พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 796

อวิ๋นหลิงฟังนางอธิบายจนจบ พยักหน้าอย่างเข้าใจ

“เสด็จพี่โปรดวางใจ ข้าย่อมไม่ถือสาเด็กคนหนึ่งเป็นแน่”

องค์หญิงอี๋อันโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง “เมื่อครู่เห็นเจ้าถามเพียงประโยคเดียวก็ไม่พูดอะไรอีก ข้าคิดว่าเจ้าโมโหเสียอีก น้องสะใภ้สามเป็นคนใจกว้าง เป็นข้าที่คาดเดาอย่างไม่ยุติธรรม”

อวิ๋นหลิงได้ยินก็ยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ รู้สึกแค่ว่าองค์หญิงอี๋อันช่างอ่อนไหวมาก

แค่เพราะนางไม่พูดจา ก็ไล่โม่อี้ซือออกไป อธิบายเหตุผลให้นางฟังโดยเฉพาะ

แต่จากมุมมองที่ได้ปฏิสัมพันธ์กัน องค์หญิงอี๋อันเป็นคนที่มีนิสัยเรียบง่าย เป็นหญิงที่มีมารยาอะไร

แต่เมื่อเอ่ยย้อนกลับไป ถ้าหากอีกฝ่ายมีมารยา ก็คงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้แล้ว

ไม่นานนัก โม่อี้ซือก็พานางกำนัลไปเอาอุปกรณ์เครื่องเขียนมา หลังจากฝนหมึกเสร็จแล้ว ก็แสดงฝีมือในการเขียนบทกลอน《เถาเยา》ต่อหน้าอวิ๋นหลิงอย่างจริงจัง

ลายมือสวยและตัวเล็ก แม้จะเป็นอวิ๋นหลิงที่เข้าใจเรื่องการเขียนพู่กันจีน ก็รู้สึกชื่นชอบมาก

นางพยักหน้าเงียบๆ ในเมื่อเขียนกลอน《เถาเยา》ออกมาได้โดยไม่ต้องดู เห็นทีคงเหมือนคุณหนูในตระกูลผู้ดีทั่วไป ผ่านการเล่าเรียนหนังสือทั้งสี่และคัมภีร์ทั้งห้ามาอย่างจริงจัง

หลังจากที่เอ่ยชมโม่อี้ซือไปสองสามคำ อวิ๋นหลิงก็ครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงอบอุ่นว่า “เสด็จพี่ ตลอดทางที่ท่านเดินทางกลับเมืองหลวง คิดว่าคงเคยได้ยินชื่อสำนักศึกษาชิงอี้แล้ว ที่นั่นเป็นสำนักศึกษาที่ข้ากับปี้เฉิงร่วมกันสร้างขึ้นมา และรับนักเรียนหญิงด้วย ถ้าหากสอบผ่าน ภายหน้าก็จะมีโอกาสได้เป็นขุนนางหญิงในราชสำนัก”

“เพียงแต่อายุขั้นต่ำที่สำนักศึกษารับสมัครนักเรียนนั้นคือสิบหกปี อี้ซือเพิ่งจะครบสิบห้า ยังไม่เข้าเงื่อนไขการรับสมัคร ถ้าหากอยากจะเรียนจริงๆ สามารถศึกษาดีๆสักสองสามปื ถึงตอนนั้นค่อยไปสอบก็ยังไม่สาย”

อวิ๋นหลิงประเมินโม่อี้ซือในใจบนพื้นฐานของความเป็นจริง รู้สึกแค่ว่าความรู้ของสาวน้อยที่มีในตอนนี้ เกรงว่าจะไม่ถึงเกณฑ์ที่สำนักศึกษาชิงอี้กำหนดเอาไว้

ไม่ได้ด้อยที่ความสามารถด้านวรรณกรรม แต่ด้อยที่ความคิดและอารมณ์

กระทั่งอีกฝ่ายอาจจะไม่ยินดีในการสมัครสอบเข้าสำนักศึกษาชิงอี้ด้วยซ้ำ

ถ้าหากโม่อี้ซือและองค์หญิงอี๋อันไม่อาจรับความหวังดีนี้ไว้ได้ อวิ๋นหลิงย่อมไม่บังคับ ถ้าหากสองแม่ลูกเปลี่ยนแปลงความคิดในอีกหลายปีต่อมา นางก็ยังคงยินดีเสมอ

แต่ไม่ว่าอย่างไร นางได้ยื่นโอกาสให้กับอีกฝ่ายแล้ว จักรพรรดิจาวเหรินจะหาเรื่องนางไม่ได้

ได้ยินคำพูดประโยคนี้ องค์หญิงอี๋อันกับโม่อี้ซือต่างก็นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ใบหน้ากลับไม่ได้มีแววยินดีแต่อย่างใด

โม่อี้ซือมองไปทางอวิ๋นหลิงด้วยสายตาประหลาดใจอีกครั้ง

หลายเดือนก่อนตอนที่ยังอยู่ในจวนอ๋องไหวเซียง เรื่องที่นางได้ยินมากที่สุดคือเรื่องที่เกี่ยวกับสำนักศึกษาชิงอี้ ตอนนั้นชื่อเสียงของสำนักศึกษาชิงอี้ได้แพร่กระจายไปไกลถึงเซียวโจวแล้ว

อ๋องไหวเซียงดูถูกเรื่องนี้มาก และด่าอวิ๋นหลิงว่าเป็น”ผู้ที่มีความคิดแตกต่าง”จากจารีตประเพณี ถ้านางไม่ใช่เทพธิดาจุติดั่งในข่าวลือ ควรจะถูกลงโทษด้วยการถูกไฟเผาจึงจะถูกต้อง

ยังเอาเรื่องต่างๆของนางมาเป็นบทเรียนสั่งสอนในเชิงลบ สอนผู้หญิงทุกคนในตระกูลโม่ว่าการกระทำเหล่านั้นมันน่าอาย

เซียวโจวอยู่ใกล้กับแคว้นถังใต้ ตั้งแต่โบราณก็ไปมาหาสู่กับแคว้นถังใต้มากกว่า ความคิดก็ได้รับผลกระทบจากทางนั้น ค่อนข้างจะให้ความสำคัญกับผู้ชายมากกว่าผู้หญิง

ดังนั้นคนที่เห็นด้วยกับอ๋องไหวเซียงจึงมีจำนวนมาก คนที่สนับสนุนอวิ๋นหลิงย่อมน้อยกว่าเมืองหลวงมาก

โม่อี้ซือกลับรู้สึกว่า การที่บอกว่าอวิ๋นหลิงเป็น”ผู้ที่มีความคิดแตกต่าง”จากจารีตประเพณีเป็นคำพูดที่รุนแรงอยู่บ้าง เพราะการมีสำนักศึกษาชิงอี้อยู่เป็นเรื่องที่ดี ให้ความหวังกับเหล่าลูกศิษย์ยากจนในใต้หล้านี้ได้ไม่น้อย

แต่นางก็ไม่เห็นด้วยกับวิธีการของอวิ๋นหลิง แม้ว่าความตั้งใจเดิมในการก่อตั้งสถานศึกษาจะดีก็ตาม แต่เรื่องเช่นนี้ควรให้ผู้ชายเป็นคนออกหน้ามาทำ

แต่อีกฝ่ายไม่เพียงแต่จะทำแล้ว ยังได้รับคำชื่นชมสรรเสริญมากมาย

ในมุมมองของโม่อี้ซือ อวิ๋นหลิงควรจะมอบความดีความชอบให้กับสามีและบิดารวมไปถึงพี่ชายจึงจะถูกต้อง

ตอนที่ถูกล็อก

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ