“ว่าแต่เธอชื่ออะไร” วายุถามขึ้นหลังจากที่เขารู้สึกว่าตัวเองต้องการรู้จักผู้หญิงคนนี้ให้มากกว่านี้
“หนูชื่อยี่หวาค่ะ แล้วพี่ล่ะคะชื่ออะไร”
“ฉันวายุ”
“งั้นหนูขอเรียกว่าพี่วายุได้ไหม” ยี่หวาถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้คุยกับคนแปลกหน้าอย่างจริงจัง
“ตามสบายเลย” ถ้าเป็นผู้หญิงคนนี้ จะเรียกเขาว่าอะไรก็ย่อมได้ทั้งนั้น เพราะเธอเป็นถึงผู้มีพระคุณของเขา อีกอย่างอายุเธอกับเขาน่าจะห่างกันเกือบสิบปี เธอไม่เรียกเขาว่าลุงก็ดีขนาดไหนแล้ว
“ถ้าเกิดว่าพี่วายุรู้สึกดีขึ้นมากแล้ว รีบโทรบอกให้คนที่บ้านมารับเถอะนะคะ” ยี่หวาเอ่ยขึ้นอย่างไม่ได้ใส่ใจนัก ก่อนจะนึกขึ้นได้ก็รีบพูดขึ้นด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลนอีกครั้ง “เอ่อ...หนูไม่ได้ตั้งใจที่จะไล่พี่นะ แต่ตอนนี้ดึกมากแล้วจริงๆ”
วายุขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถามขึ้นว่า “ตอนนี้กี่โมง”
“สองทุ่มกว่าแล้วค่ะ”
“หืม?”
คงเป็นเพราะห้องนี้เป็นห้องปิดตายไม่มีแม้แต่แสงไฟใดๆ ทำให้ชายหนุ่มคิดไม่ถึงว่าเวลาตอนนี้จะดึกมากแล้วอย่างที่เธอบอกจริงๆ เขาเลยรีบหยิบโทรศัพท์เธอแล้วกดเบอร์โทรหาน้องชายทันที
“ฉันเอง หาสัญญาณจากเครื่องนี้” วายุเขาพูดจบก็กดวางสายทันที โดยที่ไม่รอให้อีกฝ่ายได้พูดตอบกลับอะไรเลย จากนั้นก็หันมาคุยกับหญิงสาวต่อ “ป่านนี้ที่บ้านเธอจะไม่เป็นห่วงแย่เหรอ”
ยี่หวาพึมพำออกมาเบาๆ “ถ้าพวกเขาเป็นห่วงจริงๆ ก็ดีสิ” แต่พอเห็นว่าชายหนุ่มทำหน้าสงสัย ก็เลยไอกลบเกลื่อนสองทีก่อนจะพูดเสียงดังว่า “ไม่มีอะไรค่ะ ถ้าพี่กลับไปก็อย่าลืมไปหาหมออีกทีนะคะ เพราะบางทีอาจจะมีเชื้อโรคหลงเหลืออยู่ก็ได้”
“โอเค เดี๋ยวฉันไปส่งเธอที่บ้าน”
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวหนูเดินกลับเองได้ บ้านหนูห่างจากที่นี่นิดเดียวจริงๆ ค่ะ” เพราะถ้าคนที่บ้านเห็นว่ามีคนมาส่งเธอที่หน้าบ้าน มีหวังเธอได้โดนไล่ออกจากบ้านอีกแน่เลย ยิ่งวันนี้เธอไม่ได้ไปโรงเรียนด้วย ไม่รู้ว่าน้องสาวจะฟ้องคนที่บ้านแล้วหรือเปล่า
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้หญิงคนนี้คือหม่ามี๊ของผม