ตอนที่ 1474 จากลา
หลังจากที่พวกของถานไถรว่อหนานจากไปแล้ว หลี่ชิเย่ได้ตามพวกซือหม่ายวี่เจี้ยนมา โดยมีซูหย่งหวงอยู่ด้วย
มองดูพวกซือหม่ายวี่เจี้ยนแล้ว หลี่ชิเย่ได้เขียนจดหมายฉบับหนึ่งขึ้นมา จากนั้นกล่าวกับซือหม่ายวี่เจี้ยนว่า “สิ่งที่ควรจะเรียน เจ้าก็ได้เรียนรู้ไปแล้ว ด้านเคล็ดพิฆาตเทพข้าไม่มีอะไรจะถ่ายทอดให้เจ้าได้อีกแล้ว สิ่งที่เจ้าขาดไปคือความชำนาญและประสบการณ์ สิ่งเหล่านี้ต้องอาศัยตัวเจ้าเองไปสั่งสม”
ครั้นเอ่ยมาถึงตรงนี้ หลี่ชิเย่หยุดนิดหนึ่ง ทอดถอนใจนิดหนึ่ง กล่าวว่า “ในอนาคตเจ้าสามารถก้าวเดินไปได้ไกลเท่าไรนั้น ขึ้นอยู่กับวาสนาของเจ้าเองแล้ว วิถีทางสายนี้ใช่ว่าจะบรรลุสัจธรรมไม่ได้ ไม่ได้หมายความว่าไม่สามารถบรรลุเป็นราชันเซียนได้ นักฆ่าใมได้หมายความว่าต้องหลบๆ ซ่อนๆ ไม่ได้หมายความว่าเป็นพวกนอกรีต…”
“…เคล็ดพิฆาตเทพที่เจ้าฝึกนั้น มันยังคงเป็นสัจธรรมที่น่าเกรงขาม มันยังสามารถมุ่งไปสู่วิถีทางแห่งการเป็นราชันเซียนได้ มันยังคงสามารถเปิดประตูที่ลึกล้ำพิสดารของสัจธรรมได้ ในอนาคตสามารถเปิดประตูบานนี้ได้หรือไม่ สามารถก้าวไปบนถนนที่ราบเรียบและกว้างใหญ่ได้หรือไม่ ยังคงต้องอาศัยตัวของเจ้าเอง ข้อนี้ไม่มีใครสามารถช่วยเจ้าได้”
ซือหม่ายวี่เจี้ยนที่เย็นยะเยือกพยักหน้าเงียบๆ จดจำทุกๆ คำพูดของหลี่ชิเย่เอาไว้มั่น
“การที่จะสำเร็จเป็นราชันเซียนหรือไม่ ไม่ได้ขึ้นอยู่ที่พรสวรรค์เจ้าว่าสูงส่งขนาดไหน และก็ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับว่าสัจธรรมของเจ้านั้นสวยหรูเช่นใด จะได้เป็นราชันเซียนหรือไม่สุดท้ายยังต้องดูที่ตรงนี้” กล่าวพลาง หลี่ชิเย่ชี้ไปที่หัวใจของตน กล่าวว่า “ไม่เปลี่ยนความตั้งใจเดิม ทุกอย่างล้วนมีโอกาสเป็นไปได้”
คำพูดของหลี่ชิเย่ทำให้ซือหม่ายวี่เจี้ยนต้องทำความเข้าใจและซาบซึ้งกับมันอย่างละเอียด นับตั้งแต่นางพ่ายแพ้ให้กับเทพสวรรค์เร่งสัจธรรมซึ่งเป็นศิษย์ผู้น้องของนางแล้ว นางได้ตัดขาดความคิดที่จะเป็นราชันเซียนอีกต่อไป ยิ่งไปกว่านั้น กล่าวสำหรับนางหลังจากที่ได้เป็นนักฆ่าคนหนึ่งแล้ว ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะได้เป็นราชันเซียน จะอย่างไรเสีย การที่นักฆ่าคนหนึ่งจะกลายเป็นราชันเซียน มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว
แต่ทว่า เวลานี้คำพูดของหลี่ชิเย่ทำให้นางต้องขบคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นไปแล้วอย่างละเอียด ทันใดนั้น เหมือนได้เปิดประตูบานใหญ่ให้กับนางอย่างนั้น
“มาจากทางไหนก็ให้กลับไปทางนั้นเถอะ” หลี่ชิเย่มอบจดหมายที่ได้เขียนเสร็จแล้วให้กับซือหม่ายวี่เจี้ยน กล่าวว่า “นำจดหมายฉบับนี้ไปมอบให้กับบรรพบุรุษของเจ้า บอกกับเขาว่าข้าฝากถามสารทุกข์สุขดิบกับเขา”
ซือหม่ายวี่เจี้ยนเก็บจดหมายฉบับนั้นเอาไว้อย่างเงียบๆ นางไม่รู้ว่าหลี่ชิเย่มีความสัมพันธ์อะไรกับกองกำลังราตรีพิฆาตเทพของพวกเขา ตามหลักแล้ว การที่หลี่ชิเย่เชี่ยวชาญเคล็ดพิฆาตเทพของกองกำลังราตรีพิฆาตเทพพวกเขา เขาน่าจะเป็นคนของกองกำลังราตรีพิฆาตเทพจึงจะถูก แต่ทว่า ไม่ว่าจะมองทางด้านใดก็ตาม หลี่ชิเย่ก็ไม่เหมือนเป็นคนของกองกำลังราตรีพิฆาตเทพพวกเขา
สุดท้าย หลี่ชิเย่สะบัดมือมือต่อซือหม่ายวี่เจี้ยน เบาๆ และกล่าวว่า “ไปเถอะ” ซือหม่ายวี่เจี้ยนนิ่งเงียบอยู่พักหนึ่ง เวลานี้นางไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกมา ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับหลี่ชิเย่ช่างพิเศษเหลือเกิน กระทั่งนางยังแยกไม่ออกว่าความสัมพันธ์ระหว่างนางกับหลี่ชิเย่คืออะไร
เดิมทีหลี่ชิเย่คือเป้าหมายที่นางต้องการลอบสังหาร เวลานี้กลับกลายเป็นคนที่แก้ไขข้อสงสัยและถ่ายทอดสัจธรรม แต่ว่า เขาไม่ใช่ผู้อาวุโสของนาง และไม่ใช่ศิษย์ร่วมสำนัก ความสัมพันธ์ที่เป็นอยู่มันคลุมเครือเหลือเกิน
กล่าวสำหรับซือหม่ายวี่เจี้ยนแล้ว หลี่ชิเย่ไม่เพียงเป็นคนแปลกหน้าคนหนึ่งเท่านั้น ทั้งยังเคยเป็นเป้าหมายลอบสังหารของนางอีกด้วย แต่ทว่า ด้วยความสัมพันธ์ลักษณะเช่นนี้ หลี่ชิเย่กลับตั้งใจสั่งสอนและถ่ายทอดให้กับนางจนหมดสิ้น อีกทั้งยังไม่ได้มุ่งหวังอะไรกับตัวนางอีกด้วย
เรื่องราวความสัมพันธ์เช่นนี้หากเกิดขึ้นกับคนอื่น พูดอย่างไรก็ไม่มีใครเชื่อ
“รักษาตัวด้วย” พันถ้อยคำหมื่นวจี ในที่สุดซือหม่ายวี่เจี้ยนสามารถจับเอามาผสานเข้าด้วยกันได้เพียงคำๆ เดียว นอกจากคำว่า “รักษาตัวด้วย” แล้ว นางก็ไม่รู้ว่าสมควรพูดอะไรออกมา สิ่งที่สามารถออกจากปากของนางได้คงมีเพียงคำว่า “รักษาตัวด้วย” เท่านั้น!
สุดท้าย ซือหม่ายวี่เจี้ยนพยักหน้ากับเย่เสี่ยวเสี่ยวเป็นการแสดงความขอบคุณ ท้ายสุดเห็นเงาแวบหนึ่ง หายตัวไปในฉับพลัน
หลังจากที่ซือหม่ายวี่เจี้ยนจากไปแล้ว หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวกับเย่เสี่ยวเสี่ยวว่า “นังหนู ที่เล่นบ้าอะไรก็นับว่าบ้าพอแล้ว สิ่งที่เจ้าสมควรจะได้ก็ได้มาแล้ว ถึงเวลาที่เจ้าควรจะกลับไปที่เกาะสุวรรณได้แล้ว”
“ใครบอกว่าข้าจะกลับไปที่เกาะสุวรรณ” เย่เสี่ยวเสี่ยวทำตาดุทีหนึ่ง กล่าวว่า “ข้ายังเล่นไม่พอเลย รอให้ข้าเล่นจนเบื่อแล้วค่อยกลับไปที่เกาะสุวรรณก็ยังไม่สาย!”
นังหนูผู้นี้เรียกว่าเล่นเพลินจนลืมกลับบ้านแล้ว ขาดสมาธิคิดแต่จะเล่นโน่นนี่นั่นอยู่ร่ำไป ไม่คิดจะกลับบ้านเอาเสียเลย
มีหรือที่หลี่ชิเย่จะไม่เข้าใจจิตใจของนังหนูผู้นี้ เขาถึงกับหัวเราะส่ายหน้าและกล่าวว่า “นังหนู สายเลือดของเจ้านับว่าเป็นสายเลือดที่ล้ำค่าที่สุดในโลก เจ้าสมควรจะทะนุถนอมมันให้ดี ถือโอกาสเวลานี้สายเลือดนี้ได้ฟื้นขึ้นมาแล้ว ควรจะไปทำความเข้าใจมันเสีย ควรไปบรรลุความลึกล้ำพิสดารของมันให้ดีอย่าเสียเวลานี้ไป”
“เช่อะ ข้าน่ะคืออัจฉริยะ แค่ตามอารมณ์ก็สามารถบรรลุถึงความลึกล้ำพิสดารของมันได้แล้ว” เย่เสี่ยวเสี่ยวทำท่าเท้าสะเอว มองดูหลี่ชิเย่ด้วยท่าทีขึงขัง และกล่าวว่า “นี่ เจ้าคนอวดดี รีบเร่งไล่ให้ข้าจากไป หรือเจ้าคิดจะทำอะไร?”
ครั้นเย่เสี่ยวเสี่ยวกล่าวถึงตรงนี้แล้ว ถึงกับพิจารณาซูหย่งหวงที่อยู่ข้างกายหลี่ชิเย่ หัวเราะและกล่าวว่า “อ๋อ ข้าเข้าใจแล้ว หากข้ายังอยู่ที่นี่ก็จะเป็นการขัดขวางพวกเจ้าสองคนน่ะสิ ข้ารู้แล้วล่ะ แหะ พวกเจ้าจะต้องมีความสัมพันธ์แบบนั้นแน่เลย” กล่าวพลาง นางถึงกับหัวเราะออกมาอย่างมีเลศนัย
ซูหย่งหวงถึงกับหน้าแดงเมื่อเย่เสี่ยวเสี่ยวพูดออกมาเช่นนี้ แต่นางทำหน้าขึงขังขึ้นมาทันที กล่าวว่า “เจ้าพูดเพ้อเจ้ออะไร ข้าเป็นอาจารย์ของเขานะ”
“เช่อะ…” เย่เสี่ยวเสี่ยวกล่าวด้วยท่าทีเหยียดหยามว่า “ช่างเถอะ พวกเจ้ามองดูแล้วก็ไม่เหมือนเป็นศิษย์อาจารย์ อีกอย่าง เจ้าคนอวดดีเป็นคนอย่างไรข้ายังจะไม่เข้าใจเขารึ? ฮึ เขาก็คือคนที่หลงตัวเองไม่เห็นใครอยู่ในสายตา ตามความเห็นของข้า ถ้าหากเจ้าคนอวดดีจะกินรวบเจ้าล่ะก็ รับรองว่ากินเสร็จเช็ดเสร็จสะอาดหมดจดแน่นอน แหะ คนอย่างเจ้าคนอวดดีแล้ว อาจารย์แล้วไง เขาไม่ใช่ประเภทที่ยึดอยู่กับประเพณีอยู่แล้ว เขากล้าคิดก็กล้าทำ…”
หลี่ชิเย่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรได้ เมื่อถูกเย่เสี่ยวเสี่ยวว่ากล่าวจนสุดจะทนได้ ถึงกับส่ายหัวยิ้มกล่าวว่า “เอาล่ะ นังหนู อย่ามัวแต่ให้ร้ายข้าอยู่เลย”
“ฮึ ใครว่าข้าให้ร้ายเจ้า” เย่เสี่ยวเสี่ยวรู้สึกกระหยิ่มใจอยู่สามส่วน แต่ นัยน์ตาที่กรอกไปมาพลันบังเกิดความคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้อีก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...