คุณปู่ไขว้มือไว้ข้างหลังขณะเดินไปที่ห้องนั่งเล่น
คุณย่าถือแว่นตาสำหรับอ่านหนังสือในมือข้างหนึ่ง อีกมือหนึ่งถือกระป๋องรดน้ำ เธอกำลังรดน้ำดอกไม้ที่บานที่ขอบหน้าต่างต่อไป
ห้องนั่งเล่นมีตู้เก่าเคลือบแล็กเกอร์สีแดงและลายดอกโบตั๋นขนาดใหญ่ ใบไม้สีเขียวทุกใบที่วาดดูสมจริงมาก
เขาเปิดตู้นั้นออก
มีกองหนังสือพิมพ์อยู่ทางด้านซ้ายของตู้ คุณปู่มีนิสัยชอบสะสมหนังสือพิมพ์เก่า
ที่ด้านบนของกอง มีอัลบั้มรูปหนาเตอะ
คุณปู่หยิบอัลบั้มรูปออกมาแล้วพลิกดูทุกรูปจนพบรูปที่กวนใจเขา
ในภาพมีคนสี่คน มีคุณย่า มีตัวเขาเองในวัยหนุ่มพร้อมกับหญิงสาวอีกสามคนในวัยยี่สิบปี
ในภาพนั้น อลิสันยืนตรงกลางกับกางเกงสีแดงที่ดังมากในยุคนั้น แต่เธอเองดูไม่มีความสุขเท่าผู้หญิงอีกสองคน
ทางด้านซ้ายของอลิสันคือคุณย่าสมัยสาว ๆ
ทางขวาของอลิสันคือควินนี่ ซีเกอร์เพื่อนสนิทของเธอ เธอสวมชุดสีขาวและถักเปียแบบฝรั่งเศสสองข้างที่สลับซับซ้อน
แม้ว่าภาพถ่ายจะถ่ายเมื่อ 28 ปีที่แล้วคุณปู่รู้ดีว่าเขายังไม่แก่เกินกว่าจะจำหน้าผิดได้
หลังจากที่จ้องดูรูปอยู่นาน แต่แล้วคุณปู่ก็คิดว่าบางทีเขาอาจจะคิดมากไป
หญิงสาวที่เป็นเลขาก็คงเป็นแค่เด็กสาวคนธรรมดาคนหนึ่ง
คุณปู่ครุ่นคิดถึงเรื่องนี้มากจนไม่ทันสังเกตว่าภรรยาของเขากำลังเข้ามาในบ้านหลังรดน้ำดอกไม้เสร็จแล้ว
เมื่อคุณย่าเห็นสี่คนในรูป เธอดูโกรธเล็กน้อย เธอชี้ไปที่ควินนี่และพูดกับชายชราว่า “อ๋อ มานับดามแผลใจสมัยก่อนด้วยการดูรูปผู้หญิงคนอื่นเนี้ยนะ”
“คุณพูดบ้าอะไรเนี่ย!?” คุณปู่เก็บภาพด้วยความโกรธแล้วยัดอัลบั้มเก่ากลับเข้าไปในตู้
“ถ้าทำจริง ๆ คุณก็ควรยอมรับความจริงได้แล้วนะว่าคุณดูรูปถ่ายของคนผู้หญิงอื่นอยู่ แดเนียล แทนเนอร์ อย่าหาว่าฉันไม่ได้เตือนนะ ควินนี่เป็นภรรยาของเลขาธิการคณะกรรมการจังหวัดเชียวนะ! คุณควรละอายใจเสียบ้าง เธอบอกคุณว่าเธอไม่ชอบคุณในตอนนั้น ผู้ชายที่อายุสามสิบ ปลายๆ กล้าดียังไงมาชอบผู้หญิงที่อายุน้อยกว่าคุณตั้ง 20 ปี” คุณย่าหึงหวงมาก
ความคิดที่ว่าชายชราชอบผู้หญิงคนอื่นเมื่อตอนที่เขายังวัยรุ่นทำให้เธอโกรธ
คุณปู่ไม่อยากทะเลาะกับเธอจึงหันหลังเดินออกจากห้องนั่งเล่นไป
เป็นคนแก่ย่อมไม่นำเรื่องเล็กน้อยมาเป็นข้อโต้เถียงกันแล้ว
ควินนี่เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของอลิสันพวกเขาเติบโตขึ้นมาด้วยกันและคุณปู่ตกหลุมรักเพื่อนสนิทที่สุดของน้องสาว
แม้ว่าเธอจะไม่ตอบรับความรู้สึกรักของคุณปู่ แต่คุณปู่ก็ไม่เคยหึงหวงหรือขุ่นเคืองเลย
ควินนี่แต่งงานกับนายทหารชั้นเยี่ยมและใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ตลอดหลายปีที่ผ่านมา สามีของเธอกลายเป็นเลขาธิการคณะกรรมการจังหวัด
แดเนียลรู้สึกเสียใจเล็กน้อยต่อน้องสาวของเขา เมื่อเทียบกับเด็กผู้หญิงที่เติบโตมากับเธอ ความสัมพันธ์และชีวิตของน้องสาวของเขานั้นซับซ้อนและยากลำบากกว่ามาก
...
ณ โรงพยาบาล พาราเมาท์
ลุคขับรถพาเบียงก้าไปที่นั่น
เบียงก้าลงจากรถ ปิดประตูแล้วบอกเขาว่า "ขับรถดี ๆ นะคะ"
ลุคไม่พูดอะไรมาก เขาจ้องมองร่างผอมเพรียวของเธอที่เดินเข้าไปในโรงพยาบาลก่อนที่จะมองออกไป เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วโทรออก “ติดต่อผู้บริหารวินเชสเตอร์ของโรงพยาบาลพาราเมาท์เดี๋ยวนี้ มีผู้ป่วยมะเร็งปอดคนหนึ่งนามสกุลว่าเรย์น ผมอยากดูแลคนไข้รายนี้เป็นพิเศษ”
เมื่อเบียงก้าเข้ามาในโรงพยาบาล เธอรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
พ่อของเธอเป็นมะเร็งตับตั้งแต่เธออายุ 18 ปี แต่เมื่อเธอรู้เรื่องนี้ พ่อของเธออยู่ในโรงพยาบาลเพื่อรับการรักษาแล้ว ดังนั้นเธอจึงไม่มีประสบการณ์ในเรื่องนี้
โรงพยาบาลพาราเมาท์ใหญ่มาก และเธอต้องเวลานานที่จะเดินผ่านสถานที่ที่เป็นอาคารเก่าแก่ที่หลงเหลือจากสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่สอง ดังนั้นกำแพงด้านนอกจึงหนาและแข็งแรงมาก
เมื่อเบียงก้าไปหาพนักงานต้อนรับ พนักงานต้อนรับถามเธอว่า "สวัสดี พ่อของคุณมีนามสกุลว่า เรย์นรึเปล่าคะ?"
เบียงก้าประหลาดใจและพยักหน้า "ใช่ค่ะ"
“ได้โปรดตามฉันมาค่ะ" พนักงานต้อนรับมีทัศนคติที่ดีเยี่ยมและผายมือให้เธอ
เบียงก้าเดินตามอย่างสุขุมหลังได้รับหมายเลขรอพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
เธอรู้ดีว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นฝีมือของลุค…
นีน่าอยู่ที่โรงพยาบาลด้วย เมื่อเธอเห็นเบียงก้าเธอทักว่า "คุณลุงมาแล้วรึยัง?"
เบียงก้าส่ายหน้า
เควินบอกว่าเขาจะเดินมาที่โรงพยาบาลเองและไม่ต้องการให้เธอไปรับ
เบียงก้ารู้ว่าพ่อกลัวเจนนิเฟอร์และลูกสาวจะสร้างความวุ่นวายให้กับเบียงก้า
“อย่าเศร้าไปเลยนะ ไม่อย่างนั้นฉันจะรู้สึกเศร้าไปด้วยอีกคน สิ่งที่เรากระทำลงไปไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตคนคนหนึ่งได้หรอก” นีน่าไม่รู้วิธีที่จะทำให้เบียงก้ารู้สึกดีขึ้น
เมื่อห้าปีก่อน พ่อของเบียงก้าต้องทรมานจากโรคมะเร็งตับ และตอนนี้เขาเป็นมะเร็งปอดอีก นี่เป็นอีกเรื่องที่น่ากลัวสำหรับเบียงก้า มันราวกับว่ามีภูเขาน้ำแข็งก่อตัวขึ้นอีกหนึ่งชั้นในใจเธอ
แม้ว่าครั้งนี้จะหนักหนา แต่นี่ไม่ได้ถึงขั้นทำให้เบียงก้าแข็งจนตาย
เบียงก้าเรียนรู้ที่จะรักษาความอบอุ่นนั้นเอาไว้และมีชีวิตอยู่
เมื่อประมาณสิบโมงเควินโทรมา
“บี พ่อจะไปถึงโรงพยาบาลตอนบ่ายโมงนะ พอ่ไม่เป็นไรหรอก ลูกกลับไปทำงานก่อนดีไหม?”
เบียงก้ากังวลว่าพ่อของเธอจะไม่ยอมมาและเอ่ยว่า "หนูรออยู่ที่โรงพยาบาลค่ะ หนูจะไม่จากไปจนกว่าพ่อจะมาที่นี่ค่ะ"
เควินกล่าวว่า “พ่อไปแน่นอน แต่พ่อต้องจัดการบางอย่างก่อน”
นีน่าเอียงศีรษะชิดกับโทรศัพท์และได้ยินทุกอย่าง เมื่อเบียงก้าวางสาย เธอพูดว่า “ออกไปหาอะไรดื่มข้างนอกกันเถอะ เราอยู่ที่นี่รอคุณลุงก็ได้ น่าจะดีกว่าถ้าเราได้รับอากาศบริสุทธิ์แทนที่จะติดอยู่ในโรงพยาบาลนี้เนอะ”
"ตามนั้นเลย" เบียงก้าลงไปชั้นล่างกับเธอ
ลิฟต์ในโรงพยาบาลเนืองแน่นไปด้วยผู้คนอยู่ตลอด ดังนั้น เบียงก้าและนีน่าจึงเดินลงบันไดแทน
เมื่อพวกเขาไปถึงบันไดที่ชั้นสามเบียงก้าเห็นคนสองคนยืนอยู่หน้าหน้าต่าง คนหนึ่งคือมาลีที่ดูเศร้าสร้อยและอีกคนคือแอนนาที่ดูประหม่า
“แม่? ทำไมแม่ถึงมาที่นี่?”
นีน่าประหลาดใจ
เมื่อมาลีเห็นเบียงก้า เธอเดินจากไปที่แผนกสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยาโดยไม่พูดอะไรสักคำ
แอนนาจ้องมองลูกสาวตนและเบียงก้าซึ่งเป็นอริ เธอหันกลับมาคว้าแขนของมาลีขณะที่เธอขอร้อง “โอ้ มาลี เธออย่าโกรธเด็กคนนี้เลยนะ เด็กคนนี้ก็เป็นเลือดเนื้อของตระกูลแลงดอนของเรา...”
เมื่อนีน่าได้ยินเช่นนั้น แววตาเห็นความโกรธเกรียวก็ฉายแววออกมา เธอบอกกับเบียงก้าว่า "ไปก่อนเลย เดี๋ยวตามไป"
เบียงก้าพยักหน้า นับตั้งแต่การเลิกรากัน เรื่องราวในครอบครัวแลงดอนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเธออีกต่อไป
เธอไม่ต้องการที่จะมีส่วนร่วม ดังนั้นเธอเดินล่วงหน้าไปก่อนและไปรอนีน่าอยู่ด้านหน้า
มาลีพูดกับแอนนาทั้งน้ำตาว่า “ป้าแอนนาคะ ไม่ใช่ว่าหนูไม่อยากมีลูก แต่ฌองไม่อยากให้ใครรู้ว่าเป็นลูกของเขา เขาคิดว่าเด็กคนนี้เป็นภัยต่อคนอื่นมากเกินไป ”
เห็นได้ชัดว่า 'คนอื่น' หมายถึงเบียงก้า
เบียงก้ารู้สึกราวกับว่าชื่อเสียงของเธอถูกทำให้มัวหมองต่อหน้าเธอ
ในเวลาเดียวกัน ดวงตาของมาลีจับจ้องเบียงก้าที่กำลังรอคอยนีน่าอย่างเศร้าสร้อย
แอนนาเข้าใจในทันทีและเงยหน้าขึ้น "มาลี ลูกชายของป้าโง่เกินไป เขาถูกผู้หญิงที่ดูบริสุทธิ์หลอกเอา ป้ารู้สึกเสียใจแทนเขามาก เธอสองคนเป็นเด็กดี! น่าเศร้าจัง!"
“มันก็ขึ้นอยู่กับหนูแล้วแหละจ้ะว่าจะเลือกทางไหน? ลูกชายป้าจะรู้สึกแย่ขนาดที่จะไม่ยอมรับเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองได้เลยเหรอ? นางนั่นเป็นผู้หญิงไร้ยางอายที่ทำให้ลูกชายป้าอับอาย มันดำเนินชีวิตต่อไปเหมือนกับว่ามันไม่ได้ทำอะไรผิดได้ยังไง? คนที่ควรละอายคือมันไม่ใช่หนูนะ!”
เบียงก้าได้ยินทุกอย่าง ท้ายที่สุด แอนนาก็ตะโกนเสียงดังมาก
มีผู้คนมากมายเข้าแถวรอที่โรงพยาบาลข้างบันได พวกเขากำลังดูละครทั้งหมดที่เกิดขึ้นและซุบซิบเกี่ยวกับเรื่องนี้
นีน่ามองดูแม่ที่ชราและสับสนของตนและมาลีซึ่งเล่นละครเป็นหญิงสาวผู้ตกทุกข์ได้ยาก เธอง้างมือขวาขึ้นมาตบเข้าที่แก้มซ้ายของมาลีอย่างแรง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พราวกลิ่นบุปผาตัณหารัก