ซูจิ่วเย่ว์ถูกความกระตือรือร้นของเขาเล่นเอาจนตกใจ “เถ้าแก่ ที่ร้านเถ้าแก่มีหน่อกระเทียมไหม?”
“หน่อกระเทียม?” เถ้าแก่รู้สึกประหลาดใจ จากนั้นก็ส่ายหน้าพร้อมกับพูดว่า “ตอนนี้จะไปหาหน่อกระเทียมจากไหนได้ แต่ในร้านมีต้นกระเทียมเก่าอยู่สองสามต้นนะ เธอจะเอาไหมหล่ะ?”
“เท่าไรคะ?” ซูจิ่วเย่ว์ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงถามราคากับเถ้าแก่
“กระเทียมไม่กี่หัวจะขายได้สักเท่าไรกัน? ต้นกระเทียมพวกนี้คิดสามเหรียญก็แล้วกัน”
ตอนที่ซูจิ่วเย่ว์ออกมานั้น หลิวซุ่ยฮวาเอาเงินให้กับเธอ รวมทั้งหมดสองร้อยกว่าเหรียญ
รอบนี้พวกเขาจัดยาให้สามสิบชั่ง คิดเผื่อว่าจะได้ไม่ต้องเดินทางมาในเมืองเพื่อมารับยาอีกได้นานหลายวัน รวมกับขนมถ้วยฟูสองถ้วยที่พึ่งซื้อให้หลานสาวไปเมื่อครู่ ดังนั้นตอนนี้ในมือของเธอยังเหลือเงินอยู่อีกสามสิบเหรียญ
เธอคิดอยู่ชั่วครู่จากนั้นจึงถามขึ้นว่า “เถ้าแก่ ร้านของเถ้าแก่มีฮวาเจียวไหม?”
“มีมีมี! มีแน่นอนหล่ะ ฮวาเจียวที่ร้านฉันทั้งเม็ดใหญ่ทั้งรสชาติเผ็ดชา รับรองเธอต้องถูกใจ ลองดูสิ” เขาพูดพลางเปิดห่อผ้าเม็ดฮวาเจียวให้เธอดู
ซูจิ่วเย่ว์ยื่นมือไปหยิบขึ้นมาสองสามเม็ด และใช้ลิ้นแตะสัมผัสเบาๆ “ชั่งให้ฉันสองขีดนะ”
วันนี้เถ้าแก่เปิดบิลได้เป็นที่เรียบร้อย เขาจึงยิ้มด้วยความดีใจ “ได้เลย! แม่หนูจะเอาไปต้มกับเนื้อที่บ้านหรือ? ถ้างั้นฉันให้ขิงเธอไปด้วยก้อนหนึ่ง กินด้วยกันยิ่งอร่อยเลยนะ!”
“ขอบคุณมากเลยนะคะ” ซูจิ่วเย่ว์กล่าวขอบคุณอย่างเกรงใจ
เขาห่อฮวาเจียวและยื่นส่งให้ซูจิ่วเย่ว์ “ทั้งหมดสิบเหรียญ”
ซูจิ่วเย่ว์หยิบเอาของมาใส่ในตะกร้าสะพายหลังของเธอ จากนั้นเธอก็จ่ายเงินให้เขาไป
หลังจากออกนอกเมืองมาได้สักพัก ซูจิ่วเย่ว์เห็นว่าโรงโจ๊กของหมอหวงเปิดแล้ว มีคนยืนรอต่อคิวรับโจ๊กอยู่เต็มไปหมด
เมื่อเห็นว่าพวกเขาออกมาจากในเมือง คนจำนวนไม่น้อยจึงจ้องมองไปที่ตะกร้าสะพายหลังของพวกเขา แถมยังมีคนใจกล้าจำนวนหนึ่งเดินติดตามด้านหลังเขาไปอีกด้วย
ซูจิ่วเย่ว์จูงมือของอู๋ซีหยวนเอาไว้ เขากระซิบเบาๆ ขึ้นว่า “เมียจ๋า พวกเขาน่าสงสารจัง...”
ซูจิ่วเย่ว์กุมมือของเขาแน่นขึ้น ขมวดคิ้วและเหลือบมองบรรดาผู้คนที่อยู่ด้านหลังเขา พร้อมกับจงใจพูดเสียงดังขึ้นว่า “แต่ในตะกร้าหลังของพวกเรามีแต่ยาขมขมทั้งนั้นนะ”
ทันทีที่ได้ยินว่าในตะกร้ามีแต่ยา พวกเขาเหล่านั้นจึงเดินล่าถอยวงแตกไป ให้ไปแย่งตะกร้าใส่ยาของพวกเขาสู้ไปยืนต่อแถวรอรับโจ๊กยังจะดีเสียกว่า!
เมื่อซูจิ่วเย่ว์เห็นว่าคนที่เดินตามหลังเขามาเริ่มลดน้อยลงแล้ว เธอจึงรีบเดินสาวเท้าออกไปทันที แม้ว่าอู๋ต้าเฉิงจะเป็นคนซื่อๆ แต่ในตอนนี้เขากลับรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขาหันหลังกลับไปมองคนเหล่านั้น และรีบสาวเท้าเดินตามไปทันที
คนหนุ่มสาวไฟแรงทั้งสาม เดินทางกันอย่างรวดเร็ว ยังไม่ทันพลบค่ำ พวกเขาก็กลับถึงบ้านกันแล้ว
ซูจิ่วเย่ว์ยื่นขนมเค้กที่เธอซื้อมาให้กับหลานสาวทั้งสองคน จากนั้นจึงวางตะกร้าลงและเข้าไปในห้องของหลิวซุ่ยฮวา
“แม่คะ ยังเหลือเงินอยู่อีกยี่สิบกว่าเหรียญ ฉันเอาผ้าเช็ดหน้าที่แม่ปักไปแลกเงินมาได้สิบสองเหรียญ รวมทั้งหมดก็สามสิบสองเหรียญค่ะ ฉันวางไว้ตรงนี้ แม่มานับดูอีกทีนะคะ”
เธอนำถุงใส่เงินวางไว้ข้างหน้าของหลิวซุ่ยฮวา หลิวซุ่ยฮวาวางงานในมือลงตั้งแต่เธอเดินเข้ามาในห้องแล้ว เมื่อได้ยินเธอพูดเช่นนั้น จึงเหลือบตาไปมองถุงเงินที่วางอยู่บนโต๊ะ จากนั้นเธอยิ้มและพูดว่า “เธอเก็บเงินพวกนี้ไว้เถอะ ตอนนี้เธอเองก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ไม่คิดจะเอาเงินติดตัวไว้ใช้สักหน่อยหรือ?”
ซูจิ่วเย่ว์ชะงักจนถอยหลังไปหนึ่งก้าว และรีบโบกมือปฏิเสธทันที “ไม่เอาค่ะ เงินนี้ฉันเก็บไว้ไม่ได้หรอก แม่นั่งหลังคดหลังแข็งปักผ้าเพื่อหาเงินนี้มา!”
ซูจิ่วเย่ว์พูดปลอบใจเธอว่า “แม่คะ รอบนี้หิมะตกหนักแล้วไม่ใช่หรือ? เดี๋ยวถึงฤดูใบไม้ผลิก็ดีขึ้นเอง”
หลิวซุ่ยฮวาขมวดคิ้วและพยักหน้า “แต่ไอ้หน่อกระเทียมนี้จะทำยังไงดีหล่ะ? หรือจะให้ซีหยวนรอไปก่อน?”
มันก็คงต้องรออยู่แล้วหล่ะ ปัญหาอยู่ที่ว่าจะต้องรออีกนานแค่ไหน เพราะสุดท้ายแล้วตอนนี้ไม่มีที่ไหนขายหน่อกระเทียมเลยสักที่
เธอบอกความคิดที่เก็บอยู่ในใจของตนออกมาให้เขาฟัง “แม่คะ ฉันซื้อต้นกระเทียมมานิดหน่อย พวกเราลองมาปลูกเองกันเถอะ”
หลิวซุ่ยฮวาขมวดคิ้ว “เจ้าเด็กคนนี้พูดจาเพ้อเจ้ออะไร? ข้างนอกหิมะตกหนักขนาดนี้ ต้นกระเทียมมันจะไปออกหน่อได้ยังไงหล่ะ?”
คำพูดเหล่านี้ฟังดูเหมือนยังมีความเกรงใจอยู่บ้าง เราต่างก็เป็นชาวไร่ชาวนา โตขนาดนี้แล้วแม้แต่ความรู้พื้นฐานทั่วไปทำไมยังไม่รู้อีก
ซูจิ่วเย่ว์รู้สึกว่าคำพูดของเธอไม่ค่อยชัดเจนสักเท่าไรนัก จึงรีบอธิบายต่อไปว่า “แม่ ฉันไม่ได้หมายความว่าจะเอาไปปลูกลงดิน บ้านของเราอากาศอบอุ่นอยู่แล้วไม่ใช่หรือ? กลางวันมีเตาผิง กลางคืนก็มีเตียงเตา ฉันเลยคิดว่ามันจะดีกว่าถ้าเราเอามาปลูกลงในกระถาง เจ็ดวันมันก็งอกแล้ว เดือนกว่าๆ เราก็จะได้หน่อกระเทียมกัน”
หลิวซุ่ยฮวาจ้องมองแววตาอันเป็นประกายของเธอ ในใจครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้ของเรื่องนี้
คิดไปคิดมา แค่ต้นกระเทียมไม่กี่ต้น ให้เขาลองดูก็ไม่เสียหาย ถ้ามันปลูกขึ้นได้จริงๆ ก็ดี แต่ถ้าปลูกไม่ขึ้น ซีหยวนเองรอมานานครึ่งปีกว่าแล้ว ให้รอต่อไปอีกสักเดือนสองเดือนไม่น่าจะเป็นอะไร
ดังนั้นจึงพูดขึ้นว่า “งั้นเธอก็ลองทำดูแล้วกัน ปลูกขึ้นไม่ขึ้นค่อยว่ากัน ลองดูก็ไม่เสียหาย เออจริงสิ คุณหมอหวงได้บอกไหมว่าถ้ากระตุ้นตัวยาออกมาไม่ได้จะต้องทำยังไง?”
“เขาบอกว่างั้นคงให้กินยาตามเดิมไปก่อน ยาที่ฉันนำมาสามสิบชั่งล้วนแต่เป็นยาตัวเดิมทั้งนั้น รอให้พวกเราหาหน่อกระเทียมได้แล้วค่อยไปรับยาเพิ่มก็ยังไม่สาย” ซูจิ่วเย่ว์ตอบกลับไปเช่นนั้น
พอออกจากห้องของหลิวซุ่ยฮวาแล้ว ซูจิ่วเย่ว์จึงนำเอาฮวาเจียวที่ซื้อมาไปเก็บไว้ในห้องครัว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ภรรยานำโชคของเสนาบดี
เอ็นดูพ่อหนุ่มจังเลย...
ตอนที่ 179-185 มีตอนละ 3 บรรทัด งงมาก ทำไมช่วงนี้ลงเนื้อหานิยายขาดหายตลอดเลย...
162-168 มีแค่บาทละ 2-4 บรรทัดเท่านั่นน...
161 มีแค่ 2บรรทัด เนื้อหาหายไปไหน งงง...
160 มีแค่สองบรรทัด...
บทนี้มีแค่ 4 บรรทัด...
บทที่140 -145 มีเนื้อหาบทละ 3-4 บรรทัดเท่านั่น เนื้อหาหายไปไหนน้อ...
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ...
อะแหมมมม พ่อหนุ่มน้อยของเราร้ายนะเนี่ย 5555...
มันมาได้ยังไง...