เขาทั้งสองเดินทางกันอย่างไม่รีบร้อน เมื่อพวกเขากลับถึงหมู่บ้านต้าซิง ก็เวลาจวนใกล้เที่ยงแล้ว
ซูจิ่วเย่ว์มองดูทุกสิ่งที่นี่ เธอพึ่งจะจากที่นี่ไปได้ไม่ถึงสามวัน แต่ทำไมจู่จู่ถึงได้รู้สึกเหมือนเวลาผ่านไปนานเป็นชาติแบบนี้เลยหล่ะ
อู๋ซีหยวนที่อยู่ข้างๆ ดึงมือเธอพร้อมกับเอ่ยถามว่า “เมียจ๋า เธอหาบ้านตัวเองไม่เจอหรือ?”
ซูจิ่วเย่ว์ดึงสติกลับมา “ฉันจำได้เป็นอย่างดี!”
ทั้งคู่เดินมุ่งหน้าไปทางบ้านตระกูลซู ชาวบ้านที่เดินสวนกันมาเมื่อพบกับพวกเขาทั้งสอง ต่างก็อดที่จะมองด้วยสายตาแปลกๆ เสียมิได้
“จิ่วเย่ว์กลับมาแล้วหรือ?”
ไหนว่าซูจิ่วเย่ว์ถูกพ่อกับแม่ของเขาขายไปแล้วไม่ใช่หรือ? ทำไมยังกลับมาอีกหล่ะ?
ยิ่งเห็นว่ามีผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่เดินตามเธอมาด้วย แถมยังจูงมือกันมาอีก ตะกร้าที่หิ้วมานั้นก็บรรจุของจนเต็มไปหมด ดูยังไงก็ไม่เห็นเหมือนถูกขายไป แล้วหนีกลับมาเลยสักนิด
ตรงกันข้ามมันเหมือน...การกลับมาเยี่ยมญาติผู้ใหญ่ด้วยซ้ำ?
“จิ่วเย่ว์? นี่เธอหายไปไหนมา? ไม่เห็นหน้าหลายวันเลย?”
คนที่เอ่ยปากถามล้วนเป็นคนในหมู่บ้านที่จิ่วเย่ว์เองก็รู้จักดี เขาจับมือของอู๋ซีหยวนเอาไว้จนแน่น
อู๋ซีหยวนที่อยู่ข้างๆ แย่งตอบขึ้นมาก่อนว่า “เธอเป็นภรรยาของฉัน ก็ต้องอยู่ที่บ้านฉันหน่ะสิ!”
ป้าหยางคนที่ถามนั้นตกใจไปชั่วครู่ คิดไม่ถึงว่าเธอจะไปแต่งงานจริงๆ
เขาอยากจะเอ่ยปากถามต่อ แต่ซูจิ่วเย่ว์ลากอู๋ซีหยวนให้รีบเดินออกไปทันที
.
ทุกวันของตระกูลซูผ่านไปไม่ง่ายนัก เดิมทีซูจิ่วเย่ว์เป็นคนดูแลเด็กทั้งสามคนในบ้านเองทั้งหมด และทุกคนต่างมีความสัมพันธ์อันดีต่อซูจิ่วเย่ว์ ครั้งนี้ซูจิ่วเย่ว์แต่งงานออกไปอย่างกะทันหัน เด็กทั้งสามคนต่างกระจองอแงกันไม่หยุด
แม้พวกเขาจะมีอาหารที่ตระกูลอู๋ ส่งมาให้ สองสามวันมานี้บ้านของเขาไม่ได้เป็นกังวลกับเรื่องของอาหารการกินมากนัก พอพวกเขามีเวลาว่าง นางจังก็จะนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ตรงบันไดที่ลานบ้าน พอเธอร้องไห้ เด็กทั้งสามคนก็ร้องไห้ตามไปด้วย
ซูต้าหนิวรู้สึกกลุ้มใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งต้องมาเห็นพวกเขาร้องไห้ฟูมฟายสามวันแบบนี้ยิ่งทนไม่ได้ไปใหญ่ เขาเขวี้ยงถ้วยชาลงพื้น และด่าทอเสียงดังว่า “จะร้องไห้อะไรกันนักหนา?กูยังไม่ตายสักหน่อย! ร้องตั้งแต่เช้าจนค่ำร้องกันไม่หยุด! ใครยังร้องไห้อีก วันนี้ไม่ต้องกินข้าว!”
ซูจิ่วเย่ว์พึ่งจะเดินถึงหน้าประตูบ้าน ก็ได้ยินเสียงคำว่า ไม่ต้องกินข้าว ดังลอดออกมาจากในลานบ้าน
คำพูดนั้นทำให้เธอตกใจกลัวจนตัวสั่น
อู๋ซีหยวนที่อยู่ข้างกายเธอก็รู้สึกหวาดกลัวตามไปด้วย เขากระเถิบเข้าใกล้ซูจิ่วเย่ว์ และกระซิบเบาๆ ว่า “เมียจ๋า พ่อของเธอดุจังเลย....ปกติแล้วเขามักจะไม่ให้เธอกินข้าวอย่างนั้นหรือ?”
ซูจิ่วเย่ว์ส่ายหน้า “ไม่มีอะไรหรอก ไปเถอะ พวกเราเข้าไปข้างในกัน”
พวกเขาทั้งคู่ยังไม่ทันเดินเข้าไปข้างใน นางจังก็มองเห็นพวกเขาผ่านรั้วแล้ว
เขาคิดไม่ถึงเลยว่าจะมีวันที่ตัวเองได้พบลูกสาวอีกครั้ง ตอนที่ขายลูกไปนั้น เขารู้สึกละอายใจมาโดยตลอด ยิ่งนึกถึงเรื่องพวกนี้ เขาเองก็ยิ่งรู้สึกลำบากใจ
“จิ่วยา?!” เขาเอ่ยเสียงเรียก
ความวุ่นวายที่อยู่ในลานบ้าน เปลี่ยนเป็นเงียบสงบลงด้วยเสียงเรียกของเขา
ทุกคนต่างหันไปมอง บรรดาน้องชายและน้องสาวของเธอต่างรู้สึกประหลาดใจมากเมื่อเห็นพวกเขาสองคนเดินจับมือกันเข้ามา และนี่ยิ่งทำให้ซูจิ่วเย่ว์รู้สึกอายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี
เธอคิดอยากจะสลัดมือออก แต่อู๋ซีหยวนกลับไม่ยอมปล่อยมือของเธอเลย
นางจังลุกขึ้นยืน เธอปัดฝุ่นที่ติดอยู่บนร่างกาย ปาดน้ำตาบนใบหน้า และรีบเดินเข้ามาทันที “จิ่วเย่ว์? เธอกลับมาได้ยังไงหน่ะ?”
ขณะที่เธอพูด สายตาของเธอก็จับจ้องไปที่อู๋ซีหยวน “ผู้นี้คือ....? ลูกเขย?”
ซูจิ่วเย่ว์เห็นว่าผู้คนที่เดินผ่านไปมาต่างมองมายังพวกเขาทั้งสอง ดังนั้นจึงพยักหน้าพร้อมกับพูดกลับไปว่า “อืม แม่คะ พวกเราเข้าบ้านก่อนแล้วค่อยคุยกันดีกว่าค่ะ”
ตอนนี้นางจังราวกับได้สติคืนกลับมา “จริงด้วย เธอดูสิ ฉันดีใจมากเกินไป จนปล่อยให้พวกเธอยืนคุยอยู่หน้าประตูบ้านไปซะอย่างนั้น พวกเราเข้าบ้านก่อนแล้วค่อยคุยกันนะ”
นางจังต้อนรับพวกเขาเข้าบ้านและตะโกนเสียงดังในลานบ้านไปด้วย “เด็กเด็ก พ่อ! จิ่วยากลับมาแล้ว! จิ่วยาของพวกเรากลับมาแล้ว!”
ซูเฉวียนที่พึ่งเดินเข้าไปเมื่อครู่นี้ พอได้ยินเสียงเอะอะโวยวายหน้าบ้าน ก็รีบวิ่งออกมาดูทันที
“จิ่วยา?! ใช่จิ่วยาจริงๆ หรือ! จิ่วยา! เธอกลับมาได้ยังไงหน่ะ?”
เจ้าเด็กตัวน้อยทั้งสามก็วิ่งปรื๋อออกมาจากบ้านด้วยเช่นกัน “พี่!”
ซูจิ่วเย่ว์รู้สึกอายจนก้มหน้าลง ใบหน้าของเขาเริ่มมีสีแดงระเรื่อ แต่อู๋ซีหยวนเองกลับเงยหน้าขึ้น และประกาศด้วยสีหน้าอันภูมิใจว่า “ใช่! ฉันเป็นสามีของเขาเอง!”
เมื่อเขาเปิดปากพูดออกมา สามีภรรยาตระกูลซูก็รู้ได้ทันทีว่ามีบางอย่างไม่ปกติ
แม้จะมีคำถามเป็นร้อยข้ออยู่ในใจ แต่ก็ไม่อาจถามออกมาต่อหน้าคนอื่นได้
นางจังเรียกให้ซูจิ่วเย่ว์เข้าไปในห้องพร้อมกับเธอ ซูจิ่วเย่ว์รู้ว่าแม่ของเธอมีสิ่งที่อยากจะถาม เธอจึงลุกขึ้นและเดินตามเข้าไป
อู๋ซีหยวนก็รีบลุกขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน และคิดจะเดินตามไปด้วย
ซูจิ่วเย่ว์ปรามเขาเอาไว้ “ซีหยวน เธออยู่คุยเล่นกับพ่อฉันตรงนี้นะ”
อู๋ซีหยวนรู้สึกไม่เต็มใจอยู่บ้างเล็กน้อย เหมาเหมาที่อยู่ข้างๆ กลับเขยิบเข้ามาใกล้ๆ เขา และกอดรัดขาเขาเอาไว้ “พี่เขย ทำไมพี่ถึงได้สูงขนาดนี้หล่ะ? เหมาเหมาก็อยากสูงแบบนี้เหมือนกัน”
เหมาเหมาเป็นน้องชายของซูจิ่วเย่ว์ และเป็นลูกชายคนเดียวของบ้าน ปีนี้เขาอายุสี่ขวบ เป็นบุตรคนที่สาม เขามีพี่สาวที่อายุเก้าขวบชื่อว่า ลิ่วเย่ว์ และมีน้องสาวอายุสองขวบชื่อว่า อู่เย่ว์
สายตาของอู๋ซีหยวนถูกเจ้าตัวเล็กดึงความสนใจไป เขาละสายตาไปมองเจ้าตัวเล็กคนนั้น และหัวเราะขึ้นมา “เธอเองก็ตัวเล็กจัง! แม่ฉันบอกว่า ให้กินข้าวเยอะๆ จะได้ตัวสูงสูง!”
สีหน้าของเหมาเหมามองเขาด้วยความเลื่อมใส “ถ้างั้นเหมาเหมาจะกินข้าวให้เยอะๆ เลย! จะได้ตัวสูงสูง!”
ซูเฉวียนยิ่งขมวดคิ้วมากขึ้น สมองของลูกเขยเขา... ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรใช่ไหม?
ซูจิ่วเยว่กับแม่ของนางนั่งอยู่ข้างเตาในบ้าน แม่ของนางเห็นเสื้อผ้าที่นางสวบใส่ไม่ใช่ตัวเก่าที่ใส่ตอนไปที่นั่น นางจึงถามว่า "แม่สามีของลูกให้เสื้อผ้านี้กับลูกหรือ?"
ซูจิ่วเยว่ตอบเพียงสั้น ๆ "แม่สามีของลูกเอาเสื้อผ้าพี่สะใภ้ใหญ่มาแก้แบบให้กับลูก และยังมอบผ้าผืนหนึ่งให้ลูกไว้ตัดเย็บเสื้อผ้าเอง ลูกยังไม่มีเวลาทำมัน”
นางจางรู้สึกผิดต่อลูกสาว แล้วพูดเสียงแผ่วเบากับลูกสาวว่า "แม่สามีของลูกค่อนข้างดีนะ"
ซูจิ่วเยว่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ นางหยิบกระเป๋าเงินที่นางซ่อนไว้ตลอดทาง ยื่นให้แม่ของนาง "แม่สามีของลูกมอบให้ท่าน"
พูดตามตรงซูจิ่วเยว่กลับมาวันนี้ได้นำเอาสิ่งของมามากมาย มากกว่าครั้งที่แม่สื่อเฉินเม่ยนำมาให้เสียอีก
ดังนั้น เมื่อนางจางเห็นว่าลูกยังมีสิ่งของจะให้ นางก็ยิ่งรู้สึกประหลาดใจ
นางเปิดกระเป๋าและเห็นเงินย่อยจำนวนหนึ่งในนั้น นางเกือบตกตะลึง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ภรรยานำโชคของเสนาบดี
เอ็นดูพ่อหนุ่มจังเลย...
ตอนที่ 179-185 มีตอนละ 3 บรรทัด งงมาก ทำไมช่วงนี้ลงเนื้อหานิยายขาดหายตลอดเลย...
162-168 มีแค่บาทละ 2-4 บรรทัดเท่านั่นน...
161 มีแค่ 2บรรทัด เนื้อหาหายไปไหน งงง...
160 มีแค่สองบรรทัด...
บทนี้มีแค่ 4 บรรทัด...
บทที่140 -145 มีเนื้อหาบทละ 3-4 บรรทัดเท่านั่น เนื้อหาหายไปไหนน้อ...
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ...
อะแหมมมม พ่อหนุ่มน้อยของเราร้ายนะเนี่ย 5555...
มันมาได้ยังไง...