้านอยู่แถวนี้ แถมยังเคยมากินร้านคุณหลายรอบแล้ว”

เจ้าของร้านเช็ดโต๊ะอีกรอบ เธอยิ้มไปเช็ดไป และเอ่ยปากราวกับไม่ได้ฟังที่เบียงก้าพูด “ฉันคิดว่าพวกคุณเป็นพวกดาราที่อยากจะสัมผัสชีวิตคนธรรมดา รายการนั้นมันชื่ออะไรนะ…เรียล พีเพิลใช่ไหม? ถ้าร้านฉันโชคดีได้ออกทีวีบ้าง ร้านเราคงจะดังไม่หยอกเลยล่ะ!”

เบียงก้ารู้ดีว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นเพราะลุค “พวกเราไม่ใช่ดาราจริง ๆ นะคะ…”

กล่าวตามตรงได้เลยว่าลุคไม่ใช่พวกดาราฮอลลีวูด เขาหาตัวจับยากกว่านั้น

เป็นโชคอันดีที่ผู้คนส่วนใหญ่ในร้านเป็นคนธรรมดา บ้างก็เป็นแรงงานข้ามชาติจากไซต์ก่อสร้างที่อยู่ไม่ไกล พวกเขาเป็นคนมีอายุและน่าจะไม่ได้เล่นโซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งไม่สนใจข่าวจากแวดวงการเงิน จึงไม่รู้ว่า ลุค ครอว์ฟอร์ดเป็นใคร ลุคและลูก ๆ จึงไม่ถูกใครรบกวนเข้า

“เบอร์ริโต้ได้แล้วจ้า!” เจ้าของร้านนำมันมาให้พวกเขา

ลานี่และเรนนี่หยิบช้อนส้อมออกมารอด้วยความตื่นเต้น เห็นได้ชัดว่าพวกเขาชอบมันมากแค่ไหน

ในตอนนั้นเอง เบียงก้ารู้สึกพอใจและมีความสุขท่วมท้น ดูเหมือนเพราะลูกทั้งสองจะได้รับลักษณะทางพันธุกรรมมาจากเธอใช่รึเปล่าถึงได้ปรับตัวเข้ากับอาหารได้ง่ายเพียงนี้?

...

ตอนบ่ายโมง

ลุคขับรถออกไปตามถนน

โทรศัพท์ของเขาดังขึ้น

ลุครับสาย “เกิดอะไรขึ้นครับ คุณปู่?”

“ลุค น้องสาวปู่มาพบทีมแพทย์ที่เมืองเอ หลานรู้ไหมว่าสามีเธอป่วยหนักขนาดไหน? เขาแทบจะทนเจ็บไม่ไหวและอาการก็ขึ้น ๆ ลง ๆ ตลอดเวลา น้องสาวปู่คิดว่าคงดีถ้าลานี่กับเรนนี่จะไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาลบ้าง” ผู้อาวุโสครอว์ฟอร์ดกล่าว

เนื่องจากลุคเปิดลำโพง เด็กน้อยทั้งสองที่นั่งอยู่เบาะหลังจึงได้ยินทุกอย่าง

เบียงก้าเองก็ได้ยินเช่นกัน

“หมายความว่าพวกเราจะไปดูละครเวทีไม่ได้แล้วเหรอคะ?” เรนนี่อยากไปดูละครเวทีเรื่องนี้กับพ่อและน้าบีมาก

เบียงก้าไม่กล้าที่จะยื่นจมูกเข้าไปยุ่งเรื่องในตระกูลครอว์ฟอร์ด

“ไว้เราไปดูละครเวทีกันวันหลังก็ได้นี่” ลุคตัดสินใจพูด

...

40 นาทีต่อมา เจสันก็มารับลานี่และเรนนี่ไป

“คุณไม่ไปเหรอคะ?” เบียงก้านั่งอยู่ในรถและไม่กล้าจะก้าวลงจากรถไป

พวกเขาอยู่ที่ทางเข้าหลักของบริษัท ถ้าเธอลงจากรถไปตอนนี้ ทุกสายตาจะต้องจับจ้องมาที่เธอเป็นแน่

ลุคสตาร์ทรถ “ผมก็อยากไปนะ แต่ผมกลัวว่าเขาจะจำได้ว่าผมเป็นพ่อของเด็ก ๆ”

ลานี่และเรนนี่จำต้องรับบทหลานของตระกูล ซึ่งก็นับว่าเป็นคำโกหกที่จะส่งผลดีกับชายแก่ที่กำลังจะตาย

“จะว่าอะไรไหมคะ? ถ้าคุณจะกรุณาจอดให้ฉันลงให้จุดที่ห่างจากที่นี่สัก 100 เมตร แล้วเดี๋ยวฉันเดินเข้าไปเอง” เบียงก้ากล่าว

ลุคไม่ฟังคำขอของเธอ หากแต่ขับรถมุ่งหน้าไปยังโรงละครแทน “ผมว่าเราต้องคุยกันเรื่องลูกสักหน่อย”

บรรยากาศอันมีชีวิตชีวาของเด็กทั้งสองอันตรธานหายไปหมดแล้ว บรรยากาศบนรถที่เหลือเพียงผู้ใหญ่สองคนนั้นกำลังปะทุขึ้น ทุกลมหายใจมีความหมายซ่อนเร้นอยู่ในนั้น

เบียงก้าจึงเลือกจะไม่โต้แย้งกับเขา เพื่อที่จะได้คุยเรื่องลูก เธอจึงลืมเรื่องที่จะลงจากรถและกลับไปที่บริษัท

เบียงก้าเลือกจะเงียบตลอดทางไปโรงละคร

เธอรอให้เขาเป็นฝ่ายเอ่ยปากก่อน

แต่ถึงกระนั้น เธอก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขากำลังคิดอะไรในใจ เพราะเขาเองก็ไม่ได้ปริปากอะไรออกมา

เพราะคิดว่าตอนดูละครเวทีไม่เหมาะที่จะคุยกันเท่าไหร่ เบียงก้าจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเอ่ยถามเขาตั้งแต่ตอนนี้ “ฉันขอเจอลูกบ่อย ๆ ได้ไหม?”

“ได้สิ”

รถเรนจ์โรเวอร์สีดำมุ่งหน้ามาถึงสี่แยก ลุคพยักหน้าและยังจดจ่ออยู่กับถนนเบื้องหน้า มือใหญ่โตของเขาหมุนพวงมาลัยไปครึ่งหนึ่งแล้วก็ขับรถไปบนถนนอีกเส้น

เบียงก้าถอนหายใจอย่างโล่งอก “แล้วถ้าบางครั้ง… ฉันขอพาพวกเขามานอนค้างด้วยสักสองสามวันจะได้ไหมคะ?”

จากมุมของแม่ผู้ให้กำเนิดแล้ว คำขอนี้ไม่ได้มากเกินไปเลยแม้แต่น้อย เธออยากมีโอกาสได้ใกล้ชิดกับลูก ๆ อีกสักหน่อย

กับคำถามนี้ ลุคใช้เวลาครุ่นคิดอยู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าอย่างเห็นดีด้วย

เบียงก้าพอใจมาก ทั้งยังเปลี่ยนมุมมองที่เธอมีต่อลุคไปด้วย

ด้านนอกของโรงละคร

ณ ลานจอดรถ สายตาลุ่มลึกของลุคจับจ้องไปยังรถปอร์เช่ คาย์เยนน์ซึ่งจอดห่างจากรถเขาไปสองช่อง

พอเห็นป้ายทะเบียน เขาก็มั่นใจเลยว่ามันเป็นรถของซาเวียร์

‘นี่เขามาดูละครพวกนี้ด้วยเหรอ?’

หากเป็นซาเวียร์ที่ลุครู้จัก เขาไม่มีทางมาที่นี่คนเดียวแน่

เบียงก้าคงไม่อยากดูละครเวทีเรื่องนี้พร้อมกับลุคหรอก เพราะเมื่อไม่มีลานี่กับเรนนี่อยู่ด้วยแล้ว ไม่แคล้วจะดูเหมือนว่าเขาทั้งคู่กำลังออกเดตกัน

แต่ลุคมีเหตุผลมากพอจะโน้มน้าวให้เธอยอมได้ เพราะลานี่และเรนนี่ตั้งตารอละครเรื่องนี้ไม่น้อยแต่ไม่สามารถดูได้ ในฐานะแม่ของเด็ก ๆ เธอควรจะดูเสียหน่อย แล้วเอากลับไปเล่าให้เด็ก ๆ ฟัง นั่นถือว่าเป็นหนึ่งในวิธีแสดงความรักของเธอกับลูกไงเล่า

ลุคและเบียงก้าไม่ได้ถือตั๋วของที่นั่งแถวแรก เพราะในตอนที่เจสันเป็นคนจองตั๋ว เขารู้ดีว่าเจ้านายของตัวเองต้องการอะไร ลุคไม่ต้องการเป็นที่จดจำ เพราะมันอาจลงท้ายด้วยการที่เขาต้องใช้เวลาไปกับการเจรจาทางธุรกิจ แทนที่จะได้ใช้เวลากับลูกของตัวเองอย่างอิสระ

หลังจากนั่งลงที่เบาะ เบียงก้ามองไปยังเวทีที่อยู่ตรงกลาง

พวกเขากำลังรอให้ละครเริ่มขึ้น

ในตอนนั้นเอง น้ำเสียงเย็นยะเยือกที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นเบื้องหน้าพวกเขา

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พราวกลิ่นบุปผาตัณหารัก