พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 799

แม้จะดูใจแคบ แต่หลังจากที่อวิ๋นหลิงรู้ว่าจักรพรรดิจาวเหรินก็หน้าผากบวมขึ้นมา ปฏิกิริยาแรกคืออดไม่ได้ที่จะหลุดเสียงหัวเราะออกมา

นอกจากพระเจ้าหลวงแล้ว ที่สุดก็นับว่ามีคนที่สองที่สามารถบีบให้เขายอมแพ้ได้แล้ว

เป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกว่านิสัยดื้อรั้นก้าวร้าวของพระสนมหลี่มีความน่ารักอยู่สองส่วน

เยี่ยนอ๋องเอ่ยด้วยสีหน้าเป็นทุกข์ว่า “พี่สะใภ้สามอย่าเอาแต่เห็นเป็นเรื่องสนุกเลย หลังจากนี้หากเสด็จพ่อจะลงโทษเสด็จแม่ เช่นนั้นต้องแย่แน่ เสด็จแม่ลงมือตีเสด็จพ่อด้วยอารมณ์ชั่ววูบเป็นความผิดของนาง แต่ข้าไม่อยากจะให้เสด็จแม่ถูกลงโทษจริงๆ......”

เมื่อครู่ที่จักรพรรดิจาวเหรินรีบร้อนไปจากตำหนักเว่ยยาง นั่นเป็นเพราะเขาสู้พระสนมหลี่ไม่ได้ เกรงว่าถ้าอยู่ต่อจะเป็นที่หัวเราะเยาะของเหล่านางกำนัล จึงได้หนีออกไปอย่างทุลักทุเลภายใต้การคุ้มครองจากเยี่ยนอ๋อง

พระสนมหลี่ถึงกับลงมือตีเขา ไม่แน่ว่าใจเขาอาจจะโกรธมาก ถึงแม้จะลดขั้นพระสนมหลี่ ก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องตามครรลองคลองธรรม

เซียวปี้เฉิงที่อยู่ข้างๆพูดเสริมขึ้นมาว่า “ดังนั้นอวี้จือจึงอยากจะขอยาแก้ฟกช้ำระงับปวดกับเจ้า เอาไปให้เสด็จพ่อด้วยตนเอง จะได้ทำให้เขาหายโกรธ”

บอกว่าจะทำให้หายโกรธ แท้ที่จริงแล้วคือไปเป็นที่ระบายให้กับจักรพรรดิจาวเหริน ใช้ความว่านอนสอนง่ายทำให้เรื่องมันผ่านพ้นไป

เยี่ยนอ๋องเอ่ยอย่างอัดอั้นว่า “ข้าจะยอมรับผิดอย่างเต็มใจ ขอเพียงเสด็จพ่อไม่ลงโทษเสด็จแม่ เขาจะตีจะด่าข้าก็ยอมทั้งสิ้น”

เซียวปี้เฉิงเอ่ยปากปลอบใจเขา “อย่าเพิ่งเป็นกังวล จากความเข้าใจของข้าที่มีต่อเสด็จพ่อในหลายปีมานี้ แม้เขาจะลำเอียงอย่างร้ายกาจ แต่ก็ไม่เลอะเลือนจนถึงขั้นแยกแยะสนิทห่างเหินไม่ได้ ครั้งนี้ที่ทะเลาะกันถึงขั้นนี้ เพราะระหว่างพวกเจ้ามีความเข้าใจผิดกันอยู่”

ตอนที่เยี่ยนอ๋องสั่งสอนโม่อี้ซือ ก็แค่ตำหนินางไปไม่กี่คำ ให้สาวน้อยอย่างนางอย่าโลภมากไม่รู้จักพอ แต่ไม่ได้บอกถึงที่มาของอัญมณีสีแดงให้กับโม่อี้ซือและองค์หญิงอี๋อันรู้

ขันทีที่ไปรายงานจักรพรรดิจาวเหริน ย่อมไม่รู้เหตุผลที่แฝงอยู่ภายใน

“ในสายตาของเสด็จพ่อ โม่อี้ซือเอ่ยปากของเครื่องประดับเก่าเอง ให้น้องสะใภ้สี่สวมเครื่องประดับใหม่ นั่นเป็นการแสดงถึงการรู้ความและเอาใจใส่ น้องสะใภ้สี่ไม่อยากจะเอาสิ่งของที่ให้ไปแล้วกลับคืนมา ย่อมถือว่าโม่อี้ซือโลภมากไม่ได้ ดังนั้นหลังจากที่รู้ว่าเจ้าตำหนินาง จึงได้โกรธมาก”

หลังจากเยี่ยนอ๋องได้ยินเช่นนั้น ในใจก็รู้สึกดีขึ้นมาก

แม้ว่าพระสนมหลี่กับเซียวปี้เฉิงจะอยู่ร่วมกันอย่างไม่ค่อยมีความสุข แต่เขาก็เชื่อฟังคำพูดของพี่สามเสมอมา

“พี่สาม......เสด็จพ่อมักจะปฏิบัติต่อพวกเราพี่น้องเช่นนี้ ท่านสามารถมีความคิดเช่นนี้ด้วยจิตใจที่สงบได้อย่างไร ถ้าเป็นข้าคงจะรู้สึกโกรธมาก สามเดือนก็ไม่อยากจะพูดกับเสด็จพ่อแม้แต่คำเดียว”

ในมุมมองของเยี่ยนอ๋อง ในบรรดาลูกๆมากมายของจักรพรรดิจาวเหริน นอกจากองค์หญิงอี๋อันแล้ว ที่เขาติดค้างมากที่สุดก็คือเซียวปี้เฉิง

จักรพรรดิจาวเหรินรู้สึกผิดต่อองค์หญิงอี๋อัน โม่อ๋อง องค์ชายหกในระดับที่แตกต่างกัน หลังจากเสี่ยวเฟิงตาย มีการใช้การกระทำในการชดเชยพวกเขา

แม้ลูกชายอย่างเสียนอ๋องจะกระทำความผิดฐานกบฏ ด้วยความรู้สึกผิดที่มีในใจ เขาเลือกที่จะรักษาชีวิตของอีกฝ่ายเอาไว้ ไม่ได้เนรเทศให้เขาไปอยู่ชายแดน

มีเพียงเซียวปี้เฉิงที่แตกต่าง

เพียงเพราะว่าเขาเป็นรัชทายาท จักรพรรดิจาวเหรินย่อมคิดว่าที่ชดเชยให้เขานั้นยิ่งใหญ่มากแล้ว สามารถลบล้างทุกสิ่งที่เขาเคยละเลยและลำเอียงไปได้

เขารู้สึกแม้กระทั่งว่าที่เซียวปี้เฉิงได้รับนั้นมากเกินไปแล้ว จนทำให้คนอื่นๆน้อยใจ สองสามีภรรยาควรจะมีเอื้อเฟื้อต่อคนอื่นด้วยจิตใจที่สำนึกบุญคุณ

อีกฝ่ายทำไมจึงไม่ย้อนคิดดูบ้าง ภาพเหตุการณ์ตอนที่เซียวปี้เฉิงหมอบอยู่ตรงหน้าประตูห้องตำรายืนกรานจะไม่รับตำแหน่งรัชทายาท

ถ้าหากอวิ๋นหลิงนิสัยหุนหันพลันแล่นอีกนิด ยืนกรานในความคิดที่จะจากไปอีกสักหน่อย เกรงว่าเขาเองก็คงไม่อยู่ที่นี่เช่นกัน

เยี่ยนอ๋องเอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “บางทีข้าก็คิดไม่ตกจริงๆ พี่รองเคียดแค้นเสด็จพ่อถึงเพียงนั้น กระทั่งเกือบจะทำลายแผ่นดินต้าโจวไปแล้ว กลับยังได้รับความรู้สึกผิดและเสียใจจากเขา พี่สามทำตามประสงค์ของเสด็จพ่อมาตั้งแต่เด็ก ทำสงครามชายแดนจนเกือบจะเอาชีวิตไม่รอดตั้งหลายครั้งหลายหน กลับถูกตำหนิอยู่เสมอ”

ต้องรู้ว่า ความดีความชอบด้านการทหารของเซียวปี้เฉิงนั้นใช้ชีวิตแลกมา ตอนแรกที่เขาตาบอดจนกลายเป็นคนไร้ประโยชน์ ไม่เคยได้รับการปฏิบัติด้วยความลำเอียงดั่งเช่นองค์หญิงอี๋อันในตอนนี้เลย

เซียวปี้เฉิงได้ยินอย่างนั้นก็อดใจไม่ไหว ตบที่ไหล่ของเยี่ยนอ๋องหลายที

“เสด็จปู่ หลานไม่กตัญญูและทำผิด ทำให้เสด็จพ่อทรงพิโรธ ยังปะทะคารมกับพระองค์ ทำให้เสด็จพ่อกับเสด็จแม่ต้องทะเลาะจนทำร้ายกัน หลานมีโทษหนักสมควรตาย”

ในห้องบรรทม ตาแก่น้อยกำลังนอนกลางวันอย่างมีความสุข ส่งเสียงกรนไม่หยุด

ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงร้องตะโกนดังลั่นจนหลังคาตำหนักแทบทะลุ ทำเอาตกใจสะดุ้งโหยง ความง่วงหายไปเป็นปลิดทิ้ง

ไม่นานนัก เขาสวมรองเท้าแตะสลับข้างที่อวิ๋นหลิงเป็นคนออกแบบให้ เดินออกมาจากตำหนักบรรทมอย่างโมโห

“กลางวันเสกๆเช่นนี้ เจ้าไม่มีอะไรทำหรืออย่างไรจึงได้มาเอะอะโวยวายที่นี่ ไม่รู้หรืออย่างไรว่าข้าหัวใจไม่ดี ทนเรื่องตกใจไม่ได้”

เยี่ยนอ๋องตัวสั่นด้วยสัญชาตญาณ ยังคงแสดงต่อไปตามที่อวิ๋นหลิงสั่งไว้ “หลานผิดไปแล้ว แต่ที่หลานมาพบเสด็จปู่เพราะมีเรื่องสำคัญ......”

หลังจากนั้น เยี่ยนอ๋องก็ลุกขึ้นมาพุ่งตัวเข้าไปคว้าแขนเสื้อของพระเจ้าหลวงเอาไว้ เล่าที่ไปที่มาของเรื่องราวให้เขาฟังอย่างรวดเร็ว

“เพราะเครื่องประดับของเหยาเหยาเป็นของที่ใส่ในวันแต่งงาน หลานรู้สึกว่ามีความหมายไม่ธรรมดาเก็บไว้เองจะดีที่สุด ทนไม่ไหวจึงพูดจารุนแรงไปหน่อย ตอนนี้ข้าก็รู้ตัวว่าผิดไปแล้ว เหยาเหยาไม่ใส่ใจ ข้ายิ่งไม่ควรถือสาเอาเรื่องกับเด็กผู้หญิงเพียงคนเดียว”

“เพียงแต่เสด็จพ่อไม่รู้เรื่องนี้ เข้าใจผิดคิดว่าแม้แต่เครื่องประดับชุดเดียวก็มอบให้นางไม่ได้ ช่างใจแคบไม่สมกับเป็นสุภาพบุรุษ จึงได้ไปพูดเรื่องนี้กับเสด็จแม่จนทะเลาะกันและแยกย้ายกันอย่างไม่ดีนัก หลานรู้ตัวว่าผิดแล้ว แต่เสด็จพ่อยังทรงกริ้วอยู่ เกรงว่าไปพบเขาตอนนี้จะยิ่งทำให้กริ้วหนักเข้าไปอีก จึงมาขออภัยจากเสด็จปู่ จะลงโทษอย่างไรก็ได้”

พระเจ้าหลวงหรี่ตาลง ฟังจบแล้วไม่พูดจาสักคำ จากนั้นก็ดึงเอาไม้ขนไก่ที่เหน็บอยู่ทางด้านหลังของเยี่ยนอ๋องออกมา

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นเจ้าก็กลับหลังหันซะ”

เยี่ยนอ๋องตกตะลึง “หา......”

เสด็จปู่รักเขาที่สุดเสมอมา บอกว่าท่าทีตอนเขาซุกซนเหมือนกับพระเจ้าหลวงสมัยหนุ่มๆ ทำไมจึงจะตีจริงๆเล่า

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ