เบียงก้าถือชามและตะเกียบไว้ในมือ เธอมองดูลุคที่นั่งอยู่ตรงข้าม เขามีดวงตาที่เศร้าลงเล็กน้อย
ลุคอาจเกลียดฌองมากก็เป็นได้ แต่ในตอนคุณปู่กลับเรียกเขาว่าฌอง แต่ถึงแม้ว่าเขาจะรู้สึกแย่ เขาก็ไม่ได้แสดงความโกรธเคืองใด ๆ ออกมา
"คุณปู่ คุณก็ทานด้วยสิ" ลุคไม่ได้ตำหนิเขา และก็รอให้ชายชราทานก่อน
หลังจากที่ลุคหยิบอาหารให้คุณปู่ เขาก็หยิบซี่โครงหมูสองชิ้นให้เบียงก้า
"ขอบคุณนะ" เบียงก้าใช้ตะเกียบคีบข้าวในถ้วยและหลบสายตาเขา เธอรับประทานข้าวเล็กน้อยก่อนจะกัดซี่โครงที่เขาหยิบให้เธอ
เบียงก้าสังเกตเห็นว่า ซี่โครงที่ลุคหยิบให้คุณปู่กับเธอนั้น เป็นชิ้นเล็ก ๆ ที่มีกระดูกเพียงชิ้นเดียวแต่มีเนื้อเยอะและทานได้ง่าย
แต่เขากลับหยิบซี่โครงที่มีกระดูกชิ้นใหญ่ให้ตัวเอง
เมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ไม่ได้เจริญนัก ดังนั้น ซี่โครงที่ถูกจำหน่ายที่นี่ จึงเป็นซี่โครงที่มีกระดูกเยอะ
เบียงก้าหยิบซี่โครงที่มีเนื้อเยอะชิ้นหนึ่งใส่ลงในชามของเขา “คุณเองก็ทานเยอะ ๆ ไม่ต้องตักให้ฉันกับคุณปู่หรอก”
"ผมยังไม่หิว"
จากนั้น ชายคนนั้นก็หยิบซี่โครงใส่กลับเข้าไปในชามของเธออีกครั้ง
คุณปู่ให้ความสนใจกับรายละเอียดของฉากตรงหน้า มันแสดงให้เห็นว่าเขาทั้งสองคนเข้ากันได้ดีและเขาก็รู้สึกประทับใจ
ชายชรามีอายุราว ๆ 70 ปี แล้ว ดังนั้น เขาจึงได้เห็นผู้คนมามากมายในชีวิต ไม่ว่าเจตนาของหลานเขยของเขาจะเป็นของจริงหรือของปลอม เขาก็สามารถมองทะลุผ่านลุคได้อย่างชัดเจน
“ฉันเลี้ยงบีมาด้วยมือของฉันเอง หลานต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก ต้องกินแต่ขนมปังและน้ำ เสื้อผ้าที่ใส่ก็เป็นเสื้อผ้ามือสองที่เด็ก ๆ คนอื่นไม่ต้องการและบริจาคมาให้เรา ในตอนนั้นพ่อของหลานต้องไปทำงานอยู่ที่อื่น ส่วนแม่ก็ไม่เคยมาหาเธอเลยหลังจากที่คลอดบีออกมาแล้ว บีมีชีวิตที่ยากลำบาก แต่ก็ยังก้าวข้ามสิ่งเหล่านั้นมาได้ เมื่อฉันนึกถึงเรื่องราวนี้ทีไรฉันก็อดตำหนิตัวเองไม่ได้..."
เมื่อเขาเอ่ยถึงเรื่องนี้ น้ำตาเริ่มก่อตัวในดวงตาเมื่อเรื่องราวในอดีตอันไม่น่าอภิรมย์ผ่านเข้ามาในความคิด
“หลานสาวที่คุณเลี้ยงมานั้น ฉลาดกว่าลูกสาวที่ถูกเลี้ยงดูโดยครอบครัวที่ร่ำรวยเสียอีก อย่าโทษตัวเองเลยนะครับ” ลุคมองเบียงก้าในขณะที่พูดกับคุณปู่
“ทานข้าวกันต่อเถอะ เราอย่าพูดถึงมันอีกเลย อีกอย่าง ชีวิตของฉันก็ดีขึ้นแล้ว…” เบียงก้ารู้ดีว่าทำไมคุณปู่ถึงโทษตัวเอง แต่มันไม่ใช่ความผิดของคุณปู่เลยหรือแม้แต่พ่อ เพราะคนที่ผิดก็คือผู้หญิงคนที่ทิ้งเธอไปนับตั้งแต่วินาทีแรกที่เธอเกิด
คุณปู่ก็แก่ชราและอ่อนแอลง แต่เมื่อมองหลานเขย สายตาของเขายังคงเฉียบแหลมเช่นเดิม เขาพยายามหว่านล้อมพ่อหลานเขยคนนี้ “ในแวบแรกนะ ทั้งการแต่งตัวและรถของพ่อหนุ่มที่จอดอยู่ข้างนอกนั้นทำให้ฉันเป็นกังวลมาก ฉันกลัวว่าคุณจะไม่จริงใจและทำให้บีหลานสาวที่รักของฉันต้องเสียใจ แต่ดูเหมือนว่าตาแก่คนนี้จะเข้าใจคุณผิดไป”
ลุคตอบชายชราอย่างอ่อนโยน “คุณปู่อาจคิดเป็นอื่นก็ได้นะครับ แต่ผมเกรงว่าคุณอาจจะต้องเป็นกังวลจริง ๆ ผมเกรงว่าผมจะทำผิดต่อเธอจนทำให้เธอพยายามหนีการแต่งงานไป”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ชายชราก็พูดอย่างเคร่งขรึมว่า “ถ้าหากว่าบีคิดที่จะหนีการแต่งงานและทำให้คุณผิดหวังล่ะก็ ฉันเองนี่แหละที่เข้าไปในเมืองและหักขาหลานสาวตัวเองด้วยมือคู่นี้!”
เบียงก้า "..."
หลังจากวุ่นวายมาทั้งวัน เบียงก้าก็ไปส่งลุคที่โรงแรมที่อยู่ในตัวเมืองในตอนเย็น
เบียงก้าต้องการที่จะบอกเขาว่า โรงแรมในตัวเมืองนั้น สิ่งอำนวยความสะดวกค่อนข้างมีจำกัด แต่เมื่อเธอตระหนักได้ว่าเขาเคยพักอยู่ในเมืองมาเป็นเวลาหนึ่งปี ดังนั้นเธอจึงไม่พูดอะไร
ทั้งสองเดินไปที่รถแรงจ์โรเวอร์สีดำของลุคที่จอดอยู่หน้าบ้าน
เบียงก้ามองมาที่เขาและพูดว่า “ฉันขอโทษที่ปล่อยให้คุณปู่เรียกคุณว่าฌอง ถ้าฉันบอกเขาว่าคุณไม่ใช่ฌอง คุณปู่จะต้องสอบสวนเราอย่างแน่นอน และถึงแม้ว่าเราจะจัดการเรื่องนี้ได้ แต่ฉันก็แน่ใจว่าเขาจะลบเรื่องนี้ออกไปจากหัวไม่ได้จนทำให้นอนไม่หลับแน่นอน”
“ไม่เป็นไร ตราบใดที่คุณปู่เห็นว่าผมเป็นหลานเขย แค่นั้นก็พอ” ดวงตาสีดำสนิทของลุคจับจ้องไปที่เบียงก้า ดวงตาของเขากำลังแสดงความเป็นเจ้าของอย่างลึกซึ้ง
ในระหว่างทาง ร้านค้าแห่งหนึ่งที่พวกเขาผ่านมายังคงเปิดอยู่
เบียงก้าจึงเข้าไปถามเจ้าของร้านผู้หญิงว่า "คุณมีที่ชาร์จโทรศัพท์ขายไหมคะ?"
เจ้าของร้านมองดูใบหน้าของพวกเขาด้วยท่าทางแปลก ๆ เมื่อดูจากการแต่งตัวแล้ว เธอจึงรู้ว่าพวกเขามาจากเมืองใหญ่ เธอถามด้วยความสงสัยว่า “โทรศัพท์รุ่นไหนเหรอ? ขอฉันดูหน่อยสิ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พราวกลิ่นบุปผาตัณหารัก