ท่ามกลางความสับสนทางความคิด รอยยิ้มบนใบหน้าของอวิ๋นหลิงก็ยังคงไม่เปลี่ยน นางถามด้วยความแปลกใจ "กงจื่อหว่านเป็นนามเดิมของเสด็จแม่อย่างงั้นหรือ? เป็นแซ่ที่แปลกประหลาดนัก ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน"
ลี่ผินอธิบายพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย "ที่จริงมันไม่ใช่แซ่หรอก แต่เป็นนามของรุ่น แต่จะถือว่าเป็นแซ่ทายาทสายตรงของสำนักทิงเสวี่ยก็ย่อมได้"
"บรรพบุรุษของข้า หรือก็คือเจ้าสำนักรุ่นแรกของสำนักทิงเสวี่ย นางเป็นหญิงกำพร้า มีแต่ชื่อไม่มีแซ่ และเนื่องจากมีคุณูปการต่อบ้านเมืองอย่างใหญ่หลวง จึงได้รับการแต่งตั้งจากองค์ปฐมฮ่องเต้แห่งหนานถัง ให้อยู่ในฐานะกงเจวี๋ย และหวังว่านางจะได้สมรสกับองค์ชายซักองค์หนึ่ง หลังจากนั้นก็ใช้แซ่ของราชวงศ์แทน"
"แต่หลังจากนางได้ช่วยเหลือองค์ชายซึ่งเป็นคนรักให้ได้ขึ้นครองราชย์แล้ว สองฝ่ายกลับกลายเป็นศัตรูกัน นั่นย่อมหมายความว่าไม่อาจใช้แซ่ตามสามีได้ สุดท้ายจึงใช้คำว่ากงจื่อมาแทนแซ่ของตัวเอง"
หลังจากอวิ๋นหลิงฟังคำอธิบายแล้ว จึงได้กระจ่างแจ้งขึ้น
ฐานะกงเจวี๋ยได้มีการแบ่งเป็น "กง โหว ป๋อ จื่อ และหนาน" และกงคือตำแหน่งอันสูงสุด เมื่อเป็นทายาทของกง ก็ย่อมมีสิทธิ์ใช้สรรพนาม "กงจื่อ" เป็นชื่อแทนของตน
หรือยกตัวอย่างเช่นหรงจั้น เขาเป็นลูกชายของเจิ้นกั๋วกง แต่ถ้าจะเรียกเขาว่า "กงจื่อจั้น" ก็อาจพอกล้อมแกล้มได้บ้าง แต่คนทั่วไปจะไม่เรียกเขาด้วยชื่อเช่นนั้น
ลี่ผินเห็นท่าทางนางเหมือนจะเข้าใจ จึงกล่าวยิ้มแย้มต่อ "บรรพบุรุษของข้าอยู่มาชั่วชีวิตไม่เคยมีแซ่ใด ๆ และไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ด้วย จดหมายที่เขียนให้คนรุ่นหลังก็มีเพียงว่า ทิงเสวี่ยก็คือทิงเสวี่ย ชั่วชีวิตของนางไม่เคยต้องอาศัยชื่อแซ่ของผู้ใด"
เจ้าสำนักรุ่นแรกมีนามว่า "ทิงเสวี่ย" สำนักทิงเสวี่จึงมาจากชื่อของนางนี่เอง
"สิ่งที่สำนักทิงเสวี่ยสืบทอดมาก็คือศักดิ์ศรีและอุดมการณ์ ทายาทสายตรงไม่สนว่าบิดาจะเป็นใคร ก็ให้เอาแซ่กงจื่อเป็นแซ่ของตนทั้งสิ้น เพื่อแสดงถึงความเป็นทายาทรุ่นหลังของสำนักทิงเสวี่ย"
และนี่ก็คือที่มาของแซ่ "กงจื่อ" นั่นเอง
จักรพรรดิจาวเหรินและคนอื่น ๆ พอฟังถึงตรงนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะเกิดความเลื่อมใสต่อบุคคลในประวัติศาสตร์ผู้นี้เป็นอย่างมาก
ถ้านางถือกำเนิดเป็นเชื้อพระวงศ์ ไม่แน่อาจได้เป็นถึงฮ่องเต้หญิง
เซียวปี้เฉิงรวบรวมตั้งสติกลับมา อดไม่ได้ที่จะสบตากับอวิ๋นหลิงโดยไม่ตั้งใจ พลางคิดไปถึง "กงจื่อโยว" ผู้แปลกประหลาดคนนั้น
แต่เพื่อไม่ให้เกิดความหวาดวิตกจนเกินไป ทั้งคู่ต่างรู้ใจและไม่พูดถึงเรื่องของกงจื่อโยวอีก
หลังอิ่มจากมื้ออาหารค่ำ สองสามีภรรยาก็ดับเทียนไฟ ซุกตัวลงในผ้าห่มพลางพูดคุยเบา ๆ
"ดูจากรูปการ กงจื่อโยวน่าจะเป็นคนของสำนักทิงเสวี่ยอย่างแน่นอน"
เซียวปี้เฉิงพยักหน้าเห็นด้วย "อากาศเดือนสี่แท้ ๆ ยังใส่เสื้อผ้าหนาอยู่ แสดงว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับพิษเย็นที่สืบทอดมา มิน่าครั้งแรกที่เจอเขา เราต่างรู้สึกว่ากงจื่อโยวมีความคล้ายกับเสด็จแม่ลี่ผินอยู่ไม่น้อย"
ตอนนี้ทุกอย่างเหมือนจะเริ่มเข้าเค้า เบาะแสต่าง ๆ ล้วนแสดงให้เห็นว่า กงจื่อโยวกับลี่ผินมีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนไม่ธรรมดา
"แต่ทำไมจู่ ๆ พวกเขามาอยู่ที่เมืองหลวงต้าโจว ซ้ำยังมุ่งมาที่โรงหมอของเราอีก?" อวิ๋นหลิงรู้สึกไม่สบายใจนัก "ท่านว่าเขาจะมาเพราะพี่ฉิงหรือเปล่า จึงแกล้งมาตีสนิทกับเราน่ะ?"
เซียวปี้เฉิสีหน้าเคร่งขรึม "มีความเป็นไปได้มาก แต่ก็อาจมาเพราะพระสนมลี่ผิน"
ในวันที่เกิดกบฎในวัง พระสนมได้ใช้ขนนกยูงเพื่อป้องกันตัว ถูกคนที่รู้เบื้องหลังพบเห็นเงื่อนงำก็เป็นได้
อวิ๋นหลิงเป็นห่วงความปลอดภัยของหลิวฉิง จึงเกิดความกังวล พลิกไปพลิกมานอนอย่างไรก็ไม่หลับ
"ไม่ว่าจุดประสงค์ของกงจื่อโยวจะเป็นเช่นไร แต่มั่นใจได้ข้อหนึ่งก็คือเขาไม่ได้มาดี ไว้พรุ่งนี้เช้าเราจะรีบกลับจวน แล้วเอาข่าวนี้ไปบอกให้พี่ฉิงได้รู้"
อันตรายที่มองไม่เห็นกำลังจะคืบคลานเข้ามา นางต้องเตรียมความพร้อมให้มากที่สุด เพื่อความไม่ประมาท
เซียวปี้เฉิงรู้สึกถึงความกระสับกระส่ายของอวิ๋นหลิง จึงได้โอบตัวนางเข้าสู่อ้อมอกอันอบอุ่นของเขา
"อย่าห่วงมากไปเลย ข้าจะไม่ให้พวกนางมีอันตราย"
อวิ๋นหลิงพยักหน้าเบา ๆ กล่าวเสียงทุ้มต่ำ "กว่าจะได้เจอพี่ฉิงอีกครั้งก็แสนยาก ข้าจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายนางเป็นอันขาด"
กล่าวจบ สายตานางก็เกิดประกายแห่งความคมกริบ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ
จะมีอัพต่อจนจบไหมค่ะแอด...
นึกว่าจะอัพจนจบเสียอีกค่ะ กำลังสนุกเข้มข้นเชียว...
รบกวนแอดช่วยอับต่อไปให้จบเรื่องได้ไหมคะ รออ่านอยู่น้า...
ตอนต่อไปอ่านที่ไหนคะ...
ตอนต่อไป อัพช่วงไหนคะ 😭😭😭...
อัพต่อเถอะนะคะ...กำลังสนุกเลยค่ะ😅😄😊😘...
สนุกมากค่ะ..เดินเรื่องเร็ว..พระเอกไม่โง่..นางเอกฟาดแรงสะใจ...อ่านแล้วบันเทิงมาก55555......
ขอบคุณค่ะ...
รีบมาต่อนะคะ กำลังสนุกเลย...
ขอบคุณน้าค้า ที่ลงทุกวันเลยสนุกมากค่ะ...