ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล นิยาย บท 1577

ตอนที่ 1577 ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ

ครั้นเอ่ยมาถึงตรงนี้แล้ว ยวีจั่นถึงกับรู้สึกภาคภูมิใจ ความจริงแล้ว ยวีจั่นเองก็ไม่เคยได้พบเห็นท่านย่าของเขามาก่อน แต่ว่า ตั้งแต่เขายังเด็กมาก เขาก็ได้เติบโตขึ้นมากับการฟังเรื่องราวของผู้เป็นย่า และยึดถือเอาผู้เป็นย่าเป็นความภาคภูมิใจมาตั้งแต่เล็ก

ต่อเมื่อเขาเติบใหญ่แล้ว ต่อให้ต้องไปที่เมืองสมุทรสยบฟ้าที่ได้ชื่อว่าเป็นสำนักที่ใหญ่และแข็งแกร่งที่สุดอันดับหนึ่งของมหาสมุทรอุดร เมื่อมีการเอ่ยถึงชื่อท่านย่าของเขา ยวีไท่จวินแห่งตระกูลยวีแล้ว ต่อให้เป็นบุคคลระดับผู้อาวุโสของเมืองสมุทรสยบฟ้า ยังต้องแสดงความนอบน้อมยิ่งนัก กระทั่งต้องจัดเสื้อผ่าให้เรียบร้อยด้วยความเคารพยิ่ง จึงกล้าที่จะคุยถึงเรื่องที่เกี่ยวกับท่านย่าของพวกเขาต่อไป

ด้วยสาเหตุนี้จึงส่งผลต่อจิตใจของยวีจั่นมองว่า ท่านย่าของเขาคือผู้ที่ปราศจากผู้ต่อกรนิรันดร์กาล ในมหาสมุทรอุดรเมื่อมีการพูดถึงยวีไท่จวินแห่งบ้านตระกูลยวีแล้ว ไม่ว่าใครก็ตเองให้เกียรติอยู่สามส่วน

ดังนั้น ในความคิดของยวีจั่นจึงเข้าใจว่า ขอเพียงยกเอาชื่อท่านย่าของเขาออกมา ไม่ว่าใครก็ต้องให้เกียรติ ไม่ว่าใครก็ไม่กล้ายุ่งกับบ้านตระกูลยวีของพวกเขา

ซึ่งความจริงก็เป็นเช่นนั้น เมื่อข่งเชียะหมิงหวางได้ยินว่ายวีไท่จวินสามารถอยู่ได้อีกหนึ่งชาติก็รู้สึกตกใจยิ่งนัก เนื่องจากชื่อเสียงของยวีไท่จวินโด่งดังเหลือเกิน เคยมีจักรพรรดิเทพรุ่นอาวุโสบอกเอาไว้ว่า ในมหาสมุทรอุดรหากจะเลือกสองผู้ปราศจากผู้ต่อกรและได้รับการเคารพสูงสุดล่ะก็ ย่อมจะต้องเป็นกู้จุนแห่งเมืองสมุทรสยบฟ้า และยวีไท่จวินแล้ว!

ก่อนหน้านั้น ข่งเชียะหมิงหวางเคยได้ยินมาว่า อายุขัยของยวีไท่จวินกำลังจะหมดลง ได้กักตนเพื่อบำเพ็ญเพียร หากไม่เป็นผลสำเร็จก็จะไม่ออกมาอีกเลยชั่วนิรันดร์ ทุกคนต่างเข้าใจว่ายวีไท่จวินคงจะละสังขารในท่านั่งกรรมฐานไปแล้ว ไม่นึกเลยว่า ยวีไท่จวินถึงกับก้าวข้ามมรณะมาได้ นับว่าสร้างความตระหนกแก่ผู้คนยิ่งนัก

“ยวีไท่จวิน” หลี่ชิเย่กล่าวด้วยท่าทีเฉยเมย เมื่อเอ่ยถึงชื่อนี้แล้ว ในใจของเขาอดที่จะทอดถอนใจไม่ได้

“ถูกต้อง คือท่านย่าของข้า” ยวีจั่นพูดเสียงดังออกมาว่า “แน่จริงเจ้าก็ลองดู เมื่อท่านย่าของข้าออกจากการกักตน ต่อให้เจ้าหนีไปสุดล่าฟ้าเขียวก็จะฆ่าเจ้า”

ข่งเชียะหมิงหวางอ้าปากจะพูด แต่ ยังคงหุบปากลง เดิมข่งเชียะหมิงหวางคิดจะร้องขอให้กับยวีจั่น จะอย่างไรเสีย การที่ต้องเผชิญหน้ากับสายของกู้จุนก็ยากที่จะต้านทานไหวอยู่แล้ว หากไปก่อเรื่องกับบ้านตระกูลยวีอีกย่อมไม่เป็นผลดีต่อเมืองหมิงจู

แต่ว่า ข่งเชียะหมิงหวางก็เข้าใจ เมื่อยวีจั่นไม่รู้จักกาลเทศะเช่นนี้ หากหลี่ชิเย่ต้องการสังหารเขาจริงล่ะก็ ใครขอร้องก็ไม่มีประโยชน์ คนโหดอันดับหนึ่งเคยกลัวใครมาก่อนรึ? แม้แต้ระดับจักรพรรดิเทพพรรคเซียนเหินยังถูกฆ่าไปตามระเบียบ เสมือนหนึ่งฆ่าสุนัขตัวหนึ่ง คนอื่นๆ ยังจะอยู่ในสายตาของเขารึ?”

“คร๊ากก…” ยวีจั่นพูดยังไม่ทันขาดคำ เสียงกระดูกแตกหักดังขึ้นเป็นระลอก “อ๊ากก…” เสียงร้องที่น่าเวทนาพลันดังก้องทั่วฟ้า เลือดสดๆ ไหลนองเต็มดาดฟ้าเรือ

หลี่ชิเย่อาศัยเท้าเพียงข้างเดียวที่เหยียบลงไป ก็ทำให้ขาทั้งสองข้างถูกเหยียบจนหัก สร้างความเจ็บปวดจนยวีจั่นต้องร้องออกมาอย่างน่าเวทนา

“เจ้า…”หลังจากที่ยวีจั่นเจ็บปวดจนได้สติกลับมาแล้ว ด้วยความโกรธระคนกับตระหนกตกใจ จึงร้องเสียงดังออกมา ปรกติแล้ว เมื่อเขายกเอาชื่อท่านย่าของเขาออกมาเมื่อไร ไม่รู้ว่าได้สร้างความตระหนกแก่ผู้คนจำนวนเท่าไรจนใบหน้าขาวซีด เขาเลยเข้าใจวาชื่อของท่านย่าตนจะทำให้หลี่ชิเย่ต้องตกใจแล้วปล่อยตนเองเสีย แต่แล้ว นอกจากหลี่ชิเย่จะไม่ได้ปล่อยตัวเขา ตรงกันข้ามกลับเหยียบขาทั้งสองข้างของเขาจนหัก

“คร๊ากก คร๊ากก คร๊ากก…” ขณะที่ยวีจั่นกำลังโกรธระคนกับตกใจอยู่นั้น ปรากฏเสียงกระดูกแตกหักดังขึ้นมาเป็นระลอกอีกครั้ง หลี่ชิเย่ไม่เพียงเหยียบขาทั้งสองข้างจนหักเท่านั้น เวลานี้ ขาของเขาได้บดขยี้ลงไปอย่างชำนาญ จัดการเหยียบกระดูกขาทั้งสองข้างของยวีจั่นจนแหลกละเอียด

“อ๊ากก…” ร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดจนสั่นเทาไปทั้งร่าง ใบหน้าขาวซีด เขาถูกเลี้ยงดูอย่างตามใจมาตลอดชีวิต เคยได้รับความลำบากเช่นนี้เมื่อ”ไรกัน!

“เจ้า…”ไม่ง่ายนัก กว่ายวีจั่นจะได้สติกลับมาจากความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส ถึงกับร้องเสียงดังออกมา

“คร๊ากก…” เสียงกระดูกแตกหักดังขึ้นมาอีกครั้ง ในเวลานี้ หลี่ชิเย่ได้เหยียบข้อมือข้างหนึ่งของยวีจั่นจนแหลก

“ไม่…” เสียงร้องที่เศร้ารันทดและน่าเวทนาทำให้ผู้คนที่ได้ยินถึงกับขนลุก ภาษิตกล่าวไว้ว่านิ้วทั้งสิบกับใจผูกพันกัน เมื่อฝ่ามือถูกเหยียบจนเละ ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นย่อมสามารถประเมินได้ หน้าตาของยวีจั่นพลันบิดเบี้ยวเหงื่อเย็นไหลออกมาด้วยความเจ็บปวด

“เจ้าเดรัจฉานน้อย ข้า ข้า ข้าจะฆ่าเจ้า…”ไม่ง่ายนักกว่ายวีจั่นจะได้สติกลับมาจากความเจ็บปวด ร้องเสียงแหลมออกมา

“คร๊ากก…” เสียงกระดูกแตกหักดังขึ้นอีกครั้ง หลี่ชิเย่อาศัยเท้าข้างหนึ่งเหยียบเอาข้อมืออีกข้างจนแหลก ส่งผลให้ยวีจั่นเจ็บปวดจนร่างชักกระตุกเป็นระลอก เหงื่อเย็นไหลโทรมกายจนเสื้อเปียกไปหมด

หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ ยวีจั่นที่ร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดจึงค่อยสงบลง นาทีนี้ ยวีจั่นรู้สึกกลัวแล้วจริงจังไม่กล้าส่งเสียงร้องอีก ไม่กล้าอวดดีอีกต่อไป

ข่งเชียะหมิงหวางที่ได้มองเห็นภาพนี้แล้ว ถึงกับยิ้มเจื่อนๆ คนชั่วย่อมมีคนชั่วมาปราบ คนอื่นไม่อยากจะมีเรื่องกับตระกูลยวี แต่ว่า เมื่อเจอะเจอกับคนโหดอันดับหนึ่ง ลูกหลานตระกูลขุนนางที่อวดดีใช้อำนาจบาตรใหญ่เช่นยวีจั่นนับว่าโชคร้ายเสียแล้ว

หลี่ชิเย่มองดูยวีจั่นที่เวลานี้เจ็บปวดจนร่างกายแทบจะทรุดโทรมอยู่แล้วด้วยท่าทีเย็นชา กล่าวอย่างเฉชเมยว่า “ยังจะเล่นกันต่ออีกหรือไม่? ข้าน่ะไม่มีปัญหาหรอกนะ เจ้าสามารถทำอวดดีต่อไปได้อีก ทำกำเริบเสิบสานต่อไป สามารถยกเอาบารมีของตระกูลยวีเจ้าออกมาต่อไป เอาชื่อท่านย่าของเจ้ามาข่มขู่คนอื่น…”

“…เวลานี้ ข้ามีเวลาเหลือเฟือ ข้ากลับต้องการฟังว่าเจ้ายังจะมีลูกไม้อะไรในการเอาชื่อท่านย่าของเจ้ามาข่มคนอื่นได้อีก แน่นอน ทุกครั้งที่ยกเอาชื่อท่านย่าของเจ้ามาข่มขู่ครั้งหนึ่ง ข้าก็จะเหยียบกระดูกส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายเจ้าให้มันแหลก วางใจเถอะ คนอย่างข้านั้นมีฝีมือที่ดีมาก ต่อให้ข้าจัดการเหยียบกระดูกทีละชิ้นๆ ของเจ้าจนแหลกไปทั่วร่าง เจ้ายังคงมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ข้อนี้เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง เจ้าน่ะไม่ตายหรอกนะ”

เมื่อหลี่ชิเย่เอ่ยมาถึงตรงนี้แล้ว ทำท่าพิจารณายวีจั่นไปทั่วตัว เหมือนว่ากำลังคิดว่าจะลงมือจากบริเวณกระดูกส่วนไหนเป็นอันดับต่อไป

หลี่ชิเย่ไม่ให้ความสนใจในยวีจั่นอีกต่อไป เดินทางกลับเข้าเมืองหมิงจูไป

ข่งเชียะหมิงหวางอาศัยอยู่บริเวณใจกลางมากที่สุดของเมืองหมิงจู และเป็นสถานที่พักอาศัยของเจ้าเมืองเมืองหมิงจูแต่ละรุ่นที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สะดุดตามากที่สุดบริเวณใจกลางเมืองของเมืองหมิงจูหาใช่เป็นจวนที่พักสำหรับเจ้าเมืองหมิงจู แต่เป็นเจดีย์หมิงจู

เจดีย์หมิงจูถูกสร้างเอาไว้บนส่วนที่เป็นใจกลางมากที่สุดของเมืองหมิงจู และอยู่บริเวณที่เป็นจุดศูนย์กลางของเมืองหมิงจู ตัวของเจดีย์สูงตระหง่านทะลุเมฆา กระทั่งกล่าวได้ว่าเป็นสิ่งปลูกสร้างที่สูงที่สุดของเมืองหมิงจู

ลักษณะของเจดีย์หมิงจูมีความโบราณและเรียบง่าย ไม่มีการตกแต่งอะไรมากมาย ก็แค่อาศัยอิฐสีเขียวเทาแต่ละก้อนก่อขึ้นไป ส่วนบนสุดของเจดีย์หมิงจูมีลูกบอลกลมขนาดยักษ์ลูกหนึ่ง โดยลูกบอลนี้มีสีเทาดำ คล้ายดั่งสร้างขึ้นมาจากหินผา

พูดจากใจ หลายคนที่เวลามองเห็นเจดีย์หมิงจูต่างไม่เข้าใจว่าเหตุใดถึงได้ตั้งชื่อว่าเจดีย์หมิงจู ความคิดและมุมมองของคนส่วนใหญ่มองว่า ชื่อเจดีย์หมิงจูควรเป็นเจดีย์วิเศษที่เปล่งประกายแวววับจึงจะถูก อย่างไรก็ตาม เจดีย์หมิงจูแห่งนี้กลับสลดและอับแสง ไม่สมกับชื่อของมันเลยแม้แต่น้อย

อย่างไรก็ตาม ตลอดเวลาที่ผ่านมา ไม่เคยมีใครรู้ถึงประวัติความเป็นมาของเจดีย์หมิงจู ต่อให้เป็นผู้ที่อาศัยอยู่ในเมืองหมิงจูนานที่สุดก็ไม่รู้ว่าเจดีย์หมิงจูมีประวัติความเป็นมาอย่างไร

ในความทรงจำของผู้อาศัยอยู่ในเมืองหมิงจู ดูเหมือนว่านับจากวันแรกก็มีเจดีย์หมิงจูตั้งอยู่ที่ตรงนั้นแล้ว เหมือนว่ามีเจดีย์หมิงจูพร้อมๆ กับเมืองหมิงจูแล้ว

กระทั่งมีผู้เฒ่าได้กล่าวว่า เจดีย์หมิงจูถูกสร้างขึ้นก่อนสร้างเมืองหมิงจูเสียอีก เจดีย์หมิงจูตั้งตระหง่านอยู่ที่ตรงนั้นก่อนที่จะมีเมืองหมิงจูเสียด้วยซ้ำ

คำพูดลักษณะเช่นนี้ไม่มีใครรู้ว่าจริงเท็จเป็นอย่างไร

หลี่ชิเย่ยืนอยู่หน้าเจดีย์หมิงจู มองดูเจดีย์หมิงจูที่สูงตระหง่านทะลุเมฆาหลังนี้ หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่จึงได้ละสายตากลับมา เอ่ยถามข่งเชียะหมิงหวางว่า “เจ้าเคยขึ้นไปบนเจดีย์หมิงจูหรือไม่?”

“เคยขึ้นไปหลายครั้ง” ข่งเชียะหมิงหวางกล่าวว่า “บรรพบุรุษเคยพูดไว้ว่า เจดีย์หมิงจูมีความลี้ลับอยู่มาก”

“แต่ เจ้าไม่สามารถบรรลุถึง” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวเฉยเมย

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล