พราวกลิ่นบุปผาตัณหารัก นิยาย บท 66

เมื่อเบียงก้าเดินออกจากละแวกบ้านของเธอ เธอเห็นชายคนหนึ่งหน้าตาหล่อเหลายืนอยู่ ณ มุมหนึ่ง

ทุกอณูในร่างกายของลุคกำลังรอคอยให้เธอมาหา เมื่อเธอออกมา เขาก็เปิดประตูรถให้เธอเข้าไปในที่สุด และยื่นถ้วยเครื่องดื่มร้อนไปไว้ในมือเธอ

แม้แต่ในฤดูร้อน ก็มีลมพัดเล็กน้อยตอนรุ่งเช้าเวลาตีสาม

เบียงก้ารู้สึกอบอุ่นในหัวใจของเธอ

หลังจากที่ขึ้นรถ เธอก็ผล็อยหลับไป

ก่อนที่เธอจะออกไป เธอบอกตัวเองว่าอย่าเผลอหลับไปและต้องอยู่พูดคุยเป็นเพื่อนเขาเสียก่อน เพราะถ้าเธอง่วง เขาก็จะง่วงนอนด้วยเหมือนกัน

ลุคขับรถอย่างระมัดระวัง รถสปอร์ตแล่นไปตามท้องถนนในตอนกลางคืนซึ่งเงียบกว่าตอนกลางวันมาก เขาขับรถเป็นเวลายี่สิบนาทีก่อนจะถึงจุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้น

เขาเหลือบดูเวลาบนนาฬิกาแล้วมองดูเธอที่กำลังหลับอยู่ เขาทำใจไม่ได้ที่จะปลุกเธอให้ตื่น

ถ้าเธอพลาดพระอาทิตย์ขึ้น พวกเขาอาจลองอีกครั้งในวันอื่น

ในขณะนั้น ก็มีรถวิ่งผ่านไปมาบนถนนและบีบแตรเสียงดัง!

เบียงก้าตื่นขึ้นด้วยความตกใจ

ลุคจ้องมองรถที่วิ่งผ่านไปและหันไปมองเธอขณะที่เอ่ยอย่างแผ่วเบา “เราถึงแล้ว ขึ้นไปข้างบนกันเถอะ”

เบียงก้ามองออกไปด้วยความงุนงง มันเป็นทางเข้าอาคารบริษัท ที คอร์ปอเรชั่น

เธอลงจากรถแล้วตามเขาไป

เธอรู้สึกอบอุ่นบริเวณหลังของเธอ เมื่อเธอหันหน้าไปมองด้วยความประหลาดใจ เธอเห็นร่างกายที่แข็งแรงของชายผู้นั้นอยู่ข้างกายเธอ เมื่อแหงนหน้าขึ้น เธอพบว่าลุคถอดเสื้อคลุมออกแล้วสวมให้เธอแทน

"ฉันไม่หนาวค่ะ"

เธอรู้สึกเกรงใจเขาอย่างมาก เพราะเขาละเอียดอ่อนต่อเธอมาก เธอไม่อยากรบกวนเขามากเกินไป

"ผู้ใหญ่มักจะคอยดูแลให้เด็ก ๆ ไม่เป็นหวัดหลังจากตื่นนอนน่ะ" ลุคปล่อยเธอและถือเสื้อคลุมของเขาที่พาดทับเธอไว้

เบียงก้าสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิร่างกายของเขาและรู้สึกราวกับอยู่ในห้วงความฝัน

เธอขึ้นไปชั้นบนสุดของอาคารบริษัท ที คอร์ปอเรชั่นเป็นครั้งแรก ตอนนี้ก็เป็นเวลาตีสี่ และเมืองนี้ก็ดูราวกับว่าจะคงอยู่แบบนี้ตลอดกาล เธอไม่เคยเห็นวิวทิวทัศน์ในช่วงเวลานี้มาก่อนเลย ซึ่งก็ยังคงเห็นสถานที่ที่งดงามดั่งเคย

ก่อนพระอาทิตย์ขึ้น แสงสีเหลืองทองจากเส้นขอบฟ้าค่อย ๆ ฉายแสงเข้ามาในเมืองราวกับภาพเขียนสีน้ำมัน

ลมพัดผ่านผมของเบียงก้า และเธอก็หัวเราะออกมาอย่างเงียบ ๆ

เธอถอนหายใจขณะที่เธอชมทิวทัศน์อันวิจิตรตระการตา

แค่ลุคได้เห็นเธอหัวเราะเป็นสิ่งแรกก็เพียงพอแล้ว

“ผมไม่เห็นจำได้เลยว่าคุณเคยหัวเราะแบบนี้ด้วย” สิ่งที่เขาหมายถึงคือเขาไม่เคยเห็นเธอหัวเราะเลย

ร่างกายที่ร้อนระอุของชายคนนั้นพุ่งเข้าหาเธอจากด้านหลังขณะที่เขาเอื้อมมือไปจับร่างที่เล็กของเธอเอาไว้ เขาเอียนกายพิงเธอและก้มศีรษะลง เขาจูบผมสีดำของเธอ หลับตาลง และสูดกลิ่นหอมของผมของเธอด้วยความเอาใจใส่

“ได้โปรดใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ร่วมกันผมนะคนดี ผมจะไม่ปล่อยให้คุณร้องไห้อีก ถ้าคุณร้องไห้อีก ผมจะรับผิดชอบเอง” ลุคดึงร่างของเธอเข้ามาใกล้เขา ขณะที่ดวงอาทิตย์ขึ้นจากท้องฟ้า เขาก้มศีรษะลงและจูบริมฝีปากที่เปิดออกเล็กน้อยของเธอ

เบียงก้ายื่นมือออกมาอย่างเขินอาย เธอค่อย ๆ โอบแขนรอบเอวที่แข็งแรงของชายคนนั้นไว้

เธอเงยหน้าขึ้นและเม้มริมฝีปากของเธอเข้าไปหาเขา

เธอยังไม่รู้ว่าการจูบกับใครสักคนหนึ่งต้องทำเช่นไร ถึงกระนั้น เธอรู้ว่าเธอควรหยุดปิดกั้นตัวเองได้แล้ว ถ้าเขาต้องการจะกลืนกินเธอเข้าไป เธอก็ต้องยื่นลิ้นออกมาหาเขา

ลุคโอบกอดเธอแน่นด้วยมืออันใหญ่ ขณะที่ลูบหลังเธอผ่านเสื้อผ้าบาง ๆ ของเธอ

ท่าทีของเธอเริ่มทำให้ชายผู้นี้สูญเสียการควบคุมตนเองไปอย่างสิ้นเชิง เขากดริมฝีปากของเธอเข้ากับริมฝีปากของเขา

“เอ่อ...” เบียงก้าทนไม่ไหว หลังจากนั้นสักครู่

ร่างกายของชายทั้งแท่งผู้นี้กำลังกดลงมาที่ร่างกายของเธออย่างแรง เขาดุร้ายและแข็งแกร่งมาก เขากดเธอลงบนราวกั้นอย่างแนบแน่น

“เอ่อ… อ่า…” ความรู้สึกเสียวซ่านตามมา การจูบของเขารู้สึกรุนแรงมากและเบียงก้าผลักหน้าอกของเขา

ลุคจมดิ่งลงลึกไปกับเธอ

ตั้งแต่ดวงอาทิตย์ขึ้น ริมฝีปากของเบียงก้าก็ยังประกบกับเขาเอาไว้แน่น

สติควบคุมตัวเองทั้งหมดของเขาพังทลายไปจนหมด เขาเป็นเหมือนคนเสียสติที่กำลังพ่นลมหายใจอันร้อนแรงใส่ใบหูเธอ พร้อมกับคร่ำครวญด้วยน้ำเสียงแห่งความเสน่หาที่เขามีต่อเธอ “แม้แต่ก่อนหน้านี้ที่ผมไม่เคยมีคุณอยู่ข้างกาย ผมก็รู้ว่าผมรักคุณ ตอนนี้ผมมีคุณอยู่ข้างกายแล้ว ความรู้สึกที่ผมมีต่อคุณยังคงเหมือนเดิม ตรงกันข้าม มันกลับรู้สึกรุนแรงมากขึ้นด้วยซ้ำไป”

จูบอันหื่นกระหายและบ้าคลั่งของเขาทำให้สมองของเธอขาวโพลน

เธอเพิ่งได้รับการปล่อยตัวจากเขาเมื่อตอนหกโมงเข้า

ทั้งสองออกจากชั้นบนสุดของตึก

ยังไม่ถึงเวลาเริ่มทำงานจึงไม่มีใครอยู่ในอาคาร แม้เป็นเช่นนั้น เบียงก้ายังกลัวเกินกว่าจะเงยหน้าขึ้นมองเขาขณะที่ทั้งสองเดินด้วยกัน

ทั้งสองขึ้นรถ

ลุคขับรถออกจากทางเข้าอาคารที คอร์ปอเรชั่น แล้วประกาศว่า "ไปเป็นเพื่อนผมไปรับลานี่กับเรนนี่ไปส่งที่บ้านของคุณลุงผมกัน”

“คุณไปรับเด็ก ๆ เองก็ได้นิคะ ฉันอยากกลับบ้านน่ะค่ะ” ความหลงใหลที่สลักอยู่บนใบหน้าของเบียงก้ายังคงอยู่ตรงนั้นและชัดเจน เธอไม่เคยทำเรื่องแบบนั้นกับผู้ชายมาก่อน แม้แต่ตอนที่เธออยู่กับฌอง มันไม่เคยเป็นแบบนั้นเลยสักครั้ง

ลุคทำในสิ่งที่เขาชอบเสมอ ทั้งจูบเธอและสัมผัสเธอ

เมื่อเคลื่อนลิ้นไปมาในปาก เธอรู้สึกซาบซ่านเหลือเกิน

“คุณกลัวอะไร? ไม่ช้าก็เร็ว คุณก็ต้องเข้าไปพบกับครอบครัวผมอยู่ดี” ลุคตัดสินใจแล้วว่าผู้สมัครเป็นภรรยาในชีวิตเขามีเพียงหนึ่งเดียวนั่นคือเบียงก้า เมื่อไหร่ที่เธอพร้อม เขาจะพาเธอไปหาพ่อแม่ทันที

เบียงก้าเคยสัมผัสประสบการณ์เช่นนี้มาก่อน และเธอก็ยังคงกลัวอยู่

พ่อของลุคก็เป็นคนในตระกูลครอว์ฟอร์ด ครอว์ฟอร์ดเป็นรากฐานของเมืองนี้มานานหลายทศวรรษ ถ้าไม่ใช่เพราะว่าคดีชู้สาวของพ่อเขาตอนช่วงวัยกลางคนล่ะก็ พวกเขาคงจะไม่ถูกประชาชนภายนอกเทกระจาดใส่จนหุ้นของบริษัทดิ่งลงเหวอย่างนั้น

ลุงของเขายังเป็นผู้มีอิทธิพลอีกคนหนึ่งในแวดวงธุรกิจ ว่ากันว่าภรรยาคนที่สองของพ่อลุคก็เป็นบุคคลที่มีตำแหน่งทางสังคมสูงเช่นกัน

เบียงก้าบังเอิญเห็นข่าวที่พาดพิงถึงพวกเขาในหนังสือพิมพ์ด้วย

...

เมื่อลานี่และเรนนี่ออกมา พวกเขาตื่นเต้นและประหลาดใจมากในตอนแรก พร้อมกับทำท่าทีเหมือนลูกเจี๊ยบเจอแม่ของมัน เด็กน้อยทั้งสองจอแจกันอยู่หลังเบียงก้า

แต่ละคนกอดขาของเบียงก้าคนละข้างจากด้านหลัง

เบียงก้ามองไปที่ลุคเพื่อขอความช่วยเหลือ

เรนนี่ทำหน้าบึ้งและไม่อยากขึ้นรถ

พ่อตัวเหม็นหึ่งของพวกตนแสดงท่าทีมีความสุขมากตอนที่กลับถึงบ้านเมื่อคืน อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นเขาก็ดูเย็นชาและดูไม่ค่อยพอใจจนเด็กน้อยทั้งสองกลัวเกินกว่าจะเจอหน้าเขาในเช้าวันนั้น

เบียงก้าไม่รู้ว่าการที่เธอตอบช้าทำให้ชายคนหนึ่งในคฤหาสน์ควอว์ฟอร์ดนอนไม่หลับทั้งคืนและอารมณ์แปรปวนไปมาถึงแปดสิบแบบ

“ลูกแน่ใจนะว่าไม่อยากขึ้นรถ? ก็ดีถ้าไม่ขึ้น ก็ไม่ต้องขึ้นมาอีกเลย” ลุคกลับมาดูจริงจังตามปกติและถามเด็กสองคนที่เกาะติดแน่นขณะที่เขาลงจากรถและดึงเบียงก้าเข้ามาหาเขา

เมื่อเบียงก้าถูกดึง เด็กน้อยทั้งสองที่กอดขาเธออยู่ก็ถูกดึงไปด้วย

เบียงก้าก้มศีรษะลงอย่างช่วยไม่ได้แล้วเอ่ยว่า "ก็ได้ค่ะ ขึ้นรถเถอะนะจ๊ะ หนูทั้งสองคนบอกดี ๆ ก็ได้นิว่าไม่พอใจเรื่องอะไร?"

ลุคส่ายหน้าอย่างจริงจังจากนั้นมองไปอีกด้าน แล้วก็เดินกลับเข้าไปในรถ

เบียงก้าและนั่งที่เบาะหลังของรถและดูแลเด็กน้อยสองคน

ลุคไปที่สนามหญ้าในคฤหาสน์และจอดรถสปอร์ตที่เขาขับกลับมา ถนนไปบ้านลุงของเขาต้องใช้รถวิบาก ดังนั้นเขาจึงเลือกรถเรนจ์ โรเวอร์

เบียงก้ายืนรอเขาอยู่ด้านนอกของคฤหาสน์

ลุคไม่ได้ตั้งใจให้เธอเข้าพบกับคุณปู่ แม่ ป้าซูซาน หลุยส์ และคนอื่น ๆ พร้อมกัน เพราะอาจทำให้เธอตกใจ

“คุณบีคะ ปากแดงจังเลย เหมือนโดนยุงกัดเลยค่ะ…” เรนนี่หยิบกระเป๋านักเรียนใบเล็ก ๆ ออกมาแล้วหาของบางอย่าง เธอหยิบครีมทากันยุงกล่องเล็ก ๆ ออกมาแล้วพูดว่า: "คุณบีคะ ตอนที่หนูกับพี่โดนยุงกัด พอใช้อันนี้อะ แป็บเดียวก็หายเลย”

เบียงก้าหยิบครีมขึ้นมา "..."

ลุคมองเบียงก้าจากกระจกมองหลัง

ริมฝีปากสีแดงของเธอดูอ่อนโยนและสวยงามสำหรับเขา

เบียงก้าเห็นแววตาแห่งความหื่นกระหายของชายผู้นั้นและเบือนหน้าหนีด้วยความเขินอาย

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พราวกลิ่นบุปผาตัณหารัก