ภรรยานำโชคของเสนาบดี นิยาย บท 21

เดิมทีหลิวซุ่ยฮวาก็โมโหจนโกรธเป็นฟืนเป็นไฟอยู่แล้ว แต่เมื่อได้เห็นสะใภ้ทั้งสามคนของครอบครัวพร้อมใจกันออกมาพูด อารมณ์ของเขาก็เย็นขึ้นอย่างอธิบายไม่ถูก

แม้ว่าทั้งสามคนจะมีข้อบกพร่องในตัวของตัวเอง แต่เมื่อต้องเจอกับเรื่องใหญ่แบบนี้กลับพร้อมใจกันต่อสู้ ตราบใดที่พวกเขามีความสามัคคีปรองดองกันแล้วหล่ะก็ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็จะไม่มีใครสามารถรังแกเขาได้

อู๋ฉ่วนยืนอยู่ข้างๆ กับลูกทั้งสามของเขา ปกติแล้วเรื่องมีปากเสียงกันมักเกิดขึ้นกับพวกผู้หญิงเสียงมากกว่า พวกเขาพูดไม่เก่ง แถมยังด่าคำหยาบคายพวกนั้นไม่เป็นอีกด้วย แต่หากมีใครเริ่มลงมือทำร้ายร่างกายแล้วหล่ะก็ บรรดาผู้ชายพวกนั้นก็ไม่มีทางปล่อยไว้อย่างแน่นอน!

เมื่อเห็นว่าพวกนั้นเดินกลับกันไปแล้ว หลิวซุ่นฮวาก็โบกมือให้กับทุกคนราวกับว่าเป็นนายพลที่ชนะการต่อสู้อย่างไรอย่างนั้น “ว้าแย่จัง ยังไม่ทันได้ดูเรื่องน่าสนุกเลย กลับกันไปซะแล้ว!”

เมื่อกลับถึงบ้านซูจิ่วเย่ว์ยังคงรู้สึกหวาดกลัวอยู่เล็กน้อย เป็นกังวลว่าหลิวซุ่ยฮวาจะตำหนิเธอกับเรื่องในคืนวันนั้น

เขาค่อยๆ วางไม้กวาดในมือลงเบาๆ และไปยืนอยู่ข้างๆ สะใภ้ทั้งสอง ก้มหน้าก้มตาราวกับนกกระทาตัวเล็กๆ ตัวหนึ่ง ท่าทีไม่เหมือนคนโหดเหี้ยมดุดันที่เมื่อครู่ใช้ไม้กวาดไล่คนอื่นเลยสักนิด

หลิวซุ่ยฮวาได้แต่หัวเราะ จากนั้นจึงเอ่ยปากประกาศขึ้นว่า “ทุกคน! เอาเนื้อที่อยู่บนคานบ้านลงมา วันนี้พวกเราจะกินเนื้อกัน! พวกเราจะต้องใช้ชีวิตอย่างอย่างมีความสุข ให้คนขี้อิจฉาพวกนั้นโมโหจนอกแตกตายไปเลย!”

ทันทีได้ยินว่ามีเนื้อให้กิน เทียนซิวเหนียงก็หัวเราะร่าและขันอาสาออกมาว่า “แม่! ฉันเอง! ฉันทำเอง!”

เขานำเนื้อไปล้าง ส่วนซูจิ่วเย่ว์กับสะใภ้ใหญ่ก็เข้าไปล้างชามในห้องครัว

ทั้งคู่ต่างง่วนอยู่กับหน้าที่ของตน ในห้องครัวจึงเงียบลงไปชั่วขณะ

ทันใดนั้นจู่ๆ ก็มีเสียงหัวเราะดังขึ้นข้างๆ ตัวเธอ ซูจิ่วเย่ว์หันหน้าไปมองด้วยความประหลาดใจ

เฉินจาวตี้เห็นว่าเธอหันมามอง จึงอธิบายให้เธอฟังว่า “ฉันแค่คิดไม่ถึงว่า น้องชายน้องสาวรวมทั้งเธอด้วย ร่างกายบอบบางตัวเล็ก จะดุดันได้มากขนาดนี้เหมือนกัน”

ซูจิ่วเย่ว์นึกถึงตอนที่ตัวเองดุดันยิ่งกว่าตอนนี้ แต่แค่พวกเขาไม่เคยเห็นเท่านั้นเอง!

ตอนยังเด็กมีเด็กผู้ชายซนซนในหมู่บ้านชอบมารังแกน้องชายกับน้องสาวของเขา เธอเป็นคนที่ไปออกโรงต่อสู้กับเด็กผู้ชายพวกนั้นด้วยตัวของเขาเอง

เรื่องน่าอายในวัยเด็ก เธอจะไม่นำออกเล่าไปทั่วอย่างแน่นอน

แต่เธอสัมผัสได้ว่า หลังจากเกิดเหตุการณ์ครั้งนี้ขึ้น พี่สะใภ้ใหญ่จะปฏิบัติกับตนเหมือนดั่งญาติมิตรคนหนึ่งอย่างแน่นอน

เธอขยิบตาให้กับพี่สะใภ้ใหญ่ด้วยท่าทีทะเล้น แล้วจึงพูดว่า “พี่สะใภ้เองก็ทำเอาฉันประหลาดใจเหมือนกันนะ!”

เป็นไปตามคาด เฉินจาวตี้หน้าแดงด้วยความเขินอายขึ้นมาทันที จากนั้นไม่นาน เธอก็กระซิบเบาๆ ว่า “พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ยังไงซะก็จะไม่ยอมปล่อยให้คนนอกมารังแกกันได้หรอก”

ซูจิ่วเย่ว์รู้สึกได้ด้วยใจว่าตระกูลอู๋เป็นคนดี จากเดิมที่เธอคิดว่าที่นี่เป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยภัยอันตราย แต่คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าทุกคนที่นี่จะมีแต่ความปรารถนาดีต่อเธอ

ในขณะที่ทั้งสองกำลังทำงานไปด้วย พูดคุยกันไปด้วยอยู่นั้น เทียนซิวเหนียงก็วิ่งออกมาพร้อมกับเนื้อย่างสดๆ ร้อนๆ ชิ้นหนึ่ง

“พี่สะใภ้ใหญ่! น้องๆ ทั้งหลาย! วันนี้แม่หั่นเนื้อชิ้นใหญ่เชียว! พวกเรากินกันให้จุใจไปเลยนะ!”

ทุกคนล้วนดีใจกันยกใหญ่ มีใครบ้างหล่ะที่ไม่ชอบกินเนื้อ?

ท่าทีของเทียนซิวเหนียงในวันนี้ทำให้ซูจิ่วเย่ว์รู้สึกทราบซึ้งใจ แม้แรกเริ่มสะใภ้รองจะปฏิบัติตัวไม่ค่อยดีกับเธอสักเท่าไร เธอครุ่นคิดในใจครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเรียกเขา

“สะใภ้รอง วันนี้ขอบคุณเธอมากนะที่ช่วยพวกเรา”

เทียนซิวเหนียงที่หันหลังให้เธออยู่นั้น เมื่อครู่พึ่งจะเอาเนื้อชิ้นเล็กเข้าปากไป พอได้ยินคำพูดนั้นเข้าก็รู้สึกตกใจ จนกลืนเนื้อที่อยู่ในปากลงคอไปอย่างรวดเร็ว แถมยังพูดอย่างยิ้มๆ ว่า “อะไรกัน?เขาจะมาคนเดียว! หรือต่อให้มาอีกสิบคนก็เหอะ! พี่สะใภ้รองของเธอก็จะด่าแบบนี้ จนเขาอ้าปากค้างไปเลยอยู่ดีแหละ!”

ซูจิ่วเย่ว์หัวเราะจนตาหยี “สะใภ้รองผู้ห้าวหาญ!”

ก่อนที่หวังกุ้ยฟังจะจากไปได้กล่าวไว้ว่าเรื่องนี้ไม่จบง่ายๆ แต่ไม่มีใครใส่ใจเลยสักนิด

ตระกูลซย่าหมิงอี้มีจำนวนคนไม่เยอะ อีกทั้งพวกเขาเองก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้ด้วย ต่อให้เขาพาลูกของเขามาด้วย คนของตระกูลอู๋ก็ไม่กลัวพวกเขาอยู่ดี

หวังกุ้ยฟังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เขากลับบ้านไปทำรุนแรงกับหยางหลิ่วยิ่งกว่าเดิม

เสียงของเขาทำซูจิ่วเย่ว์สะดุ้งตกใจจนกลับมามีสติอีกครั้ง เธอจึงรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้และเดินเข้าบ้านไปทันที

หลิวซุ่ยฮวานั่งอยู่บนตั่งกำลังทำเสื้อคลุมให้กับซูจิ่วเย่ว์ เมื่อได้ยินเสียงของเทียนซิวเหนียง เขาจึงวางมือจากงานนั้นลง และมองตามเสียงไปยังหน้าประตู

“อะไรกัน? ไม่ให้เข้าไปหามน้ำอย่างนั้นหรือ? บ่อน้ำนั้นก็ไม่ใช้ของพวกเขาสักหน่อย?! แถมไม่มีใครเป็นเจ้าของอีกด้วย?!” หลิวซุ่ยฮวาโกรธมาก

ซูจิ่วเย่ว์ขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินเรื่องนี้ตอนที่เดินไปถึงหน้าประตู

ในหมู่บ้านมีบ่อน้ำเพียงแห่งเดียว และฝนไม่ตกมานานเป็นเวลาเกินครึ่งปีแล้ว ต้นน้ำในหมู่บ้านก็แห้งเหือดไปตั้งนานแล้วด้วย คนในหมู่บ้านล้วนแล้วแต่ต้องอาศัยน้ำจากบ่อน้ำแห่งนั้นเพื่อประทังชีวิตกันทั้งนั้น

ทำไมคนของตระกูลซย่าถึงไม่ยอมให้พวกเขาเข้าไปหามน้ำจากบ่อนั้นหล่ะ? แบบนี้มันใช้อำนาจเผด็จการเกินไปแล้วไหม?

เทียนซิวเหนียงโกรธไม่น้อยอยู่เหมือนกัน “จริงอยู่ที่บ่อน้ำแห่งนั้นไม่ใช่ของครอบครัวพวกเขา แต่มันถูกขุดขึ้นในบริเวณพื้นที่บ้านเขา ตอนนี้ให้ตายยังไงเขาก็ไม่ให้พวกเราเข้าไปหามน้ำที่นั่น ฉันเองก็จนปัญญา! แม่!ท่านรีบไปจัดการทีเถอะ!”

หลิวซุ่ยฮวาเก็บเสื้อผ้าที่ตัวเองทำไปได้ครึ่งหนึ่ง จากนั้นก็ปัดเศษผ้าที่อยู่บนตัวออก “ไป! พวกเราไปหาผู้ใหญ่บ้านกัน!”

ผู้ใหญ่บ้านอยู่ข้างตระกูลอู๋อยู่แล้ว บ่อน้ำแห่งนั้นคนในหมู่บ้านช่วยกันขุดกันมาตั้งนานหลายปีแล้ว มันก็ไม่ใช่ของตระกูลซว่าสักหน่อย ทำไมถึงไม่อนุญาตให้คนอื่นหามน้ำไปใช่หล่ะ?

ต่างคนต่างยกขบวนกันไปปากทางหมู่บ้านด้วยความโกรธ เมื่อพวกเขาไปถึง บริเวณริมบ่อน้ำแห่งนั้นถูกห้อมล้อมไปด้วยผู้คนอย่างคึกคัก

ผู้ใหญ่บ้านเป็นคนของตระกูลหยาง ชื่อ หยางฟู่กุ้ย

เขาถือปล้องบุหรี่ในมือและเดินนำหน้าไป

พอเขาปรากฏตัวออกมา ก็มีคนตะโกนขึ้นว่า “ผู้ใหญ่บ้านมาแล้ว! ผู้ใหญ่บ้านมาแล้ว!”

ฝูงชนเหล่านั้นต่างแหวกทางให้เขาเดิน หยางฟู่กุ้ยจึงเดินพุ่งเข้าไปหาหวังกุ้ยฟังที่นั่งอยู่ริมบ่อน้ำนั้นพร้อมกับตำหนิไปว่า “ตระกูลหวัง! นี่แกคิดจะทำอะไรหน่ะ? มีสิทธิ์อะไรมาห้ามไม่ให้คนของตระกูลอู๋เข้ามาตักน้ำ? บ่อน้ำนี้ก็ไม่ใช่ของครอบครัวพวกแกสักหน่อย!”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ภรรยานำโชคของเสนาบดี