ภรรยานำโชคของเสนาบดี นิยาย บท 78

“สบายดีก็ดีแล้ว เช่นนั้นข้าจะไม่รบเร้าให้เจ้ากลับบ้านอีก” ซูจิ่วเย่ว์ตอบ

หยางหลิ่วหัวเราะ “เจ้านี้เป็นคนน่าสนใจเหมือนกันนะ ไม่เสียเที่ยวที่ข้าตั้งใจมานั่งดื่มชากับเจ้า”

ทั้งสองมีท่าทางทำตัวไม่ถูก ซูจิ่วเย่ว์เองก็ไม่มีอะไรจะพูดคุยกับนาง แต่หยางหลิ่วยังคงนั่งตรงหน้านาง และไม่มีวี่แววว่าว่าจะลุกไปไหน

“แล้วเจ้าทำอะไรที่นี่หล่ะ?” ซูจิ่วเย่ว์ไม่อยากให้บรรยากาศของทั้งคู่ดูอึดอัดมากจนเกินไป จึงหาเรื่องคุยเพื่อทำลายความเงียบ

รอยยิ้มบนใบหน้าของหยางหลิ่วจางหายไป แต่ไม่นานนักนางก็กลับมาทำตัวเหมือนเดิม

“ข้าแต่งงานแล้ว ตอนนี้เลยไม่ได้ทำอะไรเลย ได้ทางฝ่ายชายเลี้ยงดู” นางพูดพลาง หยิบถ้วยชาหยาบๆ ยกขึ้นจิบไปพลาง

ใบชาหยาบๆ พอเข้าสู่ปากของเธอแล้ว ความขมก็กระจายไปทั่วในปากของเธอ

อารมณ์ของนางเริ่มเข้าที่เข้าทางบ้างบ้างแล้ว ส่วนซูจิ่วเย่ว์ที่นั่งอยู่ตรงหน้ากลับรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก เธอเงยหน้าขึ้น และพูดว่า “แต่งงานอย่างนั้นหรือ? นี้เจ้าแต่งงานตั้งแต่เมื่อไรกัน? แล้วเขาดูแลเจ้าดีไหม?”

หยางหลิ่วส่ายหน้า “มีอะไรที่เรียกว่าดีหรือไม่ดีหล่ะ ชีวิตมันไม่ได้ดีอะไรขนาดนั้นอยู่แล้ว”

เมื่อได้ยินนางพูดเช่นนั้น ซูจิ่วเย่ว์จึงไม่รู้ว่าควรจะถามนางต่อไปดีไหม เพราะถึงยังไงพวกนางทั้งสองก็ไม่ได้สนิทกันถึงขนาดสามารถพูดคุยเรื่องพวกนี้ได้

หยางหลิ่วกลับพูดขึ้นก่อนว่า “ข้าจะไม่มายุ่งย่ามกับเจ้าอีกแล้วนะ วันนี้ที่มาพบเจ้า ข้าแค่อยากจะบอกเรื่องที่เกี่ยวกับซีหยวนเท่านั้นเอง”

หยางหลิ่วเคยเป็นอดีตคู่หมั้นของอู๋ซีหยวน แม้ว่าสุดท้ายแล้วเขาทั้งคู่จะไปด้วยกันไม่ได้ แต่เรื่องนี้ก็ยังเป็นปมคาใจของซูจิ่วเย่ว์อยู่ดี

ทันทีที่นางเอ่ยถึงอู๋ซีหยวน คิ้วของนางก็ขมวดเป็นปมขึ้นมา

“เรื่องอะไรหรือ?”

หยางหลิ่วอายุมากกว่านางสองปี พอเห็นท่าทางของนางเช่นนั้น เลยรู้สึกนึกขำในใจไม่ได้

“ข้ารู้ดีว่าในใจของเจ้าคิดอะไรอยู่ แต่ตอนนี้คนที่ใช้ชีวิตอยู่ชายคาเดียวกันกับซีหยวนก็คือเจ้า แล้วเจ้ายังจะมีเรื่องอะไรต้องกังวลอยู่อีกหล่ะ?”

ซูจิ่วเย่ว์เม้มปาก และไม่ได้พูดอะไร

หยางหลิ่วพูดต่อไปว่า “อันที่จริงแล้วข้าเองก็ไม่ใช่ว่าแต่งงานหรอกนะ ข้าเป็นอนุภรรยาลำดับที่เจ็ดของผู้อาวุโสชุย แม้ว่าชีวิตจะอยู่ดีมีสุข แต่ในความเป็นจริงแล้วมันก็ไม่ได้ดีอะไรขนาดนั้น”

นางเล่าเรื่องราวที่ไม่น่าเปิดเผยออกมาเช่นนี้ ทำให้ซูจิ่วเย่ว์รู้สึกประหลาดอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน “เจ้า...”

นางอ้าปากค้าง และไม่รู้ว่าจะตัดสินคนอื่นอย่างไรดี

ทั้งหมดนี้เป็นทางที่หยางหลิ่วเลือกเอง ลูกสาวคนที่สองของผู้อาวุโสชุยยังอายุเยอะกว่านางเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นผู้อาวุโสชุยต้องอายุไม่น้อยแล้วแน่นอน

หยางหลิ่วพึ่งจะอายุได้เพียงสิบห้าสิบหกปีเท่านั้น กลับต้องติดตามชายที่อาวุโสขนาดนี้ ชั่วชีวิตนี้ของนางคงพังทลายไปหมดแล้ว

เมื่อเห็นเช่นนั้น สายตาที่นางมองหยางหลิ่วจึงเต็มไปด้วยความสงสาร

หยางหลิ่วขัดจังหวะนาง “อย่าใช้สายตาเช่นนี้มองข้า ข้ารู้สึกว่าตอนนี้ข้ามีความสุขดี ไม่ต้องลำบากเหมือนอย่างที่ผ่านมาอีกแล้ว อยู่ดีกินดี แถมยังมีคนคอยปรนนิบัติรับใช้อีกด้วย แบบนี้มันไม่ดีตรงไหนหล่ะ?”

ราวกับว่านางกำลังพูดโน้มน้าวความรู้สึกของซูจิ่วเย่ว์ และในขณะเดียวกันก็เป็นการโน้มน้าวความรู้สึกของตัวเองด้วยเช่นกัน

หลังจากพูดจบ นางก็หยุดไปครู่หนึ่ง “ไม่พูดเรื่องของข้าแล้วหล่ะ ข้าแค่อยากจะบอกเจ้าว่า เรื่องในอดีตที่เกิดขึ้นกับซีหยวน มันอาจจะเกี่ยวข้องกับคุณหนูรองของตระกูลชุยก็เป็นได้”

ซูจิ่วเย่ว์ตกใจไปชั่วขณะ และรีบเงยหน้าจ้องมองสายตาของนาง “จริงหรือ? มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”

นางหวนนึกถึงท่าทางของอู๋ซีหยวนที่ใช้มือกุมขมับด้วยความเจ็บปวดในตอนนั้น เขาบอกว่าเขาเคยเจอกับเป่าจูคนข้างกายของคุณหนูรองตระกูลชุย แถมยังบอกอีกว่าเก็บป้ายหยกอะไรได้สักอย่าง?

เรื่องทั้งหมดที่พูดมานี้เป็นเรื่องจริงอย่างนั้นหรือ?

นางเป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ยังเก็บความรู้สึกไม่เป็น สีหน้าของนางจึงเผยให้เห็นถึงความเป็นกังวลออกมา

อันที่จริงแล้วหยางหลิ่วก็อายุเยอะกว่านางไม่เท่าไร ในเวลานี้นางแสร้งทำเป็นถอนหายใจราวกับผู้ใหญ่

“ราวๆ สี่ห้าวันก่อน ข้าเดินเล่นอยู่ในสวนของคฤหาสน์ตระกูลชุย บังเอิญได้ยินว่ามีคนพูดคุยกันอยู่แถวภูเขาเทียมในสวน” หยางหลิ่วค่อยๆ เล่าต่อ

“เดิมทีข้าเองก็ไม่ได้คิดอยากจะฟังหรอกนะ แค่จะเดินผ่านไปก็เท่านั้น แต่ได้ยินพวกเขาเอ่ยถึงชื่อของซีหยวนขึ้นมา”

สี่ห้าวันก่อน เป็นวันที่พวกเขามาคฤหาสน์ตระกูลชุยเพื่อมอบผ้าเช็ดหน้านั่นเอง

“เสียงที่ข้าได้ยินเหมือนกับเสียงของเป่าจูคนข้างกายของคุณหนูรองตระกูลชุย นางบอกว่านางเจออู๋ซีหยวนที่หน้าประตู คนซื่อบื้อที่ถูกคุณหนูรองทำร้ายจนหัวแตกคนนั้น”

“คุณหนูรองหรือ? คนซื่อบื้อที่ถูกตีจนหัวแตก? ข้าว่าคุณหนูรองตระกูลชุยเป็นผู้หญิงอ่อนหวานเรียบร้อยจะตายไป จะลงมือโหดเหี้ยมเช่นนั้นได้อย่างไรกัน?” ซูจิ่วเย่ว์เอ่ยถาม

หยางหลิ่วพูดจนรู้สึกกระหายน้ำ มือทั้งสองจึงยกถ้วยชาใบใหญ่ขึ้นมาซดหนึ่งอึก จากนั้นจึงจ้องมองนางพร้อมกับพูดว่า “คิดว่าคนอื่นจะเหมือนเจ้าอย่างนั้นหรือ? บอบบางราวกับดอกไม้สีขาว? ข้าจะบอกอะไรให้ฮูหยินในครอบครัวตระกูลใหญ่ร่ำรวยพวกนั้น เมื่อเทียบกับสัตว์ร้ายในป่าแล้ว พวกนางยังดูโหดร้ายทารุณกว่า เรียกว่า กินคนไม่คายกระดูกเลยด้วยซ้ำไป!”

สีหน้าของนางดูดุดันขึงขังมาก จนทำให้ซูจิ่วเย่ว์รู้สึกตกใจกลัว แต่พอมองดีดี กลับเห็นน้ำตาไหลออกมาจากตาคู่นั้นของนาง

ซูจิ่วเย่ว์เผลอถามออกไปว่า “พวกนางรังแกเจ้าหรือ?”

หยางหลิ่วขมวดคิ้วราวกับกำลังหวนนึกถึงความทรงจำ จากนั้นจึงหลับตาลงด้วยความเจ็บปวด และลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง แววตาคู่นั้นเริ่มแดงก่ำ “วันที่สองที่ข้าเข้าไปอยู่ในบ้านหลังนั้น พวกนางบังคับให้ข้าคุกเข่าลงต่อหน้าของฮูหยินชุย และกรอกยาสลายการตั้งครรภ์ให้ข้าต่อหน้าผู้หญิงอีกหลายคน”

ยาสลายการตั้งครรภ์?!

ซูจิ่วเย่ว์ตกใจจนถลึงตาโต ในโลกอันบริสุทธิ์ของนาง นางไม่เคยแม้แต่จะคิดด้วยซ้ำว่าในโลกใบนี้จะมีใครที่ทำเรื่องเลวร้ายได้มากถึงเพียงนี้

ชั่วชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่ง สตรีที่ยังไม่ออกเรือนให้เชื่อฟังบิดา สตรีที่ออกเรือนแล้วให้เชื่อฟังสามี และสตรีที่สามีเสียชีวิตไปแล้วให้เชื่อฟังบุตรชาย

นางแต่งงานไปกับผู้ชายที่อายุมากขนาดนั้น ถ้าไม่มีลูกสักคน แล้วชั่วชีวิตนี้จะยังมีความหวังอะไรหลงเหลืออยู่อีกเล่า?

“เจ้า....ไม่ได้บอกเรื่องนี้กับผู้อาวุโสชุยอย่างนั้นหรือ?”

เมื่อหยางหลิ่วได้ยินเช่นนี้ ยิ่งรู้สึกลำบากใจเข้าไปใหญ่ “เขาโกรธแล้วจะทำอะไรได้หล่ะ? ฮูหยินชุยให้กำเนิดบุตรชายแก่เขาถึงสองคน ในสายตาเขา ข้าเป็นเพียงแค่ของเล่นชิ้นหนึ่งก็เท่านั้น ไม่มีทางที่เขาจะยอมแตกคอกับฮูหยินชุยเพื่อข้าได้หรอก”

ในเวลานี้ซูจิ่วเย่ว์รู้สึกเสียใจที่ไม่รู้จะพูดปลอบใจนางยังไงดี

“แล้วต่อจากนี้เจ้าจะทำยังไงต่อ?”

“เรื่องมันจวนตัว คงทำได้เพียงค่อยเป็นค่อยไปก็เท่านั้น!”

ซูจิ่วเย่ว์หยิบของสิ่งหนึ่งออกมาจากกระเป๋าของนาง จากนั้นจึงยื่นผ้าเช็ดหน้าให้นางหนึ่งผืน

“ข้าไม่มีสิ่งของดีดีที่จะมอบให้ นี้เป็นผ้าเช็ดหน้าที่ข้าปักเองกับมือ ยังไม่เคยใช้มาก่อน เจ้ารับไว้เถอะ แทนคำขอบใจที่เจ้านำข้อมูลมาบอกข้าก็แล้วกัน”

หยางหลิ่วไม่ปฏิเสธ นางได้ยินมาว่าวันนั้นซูจิ่วเย่ว์นำผ้าเช็ดหน้ามามอบให้กับคุณหนูตระกูลชุย เมื่อได้เห็นของจริงแล้ว ฝีมือของนางไม่เลวจริงๆ ด้วย

นางรับมาและมองดูลูกเชอร์รี่สีสันสดใสที่ปักอยู่บนผ้าเช็ดหน้าผืนนั้น นางอดชื่นชอบไม่ได้ จนถึงขนาดใช้มือลูบอยู่สองสามครั้ง จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นพร้อมกับกล่าวเตือนนางเป็นครั้งสุดท้ายว่า “คุณหนูรองตระกูลชุยผู้นี้เป็นคนใจกล้ามาก ต่อให้ซีหยวนจะดีกับพวกเรามากแค่ไหน เกรงว่านางคงไม่สนใจ ข้าได้ยินมาว่า พี่ชายของนางเป็นผู้รับใช้ข้างกายของท่านอ๋องเยี่ยน ท่านอ๋องเยี่ยนมีแผนจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับแขกในวันส่งท้ายปีเก่า เพื่อที่จะได้ไปเข้าร่วมงานนั้น นางพูดเกลี้ยกล่อมพี่ชายนางอยู่นานหลายวันเลยหล่ะ”

จริงๆ นางเองก็คาดเดาอยู่ในใจเหมือนกัน เพียงแค่ไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดก็เท่านั้นเอง

เป็นเพราะว่าซูจิ่วเย่ว์มอบผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ให้นาง นางจึงยอมพูดเรื่องเหล่านี้ออกมา นับว่าเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีได้เหมือนกัน

ซูจิ่วเย่ว์เองเป็นคนฉลาด และเธอพึ่งได้พบกับท่านอ๋องเยี่ยนไปเมื่อไม่นานมานี้

ท่านอ๋องเยี่ยนอายุยังน้อยขนาดนั้น แต่กลับมีความทะเยอทะยานเช่นนี้ หากคิดอยากจะรู้เบื้องหลังของเขา มันคงไม่ใช่เรื่องยากนักหรอก

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ภรรยานำโชคของเสนาบดี