ภรรยานำโชคของเสนาบดี นิยาย บท 10

คราวนี้สีหน้าของอู๋ซีหยวนถึงได้กลับมาดูสดใสอีกครั้ง เขาจูงมือซูจิ่วเย่ว์และเดินเข้าบ้านไปด้วยกันอย่างมีความสุข

จนกระทั่งเข้าไปถึงข้างในบ้านแล้ว เขาก็ยังไม่ยอมปล่อยมือของซูจิ่วเย่ว์

ตอนนี้ซูจิ่วเย่ว์เริ่มเคยชินกับการถูกเขาจูงมือไปเสียแล้ว มือของเขาเคยจับแต่ปากกาเขียนบทความ มันจึงแตกต่างจากมือของคนอื่นที่ทำการเกษตรมาทั้งชีวิต มือทั้งขาวสะอาดและอ่อนนุ่ม จับแล้วรู้สึกสบายดีจัง

หลิวซุ่ยฮวามองดูทั้งคู่จับมือกันไปอย่างกะหนุงกะหนิง รอยยิ้มปรากฏขึ้นในแววตาของเขา “จริงๆ แล้วก็ไม่มีอะไรมากหรอก เดิมทีวันนี้เป็นวันที่เธอต้องกลับบ้าน เธออาจจะต้องกลับเองนะ แม่เตรียมของบางอย่างไว้ให้แล้ว เธอเอากลับไปฝากบ้านพ่อแม่ของเธอด้วยหล่ะ”

ซูจิ่วเย่ว์ตอบรับเบาๆ อันที่จริงแล้วเธอเองคาดไม่ถึงเลยว่าเธอจะได้กลับบ้านเร็วขนาดนี้ เธอคิดด้วยซ้ำว่าตัวเองถูกขายทิ้ง มันไม่เหมือนกับการแต่งงานทั่วๆ ไปด้วยซ้ำ แต่คาดไม่ถึงจริงๆ ว่าตระกูลอู๋จะดีกับเธอมากมายถึงเพียงนี้

“ฉันกลับเองได้ค่ะ”

ทันทีที่พูดคำนั้นออกไปก็รู้สึกได้ว่ามือของตัวเองถูกจับจนแน่นขึ้นกว่าเดิม ผู้ชายที่อยู่ข้างกายเขารีบพูดขึ้นว่า “เธอจะไปไหนหน่ะ? ไม่ได้นะ เธอเป็นภรรยาของฉัน ฉันไม่ให้เธอไปไหนทั้งนั้น!”

หลิวซุ่ยฮวาพยายามอธิบายเหตุผลให้เขาฟัง “ภรรยาของเธอต้องกลับไปเยี่ยมบ้าน บ่ายๆ ก็กลับมาแล้ว เธออย่าไปกวนเขาหน่อยเลย”

อู๋ซีหยวนเม้มปาก สีหน้าดื้อรั้น “ถ้างั้นฉันก็จะไปด้วย!”

หลิวซุ่ยฮวาเองไม่รู้จะทำยังไงต่อไปดี “เอ่อ…”

เธอหันไปมองซูจิ่วเย่ว์ อู๋ซีหยวนก็หันไปมองซูจิ่วเย่ว์ด้วยเช่นกัน

ซูจิ่วเย่ว์ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็พยักหน้าตอบตกลง “ท่านแม่ ฉันจะกลับไปพร้อมกับซีหยวน และฉันจะดูแลเขาเป็นอย่างดีค่ะ”

อู๋ซีหยวนที่อยู่ข้างๆ ได้ยินดังนั้นก็ดีใจมาก “ฉันเองก็จะดูแลเธอเป็นอย่างดีด้วยเหมือนกัน!”

หลิวซุ่ยฮวาหัวเราะอย่างมีความสุข ลูกชายของเขาแม้ว่าจะซื่อบื้อไปบ้าง แต่ก็ยังเข้าใจหลักการพื้นฐานอยู่เหมือนกัน ส่วนจิ่วยาเองก็เป็นคนรู้ประสีประสา เดินทางไปด้วยกัน เขาเองก็วางใจ

เขานำสิ่งของที่ตัวเองได้ตระเตรียมไว้ออกมา “จิ่วยา ข้าวสารพวกนี้ เธอนำกลับบ้านไปด้วยนะ แล้วนี่เงินอีกห้าตำลึง เธอเอาไปให้ทางบ้านแม่เธอด้วย ให้พวกเขาไว้ใช้เตรียมข้าวสารอาหารสำหรับฤดูหนาวนี้”

ซูจิ่วเย่ว์เห็นว่ามีถุงเงินในมือเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งใบ เธอเองก็รู้สึกตะลึงงันไปชั่วขณะ

เงินห้าตำลึง?นี่มันคือเงินห้าตำลึงเชียวนะ! ทำไมถึงได้ให้กันง่ายๆ แบบนี้หล่ะ?

เธอรู้ดีว่าแม่ยายของเธอนั้นเป็นคนดี แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะเป็นคนใจกว้างมากถึงขนาดนี้ด้วย

หลิวซุ่ยฮวาเห็นว่าเธอมีท่าทางตกใจ จึงพูดจาหยอกล้อเธอไปว่า “ทำไมหรือ? ผู้หญิงหน้าตาสะสวยก็ซื่อบื้อเป็นเหมือนกันหรือ?”

อู๋ซีหยวนหัวเราะตาม “ฮ่าฮ่าฮ่า ฉันเป็นคนซื่อบื้อ! ภรรยาของฉันก็เป็นคนซื่อบื้อเหมือนกัน!”

ซูจิ่วเย่ว์ก้มหน้ามองพื้น

หลิวซุ่นฮวาอธิบายให้เธอฟังว่า “เรื่องเมื่อวานที่พวกเราขายได้ถึงสามสิบตำลึง เธออย่าไปเล่าให้ใครฟังหล่ะ เข้าใจไหม? แม้ว่าพี่สะใภ้ทั้งสองคนนั้นจะนับว่าเป็นคนครอบครัวเดียวกันก็เถอะ แต่พวกเขาไม่เหมือนกับเธอ พวกเขามักจะนึกถึงแต่ครอบครัวของตัวเอง อะไรดีดีก็จะเอาเข้าบ้านตัวเองตลอด พวกฉันเลยบอกพวกเขาไปว่ามีแค่สิบตำลึง ส่วนที่เหลือแม่จะเก็บไว้ให้พวกเธอ! เพื่อใช้เป็นค่ายาของซีหยวน หรือไม่รอเขาหายดีจะได้เอาไว้ใช้เป็นค่าเล่าเรียน จำได้ใช่ไหม?”

แม้ว่าซูจิ่วเย่ว์จะอายุยังน้อย แต่เธอก็รู้จักแยกแยะชั่วดี แสดงให้เห็นว่าแม่สามีของเธอคอยคิดเผื่อพวกเขาอยู่เสมอ

เธอพยักหน้าอย่างจริงจัง “ฉันจำได้แล้วค่ะท่านแม่”

นิ้วมืออันเรียวงามล้วงเข้าไปในถุงเงิน สุดท้ายก็หยิบออกมาหนึ่งตำลึง ส่วนที่เหลือส่งคืนกลับไป “ท่านแม่ แค่นี้ก็พอแล้วค่ะ บ้านฉันคนไม่ได้เยอะเท่าไรนัก ส่วนน้องชายกับน้องสาวของฉันก็กินไม่เยอะด้วย”

หลิวซุ่ยฮวาชอบที่เธอเป็นคนซื่อตรงแบบนี้เองแหละ ไม่เหมือนกับสองคนนั้นที่แต่งเข้ามาตระกูลอู๋เลยสักนิด พวกเขามักจะคอยหยิบเอาของในบ้านตระกูลอู๋ไปไว้ที่บ้านของตนอีกด้วย

หลิวซุ่ยฮวาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหยิบเอาเศษเงินย่อยยัดใส่ในมือของเธอ “เอาเผื่อๆ ไปก่อนเถอะ ยังไม่รู้เลยว่าช่วงฤดูใบไม้ผลิจะเป็นยังไงบ้าง!”

พอซูจิ่วเย่ว์นึกได้ว่าในตะกร้ามีไข่ไก่อยู่ เธอเลยไม่กล้าให้เขาช่วย เพราะกลัวว่าเขาไม่ระวังจะทำให้ไข่แตกได้ “ไม่เป็นไร ฉันหิ้วเองได้”

แต่ใครจะรู้หล่ะว่าอู๋ซีหยวนที่ถูกปฏิเสธนั้นจู่ๆ ก็หยุดเดินทันที ซูจิ่วเย่ว์ลากเขาไม่ขยับเลยสักนิด และทันทีที่เธอหันกลับไป ก็พบว่าเขามีท่าทีที่กำลังโกรธอยู่

“เป็นอะไรหรือ?” เธอไม่เข้าใจ ไม่อยากให้เขาลำบากมันไม่ดีหรอกหรือ?

“ฉันโกรธแล้วนะ!” อู๋ซีหยวนตะคอกเสียงดัง

“เธอโกรธเรื่องอะไร?” ซูจิ่วเย่ว์มองเขา ในดวงตากลมโตคู่นั้นเต็มไปด้วยความสงสัย

“ทำไมเธอถึงไม่ให้ฉันหิ้วตะกร้าหล่ะ? ฉันเป็นคนโง่ซื่อบื้อ แต่ฉันหิ้วตะกร้าเป็นนะ” เขาพูดด้วยความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ

ซูจิ่วเย่ว์นึกถึงท่าทางของเขาที่ถูกบรรดาเด็กๆ หยอกล้อในวันนั้น ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเธอจึงหยิบไข่ไก่ในตะกร้าออกมา ที่เหลือจึงส่งให้เขาไปหิ้วต่อ “ฉันถืออันนี้แล้วกัน ส่วนที่เหลือฉันให้เธอหิ้ว แบบนี้ดีไหม?”

ตอนที่เธอยังเด็ก เธอก็กล่อมน้องชายกับน้องสาวของเธอแบบนี้เหมือนกัน ช่างมีความอดทนและใจเย็นเอามากๆ

“ให้ฉันทั้งหมด ฉันก็หิ้วไหว!”

ซูจิ่วเย่ว์เม้มปากและส่ายหน้า “ถึงแม้ว่าเธอจะหิ้วไหว แต่ในเมื่อเธอช่วยฉัน ฉันก็ต้องช่วยเธอด้วยสิ พวกเราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันนะ”

เธอคิดว่าเธอจะได้รับความเห็นดีเห็นชอบจากอู๋ซีหยวน แต่กลับเห็นเขาส่ายหน้า และพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ไม่ พวกเราไม่ได้เป็นเพื่อนกันสักหน่อย เธอเป็นภรรยาของฉันต่างหากหล่ะ!”

ซูจิ่วเย่ว์หน้าแดงก่ำราวกับลูกพลับขึ้นมาทันที

เจ้าซื่อบื้อเอ๊ย! ไม่รู้จักอายบ้างเลยจริงๆ!

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ภรรยานำโชคของเสนาบดี