เด็กที่ต้องพึ่งพาอาศัยผู้อื่นมักจะอ่อนไหวในปมด้อยของตัวเองได้ง่าย ที่โม่อี้ซือมีลักษณะเป็นคนมีความคิดคับแคบ อวิ๋นหลิงไม่ได้รู้สึกประหลาดใจสักนิด
เติบโตขึ้นมาโดยมีองค์หญิงอี๋อันเป็นแม่บุญธรรม และต้องพึ่งพาผู้ชายอย่างอ๋องไหวเซียงที่มีความเชื่อว่าผู้ชายเป็นใหญ่ ถ้าอีกฝ่ายมีบุคลิกสง่าผ่าเผยคงเป็นเรื่องที่พบเห็นได้ยากมาก
แต่การศึกษาจะทำให้คนเข้าใจหลักเหตุผลอย่างแจ่มชัด เด็กคนนี้ยังมีโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงและเติบโตได้
อวิ๋นหลิงคิดเช่นนี้ ยิ้มบางๆพลางเรียกให้โม่อี้ซือมานั่งลงข้างๆ พลางกินข้าวพลางถามนางว่า
“ตอนที่อยู่เมืองเซียวเคยได้เรียนหรือไม่ แล้วเคยเรียนอะไรมาบ้าง”
โม่อี้ซือที่เพิ่งจะคีบเกี๊ยวกุ้งชิ้นหนึ่งขึ้นมา ได้ยินเช่นนั้นก็นิ่งอึ้งไป สีหน้ามีแววประหลาดใจเล็กน้อย
นางรู้สึกสับสนในใจอยู่บ้าง เป็นถึงพระชายาแห่งแคว้นต้าโจว ทำไมแม้แต่ธรรมเนียมที่ว่าเวลากินไม่พูด เวลานอนไม่คุยก็ไม่รู้หรืออย่างไร
แม้ว่าอีกฝ่ายจะมีรูปโฉมงดงาม กระทั่งเป็นหญิงสาวที่มีหน้าตาสวยที่สุดเท่าที่นางเคยพบเจอมา แต่กิริยาในการกินข้าวนั้นไม่สุภาพเรียบร้อยเอาเสียเลย
เกี๊ยวกุ้งนั้นมีขนาดใหญ่เท่าผลส้มจี๊ด ต้องแบ่งกินสามคำจึงจะกินหมด อีกฝ่ายกลับกินคำละหนึ่งชิ้น......เพียงพริบตาเดียวก็กินเข้าไปถึงสามชิ้นแล้ว
เห็นโม่อี้ซือนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ ไม่ยอมพูดอะไรออกมา อวิ๋นหลิงเอาว่านางคงจะเหนียมอาย
“เจ้าไม่ต้องตื่นเต้น ที่นี่พวกเราไม่ได้เคร่งครัดเรื่องระเบียบมากนัก พูดจาไม่จำเป็นต้องกังวล”
องค์หญิงอี๋อันช่วยลูกสาวคลี่คลายสถานการณ์ในเวลาที่เหมาะสม “น้องสะใภ้สาม ซือซือเป็นเด็กที่มีนิสัยเก็บตัวขี้กลัวตั้งแต่เล็ก ทำให้เจ้าเห็นเป็นเรื่องขบขันแล้ว เมื่อก่อนตอนที่นางอยู่จวนไหวเซียง เคยไปศึกษาในโรงเรียนเอกชนกับพี่น้องในจวนห้าปี 《หนังสือทั้งสี่》สำหรับสตรีล้วนเคยเรียนมาอย่างละเอียดแล้ว อีกทั้งยังเรียนได้ดีกว่าคนอื่นๆด้วย”
พูดถึงตรงนี้ ใบหน้าที่สุภาพอ่อนน้อมถ่อมตนของนาง ก็เผยรอยยิ้มแห่งความภาคภูมิใจออกมาอย่างอดไม่ได้
“ไม่เพียงเท่านี้ ซือซือยังประสบความสำเร็จในการเรียนพิณหมากล้อมตำราและการวาดภาพ งานเย็บปักถักร้อยก็มีพรสวรรค์ไม่ธรรมดา เป็นหญิงสาวที่โดดเด่นที่สุดในจวนอ๋อง”
อวิ๋นหลิงได้ยินดังนั้น ยิ้มพลางเอ่ยชื่นชมอย่างเป็นทางการว่า “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง เป็นเด็กดีที่ฉลาดและขยันจริงๆ”
ถึงว่าเวลากินข้าวทำไมจึงไม่พูดจา เพราะให้ความสำคัญกับเรื่องกฎระเบียบและมารยาท
หนังสือทั้งสี่ที่องค์หญิงอี๋อันพูดถึงนั้น ได้แก่ 《บัญญัติสำหรับสตรี》 《ระเบียบสำหรับสตรี》 《หลุนอี่ว์สำหรับสตรี》และ《บันทึกสตรีต้นแบบ》ซึ่งเป็นชื่อเรียกโดยรวมของหนังสือทั้งสี่เล่มนี้
อวิ๋นหลิงคุ้นเคยกับเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้มาก ไม่ใช่เพราะว่านางเคยร่ำเรียน แต่ก่อนหน้านี้ตอนที่เขียนแบบเรียนวิชาอุดมคติ เคยค้นคว้าเนื้อหาในหนังสือเหล่านี้เป็นการเฉพาะ
《บัญญัติสำหรับสตรี》กล่าวถึงตำนาน”หลักสี่คุณธรรมสามคล้อยตาม” ส่วน《ระเบียบสำหรับสตรี》กล่าวถึงคำสอนเรื่องศีลธรรมในยุคศักดินา เช่นเรื่องคุณธรรมจริยธรรม การระมัดระวังคำพูดและการกระทำ และยังมีวิถีแห่งการปฏิบัติตนต่อพ่อแม่ ต่อพ่อแม่สามี และญาติเป็นต้น
《หลุนอี่ว์สำหรับสตรี》และ《บันทึกสตรีต้นแบบ》 อธิบายถึงเรื่องต้นแบบของการเป็นแม่ที่ดีและมีความจงรักภักดีต่อสามีเป็นต้น
ตอนที่เขียนแบบเรียนนั้น นอกจากความคิดเห็นเชิงบวกบางส่วนที่ใช้เตือนสติผู้คนจะถูกนำมาใช้ในบทเรียนแล้ว บทความส่วนใหญ่ที่เหลือ ล้วนถูกนางนำมาใช้เป็นแบบเรียนเชิงลบให้กับนักเรียนในสำนักศึกษาชิงอี้
เดิมทีอวิ๋นหลิงยังมีเรื่องอยากจะพูดคุยกับสองแม่ลูกองค์หญิงอี๋อัน ตอนนี้ไม่อยากจะให้หญิงสาวลำบากใจ จึงไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรอีก
ไม่ช้าบนโต๊ะอาหารก็เหลือแค่เสียงกินข้าว
อวิ๋นหลิงสังเกตเห็นว่า ไม่ว่าโม่อี้ซือจะกินอะไรก็กินคำเล็กมาก เสี่ยวหลงเปาลูกเดียวกัดไปเจ็ดแปดคำยังเหลืออีกตั้งหนึ่งครึ่ง
ตอนที่กินโจ๊ก อีกฝ่ายก็ไม่ส่งเสียงอะไรออกมาเลยแม้แต่น้อย กินกี่ช้อนก็ต้องหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดเบาๆกี่ครั้ง
ท่าทีชดช้อยสง่างามมาก แต่อวิ๋นหลิงมองแล้วรู้สึกเหนื่อยใจมาก ปกติสามารถกินโจ๊กได้สองถ้วย วันนี้แค่ถ้วยเดียวก็อิ่มแล้ว
“เจ้าค่ะ”
โม่อี้ซือสะกดกลั้นอารมณ์ที่ตื่นเต้นเกินไปเอาไว้ ย่อตัวคำนับก่อนถอยออกไป
หลังจากที่ไล่โม่อี้ซือออกไปแล้ว องค์หญิงอี๋อันหันไปยิ้มพลางขอโทษอวิ๋นหลิง
“ขอบคุณความห่วงใยและการดูแลของน้องสะใภ้ที่มีต่อซือซือ เมื่อครู่ที่นางไม่ยอมพูดตอนกินข้าว เป็นการเสียมารยาทมาก ขอน้องสะใภ้อย่างถือสา นางไม่ได้เจตนาทำเช่นนั้น เป็นเพราะตอนที่จวนอ๋องสามีได้ตั้งกฎระเบียบไว้เคร่งครัดมากเกินไป ถ้าหากนางกล้าพูดบนโต๊ะอาหาร โทษเบาคือให้อดอาหาร โทษหนักคือถูกตีด้วยไม้บรรทัด ซือซือจึงไม่กล้าตอบคำถามของเจ้า”
อวิ๋นหลิงเลิกคิ้วและพูดว่า “อ๋องไหวเซียงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ขนาดนั้นเชียว”
องค์หญิงอี๋อันพยักหน้าอย่างขมขื่น “แม้แต่ข้าเองก็เคยถูกเขาตำหนิมาไม่น้อย ตอนนี้กลับมาถึงวังหลวงแล้ว เมื่อครู่ยากมากที่จะได้มีอิสระบ้าง จึงทำให้รู้สึกไม่ค่อยคุ้นเคย”
ราชวงศ์เซียวไม่ได้มีพิธีหยุมหยิมอะไรมากมาย เพราะพระเจ้าหลวงเป็นวีรบุรุษที่มีชาติกำเนิดจากชาวนา
อย่าว่าแต่พูดคุยกันระหว่างกินข้าวหรือเข้านอนเลย เขาทำแม้กระทั่งการผายลมด้วยซ้ำไป
ชนรุ่นหลังที่เขาอบรมสั่งสอน การใช้ชีวิตปกตินั้นนับว่าค่อนข้างง่ายและไม่เป็นทางการ
ตอนที่องค์หญิงอี๋อันยังเด็ก เหล่าอาจารย์มักจะสั่งสอนมารยาทเรื่อง”เวลากินไม่พูดเวลานอนไม่คุย”ตามความเคยชิน แต่ถึงแม้ทุกคนจะไม่ทำตามอย่างเคร่งครัด ก็ไม่มีใครกล้าว่าอะไร
แต่ตระกูลโม่ไม่เหมือนกัน บรรพบุรุษของตระกูลโม่นั้นร่ำรวย ตระกูลใหญ่กฎระเบียบเยอะ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้สามีตำหนินางอยู่บ่อยๆ
ตอนที่สั่งสอนนาง บางครั้งยังวิพากษ์วิจารณ์ถึงการมีอำนาจขึ้นมาอย่างพรวดพราดของราชวงศ์เซียว คำพูดไม่น่าฟังสักเท่าไหร่
เพื่อให้ตระกูลสามีพอใจ หลังจากนั้นองค์หญิงอี๋อันก็ค่อยๆระมัดระวังและสภาพมากขึ้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ
เติมเหรียญอย่างไร...
วิธีเติมเหรียญตรงไหนอย่างไร...
จะมีอัพต่อจนจบไหมค่ะแอด...
นึกว่าจะอัพจนจบเสียอีกค่ะ กำลังสนุกเข้มข้นเชียว...
รบกวนแอดช่วยอับต่อไปให้จบเรื่องได้ไหมคะ รออ่านอยู่น้า...
ตอนต่อไปอ่านที่ไหนคะ...
ตอนต่อไป อัพช่วงไหนคะ 😭😭😭...
อัพต่อเถอะนะคะ...กำลังสนุกเลยค่ะ😅😄😊😘...
สนุกมากค่ะ..เดินเรื่องเร็ว..พระเอกไม่โง่..นางเอกฟาดแรงสะใจ...อ่านแล้วบันเทิงมาก55555......
ขอบคุณค่ะ...