เบียงก้าก้มหน้าก้มตารับประทานอาหารเช้าของตัวเองต่อไป ขณะนั่งฟังบทสนทนาระหว่างพ่อลูก เธอเองอยากจะบอกเหลือเกินว่าเมืองที่พูดถึงนั่นน่าสนุกไม่น้อย...
มีบางมุมที่คนที่อาศัยอยู่ที่นั่นมองไม่เห็นอยู่ด้วย
“น้าบีครับ…”
“น้าบีคะ…”
เด็กทั้งสองเริ่มอ้อนวอนเบียงก้า
ลานี่และเรนนี่รู้ดีว่าคุณพ่อจอมงี่เง่าของเขาจะต้องยอมฟังน้าบีแน่ พวกเขาถึงอยากขอร้องให้เธอช่วยพูดกับพ่อจอมงี่เง่าของตัวเอง
เมื่อลุคมองไปยังเบียงก้า คิ้วที่ขมวดของเขาก็ค่อย ๆ คลายลง สีหน้าท่าทางของเขาเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือทันทีเมื่อเทียบกับคำพูดรุนแรงที่ใช้คุยกับลูก “เด็กคนอื่นเริ่มเรียนกันไปตั้งแต่เดือนก่อนแล้ว ลานี่กับเรนนี่เริ่มช้ากว่าคนอื่นมาเดือนหนึ่งแล้วนะ”
เมื่อเบียงก้าได้ยินดังนั้น สีหน้าที่เธอมองไปที่ลูกทั้งสองดูประหลาดใจ “ถ้าอย่างนั้น หนูสองคนก็ควรไปโรงเรียนนะ…”
ลานี่และเรนนี่หน้ากิ่วลงทันที
ลุคโทรไปยังคฤหาสน์ครอว์ฟอร์ดตอนแปดโมงเช้า
เครื่องแบบและกระเป๋านักเรียนของลานี่และเรนนี่ถูกจัดเตรียมไว้แล้ว
จากนั้น เจสันก็ขับรถไปรับของพวกนั้น
ในตอนที่เขาไปถึงคฤหาสน์ครอว์ฟอร์ด สมาชิกในตระกูลกำลังรับประทานอาหารเช้ากันอยู่
พ่อบ้านของผู้อาวุโสครอว์ฟอร์ดเดินมาเปิดประตูให้เจสัน ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินเข้าไปพร้อมกัน
ก่อนจะก้าวเข้าไปเจสันได้ยิน อลิสันซึ่งเป็นแม่ของเจ้านายกำลังพูดอยู่
“คุณพ่อ ฉันก็ชอบบีเขาเหมือนกัน แต่ฉันแค่กังวลว่าถ้าเรื่องนี้หลุดออกไปมันคงไม่ดีเท่าไหร่มั้ง ชื่อเสียงของครอว์ฟอร์ดจะป่นปี้ขนาดไหน? ลูกสะใภ้ฉันคงไม่เดือดร้อนอะไรหรอก ตระกูลแทนเนอร์เองก็ไม่ได้กว้างขวาง ถ้าไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรก็คงไม่มีใครสนใจ แต่กับครอว์ฟอร์ดน่ะมันไม่เหมือนกัน…” อลิสันไม่มีกะจิตกะใจจะลิ้มรสข้าวต้มที่อยู่ตรงหน้าเธอเลย
ชายอาวุโสรับประทานมื้อเช้าของตนอย่างเชื่องช้า “ต่อให้คนทั้งเมืองรู้เรื่องนี้ เราก็ไม่ได้เป็นฝ่ายผิดอยู่ดี เด็กแทนเนอร์นั่นไม่มีสิทธิ์พูดอะไรอยู่แล้ว ถ้าเราไม่ได้เป็นฝ่ายผิด เราก็ไม่เห็นต้องกลัวนี่ ถ้ามัวแต่ห่วงภาพลักษณ์ของเรา ก็หมายความว่าเธอจะปล่อยให้เด็กแทนเนอร์นั่นก่ออาชญากรรมน่ะสิ!”
อลิสันผิดหวังในใบหน้า “คุณพ่อ ฉันเป็นสะใภ้ของตระกูลครอว์ฟอร์ด แถมยังให้กำเนิดทายาทแสนเพียบพร้อมให้ตระกูลด้วยซ้ำ ถึงซาเวียร์จะทำผิดยังไง เขาก็ยังขึ้นชื่อว่าเป็นหลานชายของฉัน คุณพ่อไว้หน้าฉันบ้างได้ไหมคะ? อย่าบังคับให้สะใภ้อย่างฉันต้องทำลายความสัมพันธ์ระหว่างสองตระกูลเลย ถ้าซาเวียร์ผิดจริง เขาก็ต้องได้ชดใช้อย่างสาสม แต่ถ้ามัวแต่มาฟื้นฝอยหาตะเข็บอยู่แบบนี้ ซาเวียร์อาจจะสูญเสียทุกอย่างเลยนะ!”
“สูญเสียทุกอย่างนั้นเรอะ?” ชายอาวุโสเงยหน้าขึ้นและพยายามมองท่าทีของลูกสะใภ้ที่ดูไม่เหมือนอย่างที่พูดให้แน่ชัด “เด็กแทนเนอร์นั่นทำตัวเองทั้งนั้น อีกอย่าง ฉันเชื่อว่าพวกแทนเนอร์รู้จักชุบตัวอยู่แล้ว เรื่องพวกนี้ทำอะไรพวกเขาไม่ได้หรอก!”
หลังจากกล่าวจบ ชายอาวุโสก็กระแทกภาชนะลงกับโต๊ะ
สาวใช้เดินเข้ามาทันทีที่ได้ยินเสียงที่ดังขึ้น เธอส่งไม้เท้าไปให้ชายอาวุโส อากาศที่เย็นลงเช่นนี้ส่งผลให้โรคข้อเข่าอักเสบของชายอาวุโสผู้นี้แย่ลงกว่าเก่า เขาต้องอาศัยไม้เท้าเพื่อพยุงตัว
ซูซานในชุดนอนผ้าไหมเดินลงมาจากชั้นบน เธอปรายตามองอลิสันที่พ่ายแพ้อย่างหมดรูปและอดไม่ได้ที่จะเยาะเย้ย “ฉันเดาว่าผู้อาวุโสคงจะรู้ว่าพวกแทนเนอร์คุ้นเคยกับเรื่องชั่ว ๆ ทั้งหลายแหล่ดี ดูอย่างเธอสิ เมียน้อยอย่างเธอกลายมาเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย คนอย่างเธอได้ขึ้นชื่อว่าเป็นคุณนายของตระกูลเศรษฐี เธอคงคิดว่าตัวเองได้ครอบครองครอบครัวนี้—”
“ซูซาน เธอน่ะหุบปากไปจะดีกว่า” อลิสันยืนขึ้นทุบโต๊ะด้วยมือของเธอ เธอไม่สนใจเรื่องภาพลักษณ์อะไรนั่นอีกแล้ว
ซูซานทำเมินเฉย ก่อนจะนั่งลงแล้วรับเอาชามข้าวต้มที่สาวใช้นำมาให้ “เธอมาโวยวายอะไรมิทราบ? นี่เธอคิดว่าฉันเป็นคนใช้ของเธอรึไง? ถ้าตระกูลแทนเนอร์ของเธอไม่ร้ายจริง ป่านนี้ชีวิตเธอก็คงไม่ต่างไปจากพวกคนไร้ข้างถนนที่ต่อให้มาล้างเท้าให้ฉัน ฉันก็จะไม่ชายตาแล”
พ่อบ้านและเจสันเดินเข้ามาพร้อมกัน แม้ว่าพวกเขาจะคุ้นชินกับเรื่องเหล่านี้ แต่ก็ยังต้องกระแอมไอเพื่อปรามไม่ให้นายหญิงของบ้านทั้งสองคนพูดจาเลยเถิดไปไกล
เจสันพยักหน้าให้นายหญิงทั้งสอง ก่อนจะเดินตามคนรับใช้ขึ้นไปที่ชั้นบนเพื่อไปเอาชุดเครื่องแบบและกระเป๋าของนายน้อยและคุณหนู
…
ที่อีกด้านหนึ่ง เบียงก้าเดินตามพ่อลูกออกไปที่ประตู
เธอต้องเข้าแผนกไปก่อนจะส่งต่อลูก ๆ ให้เจสัน
รถของลุคจอดอยู่ในลานจอดรถของระแวกชุมชน เขาอุ้มลานี่และเรนนี่ไปส่งที่รถแล้วปิดประตู หลังจากนั้นก็เปิดประตูผู้โดยสารเพื่อให้เบียงก้าได้เข้าไปนั่ง
หลังจากนึกย้อนไปถึงเรื่องที่เขาพูดเมื่อคืน เธอสอดส่ายสายตาไปจนรอบก่อนเอ่ยถาม “แล้วที่มาจอดรถแถวนี้ นี่คุณไม่กลัวว่าจะมีใครถ่ายรูปคุณเหรอคะ?”
เบียงก้าไม่อยากตกเป็นข่าวกับเขา
มิเช่นนั้น เธอคงไม่แคล้วจะถูกผู้คนเกลียดและขุ่นข้องหมองใจอย่างไม่สมเหตุสมผลเอาได้
“ครั้งหน้า ผมจะระวังให้มากกว่านี้แล้วกัน” มือของลุคที่วางอยู่บนเอวของเธอกระชับสัมผัสโดยไร้สัญญาณเตือนล่วงหน้า
มีเพียงเขาและเธอที่เข้าใจกริยาที่คุ้นเคยเช่นนี้ เบียงก้ารีบขึ้นรถด้วยใบหน้าขึ้นสี
เมื่อใกล้ถึงบริษัท เบียงก้าขอลงจากรถก่อนจะถึงที่หมาย เพราะนี่คือข้อตกลงแรกสำหรับการยอมนั่งรถมากับเขา
ลุคหยุดรถตามที่ตกลงไว้
“หนูสองคนต้องตั้งใจเรียนนะ เข้าใจไหม?” หลังลงจากรถ เบียงก้ายืนอยู่ที่ด้านหลัง เพื่อปลอบใจเด็กน้อยทั้งสองคนที่ดูหมดอาลัย
ลานี่และเรนนี่ได้แต่พยักหน้าอย่างน่าสงสาร “เข้าใจแล้ว…”
“เป็นเด็กดีด้วยนะจ๊ะ!” เบียงก้าถอยหลังไปยืนอยู่ริมถนน เธอโบกมือลาเด็กน้อยด้วยรอยยิ้มอันแสนอบอุ่น
รถแล่นออกไปแล้ว ลุคได้แต่มองร่างบางของเบียงก้าเล็กลงไปเรื่อย ๆ ผ่านกระจกมองหลัง
“พ่อคะ มองทางด้วย”
เรนนี่เตือนผู้เป็นพ่อด้วยตาที่เหลืออีกข้าง
…
ภายในบริษัท ที คอร์ปอเรชั่นตอนเก้าโมงเช้า
ทุกคนดูยุ่งเป็นพิเศษ เบียงก้าหยิบเอาปากกาเคมีแท่งใหม่มาใส่ในลิ้นชักของตัวเอง เมื่อนั่งลงกับที่ เบียงก้าคิดขึ้นมาได้ว่าเด็กน้อยทั้งสองคนคงจะอยู่ที่โรงเรียนแล้วในตอนนี้ เธอได้แต่สงสัยว่าพวกเขาจะปรับตัวกับโรงเรียนได้รึไม่
เธอเองก็ยุ่งวุ่นวายอยู่จนเที่ยงวัน
เบียงก้าได้รับคำสั่งจากหัวหน้าแผนก เขามอบหมายให้เธอกับเพื่อนร่วมงานอีกสองสามคนต้องติดตามเจ้านายไปที่เมืองที่กำลังพัฒนาด้วย
ตอนที่ได้รับแจ้งจากหัวหน้าแผนก เบียงก้าไม่ได้แสดงสีหน้าท่าทางอะไรที่ผิดแปลกออกไป เธอถือว่านี่เป็นเรื่องงานตามปกติ
แต่เพื่อนร่วมงานสาวคนอื่นกลับอิจฉาเธอไม่น้อย
กล่าวตามตรงแล้วเบียงก้าอยากอยู่ที่เมืองเอ ตอนที่คิดว่าลานี่กับเรนนี่ยังต้องการที่พึ่งพิง หากลุคทิ้งลูกไว้กับเธอ เธอจะทดแทนความรักของพ่อด้วยหัวใจของคนเป็นแม่ที่พร้อมจะดูแลพวกเขาทั้งคู่
เบียงก้าพยายามทำความคุ้นเคยกับข้อมูลของเมืองนั้นจนถึงเวลาอาหารกลางวัน และเพราะซูไม่อยู่ เบียงก้าจึงตามเพื่อนร่วมงานคนอื่นไปโรงอาหารแทน
ในถาดอาหารกลางวันของเธอมีเพียงพาสต้าและผักนิดหน่อยเท่านั้น เธอนั่งลงข้างเพื่อนร่วมงานที่กำลังคุยกันอย่างออกรส
ในตอนนั้นเอง ชายผู้สวมชุดสูทเดินตรงมาหาเธอ เขาสวมแว่นตากรอบทองและมีกระเป๋าเอกสารอยู่ในมือ “สวัสดีครับ คุณใช่คุณเรย์นรึเปล่า?”
เบียงก้าพยักหน้า “สวัสดีค่ะ ฉันคือเบียงก้า เรย์น คุณคือ…”
“ผมขอนั่งคุยได้ไหม?” ชายหนุ่มยื่นนามบัตรให้เบียงก้า หลังจากพูดจบ เขาก็มองไปยังทุกคนที่อยู่รอบกายเบียงก้า
เพื่อนร่วมงานสาวอ้าปากค้าง เธอรู้ได้เลยว่าคนทั้งสองมีเรื่องที่ต้องคุยกันเป็นการส่วนตัว เธอจึงย้ายไปนั่งที่โต๊ะตัวอื่นตามความคิดของตัวเอง
ทันทีที่เบียงก้าเห็นชื่อและอาชีพของชายเจ้าของนามบัตร เธอก็ได้แต่ตกตะลึง
วอลเตอร์ ลองก์!
ทนายความอันดับหนึ่งของโลกกฎหมายทั้งในและต่างประเทศ!
วอลเตอร์นั่งลงอย่างสง่าผ่าเผยและกล่าวตรงประเด็นในทันที “คุณเรย์นครับ อย่างที่คุณครอว์ฟอร์ดว่าไว้ คุณควรหย่าขาดกับสามีให้เร็วที่สุด”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พราวกลิ่นบุปผาตัณหารัก