ภรรยานำโชคของเสนาบดี นิยาย บท 1

ในช่วงปี ค.ศ.1888 ใต้หล้าทุกหนทุกแห่งประสบภัยแล้งครั้งใหญ่ เพาะปลูกที่นาแต่ละเม็ดล้วนไร้ผลผลิตเก็บเกี่ยว บรรดาชาวบ้านต่างพากันขายลูกๆกิน ซูจิ่วเย่ว์ก็ถูกขายไปในช่วงนี้นี่เอง

ภายในบ้านที่เก่าและผุพังมีเพียงหลุมดินและโต๊ะไม้ที่มองไม่ออกว่าสีแต่เดิมคือสีอะไรหนึ่งตัว นางจัง แม่ของเธอกุมมือเธอไว้พร้อมน้ำตาที่ไหลพรากไม่หยุด แต่กลับไม่มีคำพูดรั้งทิ้งท้ายใดใดเลยจนถึงท้ายที่สุด

ซูจิ่วเย่ว์ถอนหายใจออกมา ความหวังเพียงเล็กน้อยภายในใจดับสิ้นไปอย่างสิ้นเชิง

เธอรู้ดีว่าน้องสาว 2 คน และ น้องชาย 1 คนในครอบครัวอาจจะตายเพราะความหิวโหยอดอยากหากไม่ขายเธอในเวลานี้

แต่ถึงกระนั้นเธอก็ยังคงรู้สึกจุกในอกดั่งมีอุปสรรคในใจที่ไม่สามารถข้ามไปได้

เธอแบกห่อผ้าของตัวเองขึ้น ภายในบรรจุเสื้อคลุมหนึ่งผืน แม้กระทั่งแผ่นขนมปังผักภายในบ้านยังไม่ใส่ลงไปให้เธอเลย

“ข้าไปแล้วนะ” ดูภายนอกเหมือนเธอยังนิ่ง

“เสี่ยวจิ่ว ลูกไปถึงที่นั่นแล้วต้องกลับมาเยี่ยมบ่อยๆด้วยนะ” พ่อของเธอนั่งยองที่หน้าประตู นิ่งเงียบสักพักใหญ่ เมื่อเห็นเธอเดินออกมาถึงได้เงยหน้าขึ้นมองเธอ แล้วพูดกำชับหนึ่งประโยค

“อิม” ซูจิ่วเย่ว์ตอบรับเบาๆ

ที่จริงทุกคนในครอบครัวล้วนรู้ดีแก่ใจ เธอไปเป็นเจ้าสาวเด็กอายุน้อยให้บ้านคนอื่น ครอบครัวนั้นห่างจากหมู่บ้านของพวกเขาระยะภูเขาสองลูก จะกลับมาตามใจได้อย่างไรกัน?

“ดูพวกเจ้าสิ นี่ทำอะไรกันอยู่?! ยัยหนูจิ่วแต่งออกไปสบายนะ! บ้านนั้นมีฐานะ ห้องใต้ดินเต็มไปด้วยสิ่งของมากมาย มีของกินตลอดปีก็ถือว่าดีแล้ว มิใช่ลาจากกันชั่วชีวิตเสียหน่อย ท่าทีอะไรกันนี่?” แม่สื่อพูดพร้อมยิ้มหัวเราะลั่น ตัดจบใบหน้าเศร้าสร้อยของครอบครัวนี้

ซูต้าหนิวได้ยินคำพูดนี้แล้ว ความละอายใจก็ลดลงไปมาก เขาลุกขึ้นยืนและพูดกับแม่สื่อว่า “พูดไว้ว่าหนึ่งพันเหรียญ เจ้าอย่าได้หลอกข้าเชียว”

แม่สื่อนำตะกร้าใบเล็กที่คล้องไว้บนบ่าตลอดทางยื่นให้เขา “เนี้ย! อยู่ในนี้ทั้งหมด! หนึ่งพันเหรียญพร้อมกับแป้งข้าวสาลี 2.5 กิโลกรัม อ้อ ใช่แล้ว ยังมีไข่ไก่ 20 ฟองด้วย”

พูดถึงตรงนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าเธอก็ยิ่งกว้างขึ้น “ถ้าข้าพูดละก็ ยัยหนูจิ่วของพวกเจ้าได้คนที่ซื่อสัตย์มีเมตตาใจกว้าง บ้านอื่นบอกว่าจะให้เงินเท่าใดก็เท่านั้นแหละ ขี้งกจนแทบจะลดค่าสินสอดลงเล็กน้อยก็เอา ไงยังจะให้เพิ่ม? ทางนั้นบอกมา พวกเจ้าเลี้ยงลูกสาวคนโตก็ไม่ง่ายเลย ไข่เหล่านี้ก็ไว้ให้น้องสาวและน้องชายของเธอเถอะ”

ซูต้าหนิวถือตะกร้าที่หนักไว้ ชายที่ใบหน้าผ่านร้อนผ่านหนาวมาโชกโชนถึงได้ปรากฏรอยยิ้มเกรงอกเกรงใจออกมา

“สะใภ้ตระกูลหลี่ ครั้งนี้ต้องขอบพระคุณท่านแล้ว!”

แม่สื่อหลี่ฉีกยิ้มงามดั่งดอกเก๊กฮวย “ก็เป็นเพราะลูกสาวบ้านเจ้าหน้าตาดี! ไม่งั้นในปีที่ภัยแล้งอดอยากแบบนี้ใครจะยินยอมเพิ่มสมาชิกครอบครัวไปอีกหนึ่งล่ะ?”

ขณะที่พูด สายตาของเธอก็มองไปยังร่างของสาวน้อยที่ยืนอยู่ภายในลานบ้าน

เนื่องจากอายุอานามยังไม่เป็นสาวสะพรั่ง รูปร่างจึงยังผอมบางไปบ้าง แต่ก็มองมายากว่ายัยหนูนี่หน้าตาดีและมีชีวิตชีวา เมื่อโตแล้วต้องเป็นสาวงามคนหนึ่งแน่ เสื้อที่สวมใส่ปะแล้วปะเย็บแล้วเย็บอีก แต่กลับดูสะอาดสะอ้าน

เธอแอบถอดถอนหายใจภายในใจ และพูดในใจว่าน่าเสียดายแล้ว……

“ยัยหนูจิ่ว สิ่งของเก็บเรียบร้อยแล้วหรือไม่?”

ซูจิ่วเย่ว์พยักหน้า แม่สื่อหลี่มองยังห่อผ้าในมือเธอ “งั้นโขกหัวแสดงความกตัญญูให้พ่อแม่เจ้าแล้วพวกเราก็ควรจะเดินทางต่อ”

นางจังตามออกมาจากในบ้านเช่นกัน และได้มายืนอยู่ข้างหลังของซูต้าหนิวในขณะนี้

ซูจิ่วเย่ว์คุกเข่าลงไม่พูดจาแล้วโขกหัวเคารพสามครั้งด้วยความจริงใจ

นางจังดึงชายเสื้อชายของตน น้ำตาไหลอาบแก้ม คิ้วขมวดกันเป็นก้อน

กำลังมองดูซูจิ่วเย่ว์ลุกขึ้น เธอถึงได้เดินออกมาจากด้านหลังของสามี แล้วเปิดปากเรียกขึ้นมา “จิ่วเย่ว์……”

ซูจิ่วเย่ว์กัดริมฝีปากล่าง ราวกับตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้ว แบกห่อผ้าของตัวเองแล้ววิ่งออกจากบ้านไปทันที

ทว่าครอบครัวของฝ่ายสามีของเธอกลับแซ่อู๋ รุ่นปู่ของเขาอพยพหนีภัยจากภายนอกมายังที่นี่ ภายหลังก็ตั้งถิ่นฐานที่นี่

บ้านตระกูลอู๋ตั้งอยู่บนพื้นดินที่เรียบเป็นฐาน ซูจิ่วเย่ว์ปีนขึ้นตามแม่สื่อหลี่ไป ถึงได้เห็นประตูของบ้านนี้

ลูกหลานของบ้านตระกูลซูมากมายค่อนข้างแน่นขนัด ลานบ้านก็ใช้เพียงรั้วที่ทำขึ้นง่ายๆล้อมเอาไว้

แต่บ้านตระกูลอู๋กลับต่างออกไป ลานบ้านใช้อิฐแดงก่อล้อมไว้เป็นกำแพง ประตูไม้ที่แน่นและแข็งแรงสองบาน มองดูก็รู้ว่าเป็นครอบครัวที่มีฐานะ

ในส่วนนี้แม่สื่อหลี่ไม่ได้พูดปดเลย

เมื่อเห็นว่าในที่สุดก็มาถึงแล้ว ใบหน้าแม่สื่อหลี่ก็ยินดีปรีดา เดินหน้าไปเคาะสลักประตูทันที

“น้องสะใภ้ตระกูลอู๋! เปิดประตูหน่อย! ลูกสะใภ้บ้านเจ้า ข้าพามาให้แล้ว!”

ปีนี้ซูจิ่วเย่ว์อายุ 13 ปีแล้ว อายุ 14-15 ปีในหมู่บ้านของเธอก็สามารถคุยเรื่องการแต่งงานอย่างเป็นทางการได้แล้ว ในวัยเธอก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะวาดฝัน แต่เธอแม้แต่ฝันก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่า เวลาพลบค่ำในวันหนึ่งที่แต่งออกไปโดยที่ไร้ญาติและคนในครอบครัวมาส่ง และไม่มีคนตระกูลสามีมาต้อนรับเช่นนี้

เวลาผ่านไปไม่นาน เสียงที่ดังมาจากด้านในก็ตอบรับ “มาแล้ว! มาแล้ว!”

จากนั้นชั่วครู่ประตูก็เกิดเสียงเอี๊ยดขึ้นเพราะถูกคนเปิดออก หลังประตูก็ปรากฏใบหน้าผู้หญิงคนหนึ่ง

ใบหน้าของเธอดั่งจันทราเต็มดวง มีไฝตรงระหว่างคิ้ว ดูแล้วเหมือนเป็นคนที่น่าคบหา

ซูจิ่วเย่ว์มองไปแล้วก็รีบก้มหน้าลงอย่างเร็วเหมือนกวางน้อยที่ได้รับความตกใจในเวลาที่หลิวซุ่ยฮวามองมา

หลิวซุ่ยฮวารู้ทันทีว่า เด็กสาวคนนี้คงจะเป็นสะใภ้อายุน้อยคนนั้นของบ้านเธอ?

เธอยิ้มให้แม่สื่อหลี่แล้วกล่าวขึ้นว่า “น้องสาวคนดี ลำบากเจ้าเดินทางมาที่นี่แล้ว มาเถอะ พวกเราเข้าไปในบ้านดื่มชากันก่อน คงเหนื่อยมากแล้วสินะ?”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ภรรยานำโชคของเสนาบดี