ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล นิยาย บท 1463

ตอนที่ 1463 การประชุมหมื่นเผ่าพันธุ์

มีการคาดเดากันไปต่างๆ นานาเกี่ยวกับการประชุมหมื่นเผ่าพันธุ์ บางคนคิดว่าเป็นการทำเพื่อต้องการเล่นงานหลี่ชิเย่ และมีบางคนคิดว่าเป็นตัดสินใจเรื่องผู้ที่จะเข้ารับการคัดเลือกเป็นเทพเจ้าแห่งทะเล เพื่อป้องกันไม่ให้มีการสูญเสียและโหดร้ายเกินไป
ความจริงแล้ว เรื่องเช่นนี้ได้เคยเกิดขึ้นมาก่อน แดนวิญญาณสวรรค์เคยอาศัยการประชุมหมื่นเผ่าพันธุ์มากำหนดผู้ที่จะเข้ารับการคัดเลือกเป็นราชันเซียน ซึ่งทำให้เผ่าวิญญาณเทพ กระทั่งเผ่าปีศาจทะเล และเผ่าพฤกษาของแดนวิญญาณสวรรค์มีความสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ร่วมกันต่อต้านกับผู้เข้ารับการคัดเลือกเป็นราชันเซียนจากอีกแปดแดน เพื่อบรรลุถึงเป้าหมายให้ผู้รับการคัดเลือกราชันเซียนของแดนวิญญาณสวรรค์สามารถก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งราชันเซียนได้
สำหรับการกำหนดผู้รับการคัดเลือกเป็นเทพเจ้าแห่งทะเล เพื่อป้องกันการสูญเสียและทารุณโหดร้ายเกินไป ในการประชุมหมื่นเผ่าพันธุ์ครั้งสุดท้ายที่ผ่านมาก็คือ หลังจากที่เจ้ายุทธจักรราชันปูได้สถาปนาฐานะของเขาอย่างมั่นคงแล้ว ผ่านการประชุมหมื่นเผ่าพันธุ์ช่วยกวาดล้างสิ่งกีดขวางบนเส้นทางการก้าวสู่ตำแหน่งเทพเจ้าแห่งทะเลจนราบเรียบ
เวลานี้ เผ่าปีศาจทะเลมีโอรสสวรรค์ปกสมุทร ราชินีเทพเจ็ดสมุทร และเทพธิดาเจินหวู่สามคนที่มีโอกาสเป็นเทพเจ้าแห่งทะเลมากที่สุด เกรงว่าเผ่าปีศาจทะเลก็คาดหวังอาศัยการประชุมเช่นนี้วางตัวผู้ที่จะรับการคัดเลือกเป็นเทพเจ้าแห่งทะเล
ในบรรดาพวกเขาสามคนนั้น แน่นอนที่สุดเทพธิดาเจินหวู่มีโอกาสได้เป็นเทพเจ้าแห่งทะเลมากที่สุด แต่ว่า โอรสสวรรค์ปกสมุทร กับราชินีเทพเจ็ดสมุทรก็ไม่ด้อยกว่ากัน โดยเฉพาะโอรสสวรรค์ปกสมุทรมีจักรพรรดิหอยสังข์คอยสนับสนุนอยู่
ขณะที่จักรพรรดิหอยสังข์เป็นบุตรของเทพเจ้าแห่งทะเล นับรุ่นอาวุโสแล้วถือว่ามีความเก่าแก่โบราณมาก เรียกได้ว่าห่างไกลกว่าบรรดาบุตรธิดาเทพเจ้าแห่งทะเลอื่นๆ อยู่มากทีเดียว!
แต่ว่า มีบางคนเข้าใจว่า การจัดประชุมหมื่นเผ่าพันธุ์ขึ้นในครั้งนี้เป็นเพราะต้องการสมุนไพรอายุวัฒนะที่อยู่ในตำนาน เนื่องจากการประชุมในครั้งนี้จัดขึ้นอย่างกะทันหันมากเกินไป อีกทั้งยังเป็นการจัดขึ้นที่เมืองต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย ดังนั้น หลายคนจึงเข้าใจว่า การจัดการประชุมหมื่นเผ่าพันธุ์ในครั้งนี้ก็เพื่อให้สำนัก และบุคคลที่มีความแข็งแกร่งต่างๆ ร่วมมือกันชิงเอาสมุนไพรเซียนที่อยู่ในตำนานมาให้ได้
การประชุมหมื่นเผ่าพันธุ์ถูกจัดขึ้นที่เมืองต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ โดยที่ทางผู้จัดการประชุมหมื่นเผ่าพันธุ์ได้ขอหยิบยืมสถานที่ที่กว้างขวางใหญ่โตมากจากมนุษย์ต้นไม้เพื่อใช้เป็นสถานที่จัดประชุม อีกทั้งการจัดการประชุมในครั้งนี้ได้ให้อตีตอำมาตย์ของเทพเจ้าแห่งทะเลมาเป็นผู้รักษาความสงบ ป้องกันผู้ที่จะมาก่อกวน หรือเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น
“อดีตอำมาตย์เทพเจ้าแห่งทะเลมาเป็นผู้รักษาความสงบในงานประชุมหมื่นเผ่าพันธุ์?” หลายคนรู้สึกตกใจเมื่อได้ยินว่ามีการมอบหมายให้อดีตอำมาตย์เทพเจ้าแห่งทะเลมาเป็นผู้รักษาความสงบในงานประชุมหมื่นเผ่าพันธุ์ครั้งนี้ เป็นการบ่งบอกว่าการประชุมหมื่นเผ่าพันธุ์ในครั้งนี้มีมาตรฐานสูงมาก ใครก็ตามหากคิดจะมาก่อกวนต้องได้รับการดำเนินการที่หนักหน่วงแน่นอน
อดีตอำมาตย์เทพเจ้าแห่งทะเลหมายถึง อำมาตย์ผู้เคยปฏิบัติงานรับใช้อดีตเทพเจ้าแห่งทะเลมาก่อน ผู้ดำรงอยู่ในฐานะเช่นนี้ในแดนวิญญาณสวรรค์นับเป็นผู้ทรงอิทธิพลในระดับหนึ่ง
เวลานี้ มอบหมายให้อดีตอำมาตย์เทพเจ้าแห่งทะเลมาเป็นผู้รักษาความสงบงานประชุมหมื่นเผ่าพันธุ์ เป็นการบ่งบอกว่าการประชุมหมื่นเผ่าพันธุ์ครั้งนี้มีความเข้มงวดมาก ใครก็ตามหากคิดจะก่อกวน ต้องประมินตัวเองให้ดีเสียก่อน
วันนี้ การประชุมหมื่นเผ่าพันธุ์ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ผู้บำเพ็ญตนจำนวนมากทยอยกันเดินทางเข้าไปยังสถานที่ประชุมที่สร้างขึ้นมาชั่วคราว แม้ว่าผู้ที่สามารถตัดสินใจขั้นสุดท้ายในมติต่างๆ ล้วนแล้วแต่ขึ้นอยู่กับสำนักที่เป็นผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้น แต่ การประชุมในลักษณะเช่นนี้ สำนักหรือยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนที่พอจะมีชื่อชั้นอยู่บ้างก็จะมีคุณสมบัติพอที่จะเข้าร่วมงานประชุมหมื่นเผ่าพันธุ์ได้
ดังนั้น ในเวลานี้สถานที่จัดการประชุมจึงคลาคล่ำไปด้วยผู้คนจำนวนมาก ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนนับไม่ถ้วนได้เข้าไปยังที่ประชุม ประกอบด้วยผู้บำเพ็ญตนเผ่าวิญญาณเทพ เผ่าปีศาจทะเล เผ่าพฤกษา เผ่ามนุษย์ เผ่าปีศาจ เผ่ามนุษย์ศิลา เผ่าโลหิต…ต่างๆ ที่เป็นผู้บำเพ็ญตนเผ่าพันธุ์เล็กๆ
แม้ว่าสถานที่จัดการประชุมจึงคลาคล่ำไปด้วยผู้คนจำนวนมากก็จริง แต่ทั่วทั้งงานกลับเป็นไปด้วยความเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่มีความสับสนวุ่นวายแม้แต่น้อย ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนที่เข้ามาร่วมงานต่างเข้านั่งประจำที่ของตนตามตำแหน่งฐานะที่จัดเอาไว้ ไม่มีใครกล้าทำอะไรบุ่มบ่าม
จะอย่างไรเสีย การประชุมในครั้งนี้ดำเนินการโดยอดีตอำมาตย์เทพเจ้าแห่งทะเล จึงไม่มีใครกล้าทำอะไรบุ่มบ่าม มิฉะนั้นล่ะก็อาจถูกสังหารได้ในทันที
“ตูม ตูม ตูม…” ขณะที่ผู้คนจำนวนมากกำลังเข้านั่งประจำที่อยู่นั้น ปรากฏเสียงดังตูมตามดังขึ้น เสียงรถม้าที่บดขยี้ท้องฟ้าจนฟ้าดินสั่นไหว
เพียงชั่วพริบตาเดียว รถม้าสองคันวิ่งตีคู่เข้าไปในที่ประชุมทันที ทุกคนที่อยู่ในสถานที่ประชุมต่างถูกกลิ่นอายที่เปล่งออกมาจากรถม้าสองคันสยบจนแทบหายใจไม่ออก
“เมิ่งเจิ้นเทียนและองค์ชายแห่งความชั่วร้ายมาถึงแล้ว” มีผู้ร้องออกมาเมื่อเห็นรถม้าสองคันนี้
เมิ่งเจิ้นเทียนนั่งอยู่บนรถม้า บนตัวของเขายังคงแผ่กลิ่นอายที่สามารถสยบเหล่าชั้นฟ้าออกมา บนตัวของเขาปรากฏเป็นวงแหวนศักดิ์สิทธิ์แต่ละวงที่ขยายตัวออกมา ทุกๆ วงแหวนศักดิ์สิทธิ์ล้วนแล้วแต่ทำให้ผู้คนรู้สึกหายใจไม่ออกทั้งสิ้น
รถม้าของเขายังคงอาศัยหงส์ทองตัวหนึ่งคอยลากรถให้ โดยยังคงเป็นบรรพบุรุษเฒ่าอัคคีคนเดิม
สำหรับองค์ชายแห่งความชั่วร้ายนั้น รถม้าที่เข้าโดยสารมานั้น ตัวรถมีสีดำดั่งหมึกทั้งคัน เหมือนหล่อขึ้นมาจากโลหะนิลที่เก่าแก่โบราณมาก แผ่กลิ่นอายที่เยือกเย็นทิ่มแทงเข้ากระดูกได้อย่างนั้น
แม้ว่าองค์ชายแห่งความชั่วร้ายจะมีชื่อเสียงโด่งดังมานานมาก แม้ว่าเขาจะมาเป็นบุคคลระดับผู้ยิ่งใหญ่ชั้นดึกดำบรรพ์ แต่ทว่า เขากลับแลดูเป็นหนุ่มมาก บนศีรษะสวมมงกุฎสีดำ เหนือศีรษะปรากฏสวรรค์สาดส่องที่สีดำสนิทยิ่งลอยเด๋นอยู่ สวรรค์สาดส่องของเขาคล้ายดั่งเป็นหุบแหวที่ลึกนับหมื่นจ้างอย่างนั้น เหมือนว่าใครก็ตามหากจ้องมองไปที่สวรรค์สาดส่องของเขาแล้วก็จะร่วงหล่นลงไปในหุบเหวลึกนับหมื่นจ้างไม่สามารถกลับขึ้นมาได้อีก ต้องหายสาบสูญไปตลอดกาล
เนื่องเพราะสาเหตุนี้เอง ผู้คนจำนวนมากล้วนแล้วแต่ไม่กล้าจ้องมองไปยังองค์ชายแห่งความชั่วร้าย ด้วยสวรรค์สาดส่องของเขานั้นน่ากลัวเหลือเกิน หลายคนที่มองไปแวบหนึ่งถึงกับเข่าอ่อนไม่สามารถทรงตัวลุกขึ้นยืนได้อีก
หลังจากที่องค์ชายแห่งความชั่วร้าย และเมิ่งเจิ้นเทียนมาถึงแล้ว พวกเขาได้แยกย้ายขึ้นไปนั่งยังพลับพลาของตนเอง
สถานที่ประชุมถูกจัดให้เป็นลักษณะของรูปพัด โดยด้านหน้าของรูปพัดมีการจัดวางตำแหน่งดังนี้ : ด้านหน้าสุดมีบัลลังก์กษัตริย์สามตัวลอยอยู่กลางอากาศ โดยที่ที่นั่งทั้งสามนี้มีไว้สำหรับเทพเจ้าแห่งทะเล ปรมาจารย์พฤกษา และราชันเซียน แน่นอนที่สุด วันนี้คงไม่มีราชันเซียน เทพเจ้าแห่งทะเลมาร่วมประชุมด้วย การจัดที่นั่งในลักษณะเช่นนี้ถือเป็นการแสดงคารวะต่อราชันเซียน เทพเจ้าแห่งทะเล และปรมาจารย์พฤกษาของแดนวิญญาณสวรรค์เท่านั้น
ด้านหน้าของบัลลังก์สำหรับกษัตริย์สามตัวลดระดับลงมาขั้นหนึ่ง จะเป็นพลับพลาแต่ละหลังที่ห้อยลอยอยู่กลางอากาศ โดยที่พลับพลาแต่ละหลังเชื่อมถึงกันได้ กลายเป็นเหมือนดั่งตำหนักขนาดยักษ์ขึ้นมา ซึ่งพลับพลาลักษณะเช่นนี้มีเพียงยอดฝีมือระดับเมิ่งเจิ้นเทียน องค์ชายแห่งความชั่วร้าย เหล่านี้ที่มีสิทธิ์ได้นั่ง และยอดฝีมือผู้สามารถเข้านั่งประจำที่ในพลับพลาเหล่านี้ได้ ก็จะเป็นผู้มีสิทธิ์ตัดสินชี้ขาดมติในการประชุมหมื่นเผ่าพันธุ์ในครั้งนี้
ถัดมาก็จะเป็นที่นั่งที่ถูกจัดวางเอาไว้กับพื้นเป็นแถวเป็นแนว สำหรับให้ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนที่มาจากทั่วทุกสารทิศได้นั่ง
ขณะที่องค์ชายแห่งความชั่วร้ายและเมิ่งเจิ้นเทียนเพิ่งจะมาถึง ปรากฎชายหนุ่มวัยกลางคนเหินฟ้าเข้ามาคนหนึ่ง ขณะที่เขาปรากฏตัวนั้น บนท้องฟ้าถึงกับมีต้นไม้ที่สูงเทียมฟ้างอกผุดขึ้นมา ใบไม้สีเขียวอ่อนจำนวนนับไม่ถ้วนที่ปลิวลงมาจากท้องฟ้า พลันทำให้บังเกิดความมีชีวิตชีวาขึ้นทั่วทั้งสถานที่ประชุม
ชายหนุ่มวัยกลางคนผู้นี้คือจักรพรรดิลู่นั่นเอง เขาไม่เก็บงำลมปราณของตนเองแม้แต่น้อย ไม่เก็บงำพลังของตน ปล่อยให้เกิดเป็นปรากฎการณ์ประหลาดต่างๆ อวดตนให้คนอื่นรับรู้ไปทั่ว
ผู้คนจำนวนไม่น้อยต่างตื่นตระหนกกับท่าทีที่อวดตนเช่นนี้ก้าวเข้าไปยังที่ประชุม จะอย่างไรเสีย วันนี้มีบุคคลระดับที่ไม่ธรรมดาอยู่ในงานเป็นจำนวนมาก จักรพรรดิลู่ที่เป็นระดับไร้ชื่อไร้เสียงกลับกล้าอวดตนถึงเพียงนี้ นับเป็นเรื่องเหลือเชื่อจริงๆ
แต่ทว่า เรื่องที่เหนือความคาดคิดได้ปรากฏตามมา จักรพรรดิลู่ภายใต้การนำของอดีตอำมาตย์เทพเจ้าแห่งทะเลผู้หนึ่งถึงกับขึ้นนั่งบนพลับพลาหลังหนึ่งเช่นกัน
“เขาเป็นใครกันแน่นะ ถึงกับมีสิทธิ์ได้นั่งบนพลับพลาเช่นเดียวกันกับเมิ่งเจิ้นเทียน และองค์ชายแห่งความชั่วร้ายได้” หลายคนรู้สึกตกใจ เพราะจะอย่างไรเสีย คนที่สามารถนั่งบนพลับพลาได้ล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลที่ได้รับความเคารพสูงสุด และมีสิทธิ์ร่วมตัดสินในมติของที่ประชุมหมื่นเผ่าพันธุ์ บุคคลระดับเช่นนี้ล้วนแล้วแต่เป็นประเภทยโสโอหังยิ่งทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าตกใจอย่างยิ่ง เมื่อจักรพรรดิลู่ที่เป็นชายหนุ่มวัยกลางคนซึ่งไม่มีชื่อเสียงกลับมีสิทธิ์นั่งตรงที่นั่งตรงนั้น ไม่มีใครเดาออกถึงฐานะที่แท้จริงของจักรพรรดิลู่ ต่อให้เป็นระดับอ๋องเทพรุ่นอาวุโสก็รู้สึกว่าจักรพรรดิลู่นี่แปลกหน้าเหลือเกิน
กระทั่งมีผู้ที่มีประสบการณ์มากถึงกับกล้าตบอกให้การรับรองว่า จักรพรรดิลู่ต้องไม่ใช่ผู้ยิ่งใหญ่คนใดคนหนึ่งในอดีตอย่างแน่นอน เขาไม่คุ้นหน้าเลย ต้องไม่ใช่เคยเป็นผู้มีผลงานที่ลือลั่นในอดีตแน่นอน
จักรพรรดิลู่เพิ่งนั่งลงได้ไม่นาน ปรากฏกองกำลังกลุ่มนึ่งเดินเข้ามา กองกำลังนี้มีท่าทียิ่งใหญ่และแข็งแกร่งมาก พลังลมปราณพลุ่งพล่าน ไม่ว่าใครก็ตามแค่มองเห็นแต่ไกล ถึงกับต้องถอนตัวออกห่าง
ผู้ที่เดินนำหน้ากองกำลังกลุ่มนี้เป็นผู้เฒ่าคนหนึ่ง ผู้เฒ่าผู้นี้มีผมเผ้าขาวโพลน ขณะเดินยังมีอาการสั่นเทา เหมือนว่าเดินได้ไม่มั่นคงนัก ผู้เฒ่าผู้นี้ก้าวเดินมาโดยมีโอรสสวรรค์ปกสมุทรคอยประคอง แม้โอรสสวรรค์ปกสมุทรจะเป็นดาวรุ่งที่มีชื่อเสียงโด่งดังแห่งยุค แต่ว่า เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้เฒ่าผู้นี้ดูจะให้ความเคารพยิ่งนัก
ผู้เฒ่าผู้นี้ไม่มีประกายศักดิ์สิทธิ์ที่พลุ่งพล่าน ไม่ได้แผ่สุดยอดอำนาจปราศจากผู้ต่อกรออกมา ด้านหลังของเขาเพียงปรากฏเป็นร่างเงาร่างหนึ่งเท่านั้น เป็นร่างเงาที่เหมือนอยู่ห่างไกลยั่งนัก เหมือนเป็นร่างเงาที่ยืนอยู่บนท้องฟ้าที่คลาคล่ำไปด้วยดวงดาวที่อยู่ไกลโพ้นนั่น แต่ ความจริงก็คือมันได้ยืนอยู่ด้านหลังของผู้เฒ่าผู้นี้เท่านั้นเอง
ด้วยร่างเงาที่ยืนอยู่ด้านหลังนี้แหละ ทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกยำเกรงยิ่งนัก กระทั่งมีปีศาจทะเลที่เห็นร่างเงานี้แต่ไกลก็คุกเข่าลงก้มกราบกับพื้นแล้ว
“บุตรเทพเจ้าแห่งทะเลหอยสังข์มาแล้ว” บุคคลรุ่นอาวุโสเมื่อเห็นผู้เฒ่าผู้นี้ถึงกับกล่าวด้วยท่าทีเคารพนบนอบยิ่ง
ผู้เฒ่าผู้นี้ก็คือจักรพรรดิหอยสังข์นั่นเอง ส่วนร่างเงาที่ยืนอยู่ด้านหลังของเขาคือเทพเจ้าแห่งทะเลหอยสังข์ผู้เป็นบิดาของเขา! ที่ปีศาจทะเลคุกเข่าลงกราบก็คือกราบเทพเจ้าแห่งทะเลหอยสังข์!
หลังจากที่จักรพรรดิหอยสังข์มาถึงแล้ว ถูกนำพาให้ไปนั่งที่พลับพลาหลังหนึ่งเช่นกัน ไม่ว่าจะด้วยฐานะหรือตำแหน่ง เขาย่อมมีสิทธิ์นั่งอยู่ในพลับพลาอยู่แล้ว
กระทั่งการมาถึงของจักรพรรดิหอยสังข์ เมิ่งเจิ้นเทียน องค์ชายแห่งความชั่วร้าย และจักรพรรดิลู่ พวกเขาต่างลุกขึ้นยืนแสดงคารวะ
“คึกครื้นดีเหลือเกิน เห็นทีข้ามาได้เวลาพอดี” ขณะที่จักรพรรดิหอยสังข์เพิ่งจะนั่งลงได้ไม่นาน เสียงหนึ่งที่เอ้อระเหยก็ได้ดังขึ้น
เสียงที่เอ้อระเหยนี้พลันดึงดูดสายตาจำนวนนับไม่ถ้วนที่ทยอยกันหันไปมองยังต้นเสียง
“คนโหดอันดับหนึ่งมาแล้ว” มีผู้ร้องเสียงหลงออกมา เมื่อมองเห็นชายหนุ่มที่แฝงรอยยิ้มบนใบหน้าก้าวเดินเข้ามายังสถานที่จัดประชุม
หลี่ชิเย่ยิ้มนิดหนึ่งแล้วก้าวเดินเข้าไปภายในงาน ขณะที่ปีศาจทะเลที่ทำหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยก็ไม่ได้ขัดขวางการเข้างานของเขา ได้เดินนำหน้าเพื่อพาหลี่ชิเย่ไปบริเวณที่นั่งที่จัดเอาไว้ให้กับผู้บำเพ็ญตนเผ่าพันธุ์มนุษย์โดยเฉพาะ
“นับว่าคนโหดอันดับหนึ่งมีความอหังการเหลือเกิน งานแบบนี้ยังกล้ามาปรากฏตัว” ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นมิตรหรือศัตรูเมื่อเห็นหลี่ชิเย่มาเพียงลำพังคนเดียว ก็ต้องกล่าวด้วยความนับถืออยู่หลายส่วนออกมา
มีข่าวลือกันตั้งแต่ต้นว่า งานประชุมหมื่นเผ่าพันธุ์ที่จัดขึ้นมาครั้งนี้ก็เพื่อเล่นงานหลี่ชิเย่ อีกทั้งงานนี้ดำเนินการโดยเมิ่งเจิ้นเทียน องค์ชายแห่งความชั่วร้าย จักรพรรดิหอยสังข์ที่เป็นสุดยอดฝีมือผู้แข็งแกร่ง เรียกได้ว่าไม่ว่าผู้ใดหากมาที่นี่แล้วก็ต้องถูกสยบแน่นอน
ผู้คนจำนวนมากเข้าใจว่า เมื่อต้องเผชิญหน้ากับศัตรูผู้กล้าแข็งจำนวนมากเช่นนี้ หลี่ชิเย่คงไม่กล้าปรากฏตัว มิฉะนั้นแล้ว มีโอกาสสูงที่จะถูกเมิ่งเจิ้นเทียน องค์ชายแห่งความชั่วร้ายพวกเขาร่วมมือกันสังหารได้
ไม่นึกเลยว่า หลี่ชิเย่กลับมาปรากฏตัว อีกทั้งยังมาเพียงลำพังคนเดียวอีกด้วย!
“แม้รู้ว่าบนเขามีเสือ แต่ยังคงเดินขึ้นเขา ด้วยความกล้าหาญเช่นนี้ กำลังเช่นนี้ นับว่ามีสิทธิ์แย่งชิงตำแหน่งราชันเซียนอย่างแท้จริง” แม้แต่ระดับอ๋องเทพรุ่นอาวุโสของปีศาจทะเลยังต้องยอมรับและกล่าวคำๆ นี้ออกมา

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล