ภรรยานำโชคของเสนาบดี นิยาย บท 30

ซูจิ่วเย่ว์ถูกความกระตือรือร้นของเขาเล่นเอาจนตกใจ “เถ้าแก่ ที่ร้านเถ้าแก่มีหน่อกระเทียมไหม?”

“หน่อกระเทียม?” เถ้าแก่รู้สึกประหลาดใจ จากนั้นก็ส่ายหน้าพร้อมกับพูดว่า “ตอนนี้จะไปหาหน่อกระเทียมจากไหนได้ แต่ในร้านมีต้นกระเทียมเก่าอยู่สองสามต้นนะ เธอจะเอาไหมหล่ะ?”

“เท่าไรคะ?” ซูจิ่วเย่ว์ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงถามราคากับเถ้าแก่

“กระเทียมไม่กี่หัวจะขายได้สักเท่าไรกัน? ต้นกระเทียมพวกนี้คิดสามเหรียญก็แล้วกัน”

ตอนที่ซูจิ่วเย่ว์ออกมานั้น หลิวซุ่ยฮวาเอาเงินให้กับเธอ รวมทั้งหมดสองร้อยกว่าเหรียญ

รอบนี้พวกเขาจัดยาให้สามสิบชั่ง คิดเผื่อว่าจะได้ไม่ต้องเดินทางมาในเมืองเพื่อมารับยาอีกได้นานหลายวัน รวมกับขนมถ้วยฟูสองถ้วยที่พึ่งซื้อให้หลานสาวไปเมื่อครู่ ดังนั้นตอนนี้ในมือของเธอยังเหลือเงินอยู่อีกสามสิบเหรียญ

เธอคิดอยู่ชั่วครู่จากนั้นจึงถามขึ้นว่า “เถ้าแก่ ร้านของเถ้าแก่มีฮวาเจียวไหม?”

“มีมีมี! มีแน่นอนหล่ะ ฮวาเจียวที่ร้านฉันทั้งเม็ดใหญ่ทั้งรสชาติเผ็ดชา รับรองเธอต้องถูกใจ ลองดูสิ” เขาพูดพลางเปิดห่อผ้าเม็ดฮวาเจียวให้เธอดู

ซูจิ่วเย่ว์ยื่นมือไปหยิบขึ้นมาสองสามเม็ด และใช้ลิ้นแตะสัมผัสเบาๆ “ชั่งให้ฉันสองขีดนะ”

วันนี้เถ้าแก่เปิดบิลได้เป็นที่เรียบร้อย เขาจึงยิ้มด้วยความดีใจ “ได้เลย! แม่หนูจะเอาไปต้มกับเนื้อที่บ้านหรือ? ถ้างั้นฉันให้ขิงเธอไปด้วยก้อนหนึ่ง กินด้วยกันยิ่งอร่อยเลยนะ!”

“ขอบคุณมากเลยนะคะ” ซูจิ่วเย่ว์กล่าวขอบคุณอย่างเกรงใจ

เขาห่อฮวาเจียวและยื่นส่งให้ซูจิ่วเย่ว์ “ทั้งหมดสิบเหรียญ”

ซูจิ่วเย่ว์หยิบเอาของมาใส่ในตะกร้าสะพายหลังของเธอ จากนั้นเธอก็จ่ายเงินให้เขาไป

หลังจากออกนอกเมืองมาได้สักพัก ซูจิ่วเย่ว์เห็นว่าโรงโจ๊กของหมอหวงเปิดแล้ว มีคนยืนรอต่อคิวรับโจ๊กอยู่เต็มไปหมด

เมื่อเห็นว่าพวกเขาออกมาจากในเมือง คนจำนวนไม่น้อยจึงจ้องมองไปที่ตะกร้าสะพายหลังของพวกเขา แถมยังมีคนใจกล้าจำนวนหนึ่งเดินติดตามด้านหลังเขาไปอีกด้วย

ซูจิ่วเย่ว์จูงมือของอู๋ซีหยวนเอาไว้ เขากระซิบเบาๆ ขึ้นว่า “เมียจ๋า พวกเขาน่าสงสารจัง...”

ซูจิ่วเย่ว์กุมมือของเขาแน่นขึ้น ขมวดคิ้วและเหลือบมองบรรดาผู้คนที่อยู่ด้านหลังเขา พร้อมกับจงใจพูดเสียงดังขึ้นว่า “แต่ในตะกร้าหลังของพวกเรามีแต่ยาขมขมทั้งนั้นนะ”

ทันทีที่ได้ยินว่าในตะกร้ามีแต่ยา พวกเขาเหล่านั้นจึงเดินล่าถอยวงแตกไป ให้ไปแย่งตะกร้าใส่ยาของพวกเขาสู้ไปยืนต่อแถวรอรับโจ๊กยังจะดีเสียกว่า!

เมื่อซูจิ่วเย่ว์เห็นว่าคนที่เดินตามหลังเขามาเริ่มลดน้อยลงแล้ว เธอจึงรีบเดินสาวเท้าออกไปทันที แม้ว่าอู๋ต้าเฉิงจะเป็นคนซื่อๆ แต่ในตอนนี้เขากลับรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขาหันหลังกลับไปมองคนเหล่านั้น และรีบสาวเท้าเดินตามไปทันที

คนหนุ่มสาวไฟแรงทั้งสาม เดินทางกันอย่างรวดเร็ว ยังไม่ทันพลบค่ำ พวกเขาก็กลับถึงบ้านกันแล้ว

ซูจิ่วเย่ว์ยื่นขนมเค้กที่เธอซื้อมาให้กับหลานสาวทั้งสองคน จากนั้นจึงวางตะกร้าลงและเข้าไปในห้องของหลิวซุ่ยฮวา

“แม่คะ ยังเหลือเงินอยู่อีกยี่สิบกว่าเหรียญ ฉันเอาผ้าเช็ดหน้าที่แม่ปักไปแลกเงินมาได้สิบสองเหรียญ รวมทั้งหมดก็สามสิบสองเหรียญค่ะ ฉันวางไว้ตรงนี้ แม่มานับดูอีกทีนะคะ”

เธอนำถุงใส่เงินวางไว้ข้างหน้าของหลิวซุ่ยฮวา หลิวซุ่ยฮวาวางงานในมือลงตั้งแต่เธอเดินเข้ามาในห้องแล้ว เมื่อได้ยินเธอพูดเช่นนั้น จึงเหลือบตาไปมองถุงเงินที่วางอยู่บนโต๊ะ จากนั้นเธอยิ้มและพูดว่า “เธอเก็บเงินพวกนี้ไว้เถอะ ตอนนี้เธอเองก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ไม่คิดจะเอาเงินติดตัวไว้ใช้สักหน่อยหรือ?”

ซูจิ่วเย่ว์ชะงักจนถอยหลังไปหนึ่งก้าว และรีบโบกมือปฏิเสธทันที “ไม่เอาค่ะ เงินนี้ฉันเก็บไว้ไม่ได้หรอก แม่นั่งหลังคดหลังแข็งปักผ้าเพื่อหาเงินนี้มา!”

หลิวซุ่ยฮวาแสร้งทำเป็นโกรธและพูดว่า “เจ้าเด็กคนนี้! ตามที่เธอพูด เห็ดหลินจือพวกนั้นเป็นเธอเองที่ขุดมาด้วยความยากลำบาก! แถมยังมีหนังสือพวกนั้นอีกด้วย!”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เธอพึ่งจะรู้สึกตัวว่าตัวเองพูดเสียงดังเกินไป ดังนั้นเธอจึงค่อยๆ ลดเสียงลง “เอาหล่ะ คนครอบครัวเดียวกันทั้ง

นั้น ไม่เห็นต้องแบ่งแยกเลยว่าอันนี้ของเธอ อันนั้นของฉัน ฉันให้เธอเก็บ เธอก็เก็บไปเถอะ เผื่อเจออะไรที่เธออยากได้ แล้วไม่มีเงิน จะทำยังไงหล่ะ ”

พูดถึงขนาดนี้แล้ว ซูจิ่วเย่ว์ไม่สามารถปฏิเสธต่อไปได้อีก ดังนั้นเธอจึงเก็บถุงเงินนั้นมา

“แม่คะ วันนี้ฉันรับยามาให้ซีหยวนเอาไว้ใช้กินได้อีกหนึ่งเดือน ฉันว่าสถานการณ์ในเมืองไม่ค่อยจะดีสักเท่าไรนัก ฉันว่าน่าจะเกิดความโกลาหลขึ้นอีกแล้วหล่ะ”

เธอพูดด้วยท่าทีจริงจัง แต่หลิวซุ่ยฮวากลับหัวเราะขึ้น “เธอยังเด็ก รู้ได้ยังไงว่าสถานการณ์ไม่ดี?”

ท่าทีของซูจิ่วเย่ว์ดูเคร่งเครียดเป็นอย่างมาก “แม่คะ ฉันพูดจริงๆ นะ ที่นอกเมืองหนิวโถ่วประชาชนล้วนยากลำบาก ระหว่างทางที่พวกเราสามคนกลับมานั้น ยังมีคนเดินตามพวกเรามาด้วยเลย ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะฉันจงใจพูดเสียงดังกับซีหยวนว่าในตะกร้ามีแต่ยาทั้งนั้น กลัวว่าพวกเขายังคิดจะแย่งตะกร้านั้นไปด้วยซ้ำ!”

สีหน้าอันหยอกล้อของหลิวซุ่ยฮวาค่อยๆ เลือนหายไป “เป็นเรื่องจริงอย่างนั้นหรือ?”

ซูจิ่วเย่ว์พยักหน้า “เรื่องจริงแน่นอน ฉันจะโกหกแม่ไปทำไมหล่ะ?”

“งั้นช่วงนี้พวกเราอย่าเข้าไปในเมืองเลยจะดีกว่า ของกินของใช้ในบ้านก็ยังมีเหลือเพียงพออยู่ ยาของซีหยวนเองก็เอามาแล้วสามสิบชั่ง ใช้ไปได้อีกช่วงระยะหนึ่งเลยหล่ะ ส่วนเรื่องการฝังเข็มนั้น...คงต้องเลื่อนออกไปอีกสักพัก” เขาพูดด้วยท่าทางอันเป็นกังวล

สักพักเธอก็พูดขึ้นมาอีกว่า “รักษาภูเขาเอาไว้ได้ ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีฟืน หากสถานการณ์เป็นไปอย่างที่เธอพูดเมื่อครู่นี้ เกรงว่าช่วงนี้คงเข้าไปในเมืองไม่ได้ไปอีกสักพัก พวกเราหลบภัยก่อนค่อยว่ากันอีกที”

ซูจิ่วเย่ว์พยักหน้าแสดงท่าทางเห็นด้วย จากนั้นจึงพูดต่อไปว่า “เอาตามที่แม่พูดค่ะ วันนี้หมอหวงเปลี่ยนใบสั่งยาให้ซีหยวน อย่างอื่นไม่มีอะไรเปลี่ยน แต่ยานั้นต้องใช้หน่อกระเทียมในการกระตุ้นฤทธิ์ตัวยา ฉันไปหาซื้อจนทั่วแล้ว แต่ไม่มีที่ไหนขายเลย...”

“ถ้างั้นทำยังไงหล่ะ? ตอนนี้มันเข้าฤดูหนาวแล้ว! ถ้าเป็นฤดูร้อนยังพอว่าไปอย่าง!” เขาพูดพลางถอนหายใจ “ฤดูเก็บเกี่ยวของปีนี้ ถึงจะเป็นฤดูร้อนแล้วยังไงหล่ะ ฝนไม่ตก มันแล้งมาตั้งนานแล้ว...”

ซูจิ่วเย่ว์พูดปลอบใจเธอว่า “แม่คะ รอบนี้หิมะตกหนักแล้วไม่ใช่หรือ? เดี๋ยวถึงฤดูใบไม้ผลิก็ดีขึ้นเอง”

หลิวซุ่ยฮวาขมวดคิ้วและพยักหน้า “แต่ไอ้หน่อกระเทียมนี้จะทำยังไงดีหล่ะ? หรือจะให้ซีหยวนรอไปก่อน?”

มันก็คงต้องรออยู่แล้วหล่ะ ปัญหาอยู่ที่ว่าจะต้องรออีกนานแค่ไหน เพราะสุดท้ายแล้วตอนนี้ไม่มีที่ไหนขายหน่อกระเทียมเลยสักที่

เธอบอกความคิดที่เก็บอยู่ในใจของตนออกมาให้เขาฟัง “แม่คะ ฉันซื้อต้นกระเทียมมานิดหน่อย พวกเราลองมาปลูกเองกันเถอะ”

หลิวซุ่ยฮวาขมวดคิ้ว “เจ้าเด็กคนนี้พูดจาเพ้อเจ้ออะไร? ข้างนอกหิมะตกหนักขนาดนี้ ต้นกระเทียมมันจะไปออกหน่อได้ยังไงหล่ะ?”

คำพูดเหล่านี้ฟังดูเหมือนยังมีความเกรงใจอยู่บ้าง เราต่างก็เป็นชาวไร่ชาวนา โตขนาดนี้แล้วแม้แต่ความรู้พื้นฐานทั่วไปทำไมยังไม่รู้อีก

ซูจิ่วเย่ว์รู้สึกว่าคำพูดของเธอไม่ค่อยชัดเจนสักเท่าไรนัก จึงรีบอธิบายต่อไปว่า “แม่ ฉันไม่ได้หมายความว่าจะเอาไปปลูกลงดิน บ้านของเราอากาศอบอุ่นอยู่แล้วไม่ใช่หรือ? กลางวันมีเตาผิง กลางคืนก็มีเตียงเตา ฉันเลยคิดว่ามันจะดีกว่าถ้าเราเอามาปลูกลงในกระถาง เจ็ดวันมันก็งอกแล้ว เดือนกว่าๆ เราก็จะได้หน่อกระเทียมกัน”

หลิวซุ่ยฮวาจ้องมองแววตาอันเป็นประกายของเธอ ในใจครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้ของเรื่องนี้

คิดไปคิดมา แค่ต้นกระเทียมไม่กี่ต้น ให้เขาลองดูก็ไม่เสียหาย ถ้ามันปลูกขึ้นได้จริงๆ ก็ดี แต่ถ้าปลูกไม่ขึ้น ซีหยวนเองรอมานานครึ่งปีกว่าแล้ว ให้รอต่อไปอีกสักเดือนสองเดือนไม่น่าจะเป็นอะไร

ดังนั้นจึงพูดขึ้นว่า “งั้นเธอก็ลองทำดูแล้วกัน ปลูกขึ้นไม่ขึ้นค่อยว่ากัน ลองดูก็ไม่เสียหาย เออจริงสิ คุณหมอหวงได้บอกไหมว่าถ้ากระตุ้นตัวยาออกมาไม่ได้จะต้องทำยังไง?”

“เขาบอกว่างั้นคงให้กินยาตามเดิมไปก่อน ยาที่ฉันนำมาสามสิบชั่งล้วนแต่เป็นยาตัวเดิมทั้งนั้น รอให้พวกเราหาหน่อกระเทียมได้แล้วค่อยไปรับยาเพิ่มก็ยังไม่สาย” ซูจิ่วเย่ว์ตอบกลับไปเช่นนั้น

พอออกจากห้องของหลิวซุ่ยฮวาแล้ว ซูจิ่วเย่ว์จึงนำเอาฮวาเจียวที่ซื้อมาไปเก็บไว้ในห้องครัว

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ภรรยานำโชคของเสนาบดี