พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 134

สองปีก่อนเซียวปี้เฉิงกับเซียวอวี้จือโดนลอบทำร้ายที่ชายแดน

เวลานั้นพวกเขาพาผู้ใต้บังคับบัญชาและทหารที่รอดตายซ่อนตัวอยู่ในหมู่บ้านร้างที่ทรุดโทรมแห่งหนึ่งเพื่อรอการช่วยเหลือ ชาวเผ่าทูเจวียก็ตรงเข้ามาเผาทั้งหมู่บ้านทิ้ง

เวลานั้นกำลังเสริมมาถึงแล้ว แต่ไม่พบเยียนอ๋องเลย ไฟไหม้ลุกลามใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ หนำซ้ำในหมู่บ้านยังมีพิษควันจากพวกเผ่าทูเจวีย เหล่าขุนพลจึงตัดสินใจยกเลิกการค้นหาและช่วยเหลือ ก่อนล่าถอยอย่างรวดเร็ว

เป็นเซียวปี้เฉิงผู้ที่ไม่ยอมจำนน ค้นบ้านหลังแล้วหลังเล่าท่ามกลางกองไฟ สุดท้ายก็แบกเยียนอ๋องที่เป็นลมหมดสติเพราะโดนพิษเย็นในกองเพลิงลุกโชนออกมา

เกิดเสาหักและซากปรักหักพังถล่มลงมา เป็นเซียวปี้เฉิงใช้ร่างกายทำเป็นเกราะป้องกัน หาไม่แล้วเยียนอ๋องคงไม่แคล้วถูกกระแทกจนขาหักเพียงเท่านี้หรอก

เยียนอ๋องรอดชีวิต ส่วนเซียวปี้เฉิงถูกกระแทกที่ศีรษะ ดวงตาถูกพิษควันรมนานเกินไป หลังจากตื่นขึ้นก็มองไม่เห็นเสียแล้ว

“ทั้งที่พี่สามช่วยข้าไว้ชัดๆ แต่เสด็จแม่มักจะโทษพี่สามที่ทำให้ข้าต้องพิการ สาเหตุที่นางทำเช่นนี้ ข้ารู้แก่ใจดีมาตลอด”

เยียนอ๋องทอดสายตาไปทางอวิ๋นหลิงด้วยรอยยิ้มเจือแววขมขื่น

“ที่จริงสมัยยังเด็ก พี่สามฉลาดปราดเปรื่องและขยันหมั่นเพียรกว่าพวกเราหลายคนนัก ราชบัณฑิตใหญ่ชมเชยเขาเสมอ แรกๆ เสด็จแม่ก็ดีพระทัยมาก แต่แล้วก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป”

หวงกุ้ยเฟยยังคงขอให้เขาร่ำเรียนหนักขึ้นกว่าเดิม ทว่ากลับห้ามเขาไม่ให้เป็นฝ่ายเริ่มตอบคำถามที่ราชบัณฑิตใหญ่ตั้งขึ้น

“ถ้าพี่สามเขียนบทความอะไรแล้วราชบัณฑิตยกย่อง เสด็จแม่จะซ่อนไว้ไม่ให้เสด็จพ่อเห็น บางครั้งพี่สามเสนอความคิดเห็นที่แปลกใหม่ เสด็จแม่จะหันไปทูลเสด็จพ่อว่า นั่นหม่อมฉันเสนอเอง”

“เสด็จพ่อค่อยๆ เลิกสนใจพี่สาม รู้สึกว่าเขาธรรมดาและไม่โดดเด่น ต่อมาเสด็จปู่ทรงเห็นว่าพี่สามมีแวววิชายุทธ์ ต้องการสอนวิชาทวนให้เขาด้วยตนเอง เสด็จแม่ก็กระทำการโจ่งแจ้งมากขึ้น ถึงกับเรียกพี่สามให้มาเขียนบทความแทนข้า”

เล่าถึงตรงนี้ สีหน้าละอายใจของเยียนอ๋องก็ฉายแววแดงฉานขึ้นหลายส่วน

“ตอนนั้นข้ายังเล็กและติดเล่น ไม่เข้าใจสาเหตุที่เสด็จแม่ทำเช่นนี้ แค่รู้สึกว่าการมีพี่สามมาช่วยเขียนบทความแทนข้า ข้าก็สามารถไปเล่นที่สวนหลวงได้”

เขาติดหนี้บุญคุณพี่สามมากทีเดียว

“พอโตมาก็ค่อยรู้ว่า เสด็จแม่มักเก็บงำเรื่องดีๆ ที่พี่สามทำไว้ แล้วเปลี่ยนใส่ชื่อข้าลงไป พอเข้าใจสาเหตุข้าก็ละอายใจ แต่พี่สามกลับไม่ใส่ใจ”

“พี่สามเป็นคนเฉลียวฉลาดยิ่งนัก แต่จริงๆ แล้ว…เขาไม่เคยมีความทะเยอทะยานใดๆ เลย เขาบอกว่าสิ่งที่อยากทำที่สุดคือเป็นวีรบุรุษผู้มีจิตใจอันเด็ดเดี่ยวแน่วแน่อย่างพระเจ้าหลวง ดังนั้นในปีที่อายุครบสิบห้า เขาจึงตามแม่ทัพใหญ่ไปชายแดน”

ห้าปีต่อมา เขาเติบโตอย่างรวดเร็ว ถือกำเนิดขึ้นราวกับดาวดวงใหม่ที่เปล่งประกายพร่าตา ผู้สั่นสะเทือนแคว้นต้าโจว จนมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทั้งสี่แว่นแคว้นของดินแดนจงหยวน

เมื่อเห็นจักรพรรดิจาวเหรินและพระเจ้าหลวงมองเขาด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป หวงกุ้ยเฟยก็เริ่มร้อนใจขึ้นมา

อวิ๋นหลิงทำท่าครุ่นคิดพลางพยักหน้า “สถานที่ที่อันตรายอย่างชายแดน หวงกุ้ยเฟยก็ยังยินดีส่งเจ้าไปสมรภูมิรบ สันนิษฐานว่าคงมีจุดประสงค์เดียวกันกระมัง”

เยียนอ๋องเองก็ไม่กระดากอายเช่นกัน ได้แต่พยักหน้าเงียบๆ

เสด็จแม่ไม่ต้องการให้พี่สามเป็นที่จับตามองมากนัก จึงบังคับให้เขาไปชายแดน เหมือนกับเลียนแบบวิธีเดิมๆ คือให้พี่สามยกความดีความชอบในการศึกให้แก่เขา

เวลานั้นเยียนอ๋องไม่ใช่เด็กอีกแล้ว เขาไม่ได้ตั้งใจจะทำเช่นนี้ ทว่าก็รับปากไปชายแดน เพียงแต่ทนการควบคุมที่แข็งกร้าวของหวงกุ้ยเฟยไม่ไหว

เขาไม่สนใจบัลลังก์ ในใจเขากระจ่างแจ้งดี ว่าตัวเองมีศักยภาพแค่ไหน

ใครจะไปรู้ว่าเพิ่งไปที่นั่นเพียงสองเดือนก็เกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นเสียแล้ว

สายตาเยียนอ๋องฉายความผิดหวัง “ตอนแรกเสด็จแม่ไม่เป็นแบบนี้ นางสอนให้ข้าและพี่สามรักเคารพให้เกียรติกัน...”

อวิ๋นหลิงพยักหน้า นางเชื่อว่าหวงกุ้ยเฟยได้ปฏิบัติต่อเซียวปี้เฉิงอย่างจริงใจตั้งแต่แรก

หากผู้เป็นมารดาไม่ได้ตั้งใจสั่งสอนให้สองพี่น้องรักเคารพให้เกียรติกัน เช่นนั้นเซียวปี้เฉิงและเยียนอ๋องคงไม่มีทางสร้างมิตรภาพที่ลึกซึ้งเช่นนี้ได้

แต่น่าเสียดายที่หัวใจคนเราเปลี่ยนแปลงได้ ยิ่งอยู่ในสถานที่อย่างวังหลังนี้ด้วยแล้ว ใครกันจะรักษาความตั้งใจเดิมไว้ได้

เยียนอ๋องสูดน้ำมูก กล่าวอย่างขัดเขิน “ข้าขอโทษ วันนี้พูดเหลวไหลกับอาซ้อสามไปเยอะทีเดียว”

“ไม่เป็นไร มีเวลาว่างก็มาเล่าวีรกรรมวัยเด็กของเจ้าบอดให้ข้าฟังอีกก็ได้”

เมื่อก่อนตอนไม่ชอบ นางก็ไม่สนหรือใส่ใจ แต่พอรักเข้าแล้วกลับเป็นคนละเรื่องกันเลย นางจึงอยากรู้ทุกอย่างที่เกี่ยวกับอีกฝ่าย

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ