ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล นิยาย บท 1584

ตอนที่ 1584 หวนนึกถึงในอดีต
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลี่ชิเย่มองดูท่าทีที่ปราศจากความปรารถนาของผู้เฒ่า หัวเราะแล้วกล่าวว่า “ทางเดินนั้น ทุกคนเป็นผู้เลือก ความคิดเพียงแวบบเดียวเท่ากับเป็นการตัดสินทางเดินของเจ้าในอนาคต และเป็นการตัดสินชีวิตในอนาคตของเจ้า เจ้าก็ดี เจ้าดำก็ช่าง แม้แต่เชียนหลี่ก็เป็นเช่นนี้”

เมื่อกล่าวถึงตรงนั้แล้ว หลี่ชิเย่ อดทอดถอนใจออกมาว่า “แม้ว่าเชียนหลี่ออกตัวช้าไปนิด เงื่อนไขก็แย่กว่าหน่อยหนึ่ง แต่ความมุ่งมั่นและศรัทธาของนางไม่เคยหวั่นไหว นางยืนหยัดเชื่อมั่นว่าคงมีสักวันที่สามารถโจนทะยานขึ้นฟ้าและกลับกลายเป็นมังกร สืบทอดชะตาฟ้า ดังนั้น นางกลายเป็นราชันเซียน สำหรับเจ้าดำ เขาชื่นชอบความท้าทาย เขาเป็นคนบ้าระห่ำคนหนึ่ง สู้จนถึงที่สุด ดังนั้น เขาได้รับการเคารพสูงสุดมาสามชาติ เขาทะลุขีดสูงสุดของตนในทุกๆ ชาติ และก้าวเดินไปในเส้นทางที่แตกต่างกันในทุกชาติ”

เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้ หลี่ชิเย่ถึงกับจ้องมองไปที่ผู้เฒ่า กล่าวว่า “สำหรับเจิ้งฟงเจ้า สุดท้ายแล้วเจ้าหลบหนี บางทีเจ้าอาจเบื่อหน่ายแล้ว ดังนั้น ตัวเองไม่ต้องการออกจากรังของตน ท้ายที่สุดเจ้าจึงมาถึงที่นี่ มีตะเกียงเป็นเพื่อน เป็นเถ้าแก่ร้านแก่ๆ คนหนึ่ง”

“ถูกต้อง เส้นทางเดินของทุกคน ล้วนแล้วแต่เกิดจากการก้าวเดินของตน ราชันเซียนเชียนหลี่มีเส้นทางราชันเซียนของนาง ราชามังกรดำก็มีเส้นทางความเป็นจ้าวของเขา” ยวีเจิ้งฟง หรือก็คือผู้เฒ่าที่อยู่ตรงหน้า เขาถึงกับทอดถอนใจออกมาว่า “เป็นเพราะข้าไม่ได้ก้าวเดินออกจากใจมารของตนกระมัง”

“ใจมาร?” หลี่ชิเย่ ถึงกับหัวเราะขึ้นมา ส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “คนอื่นอาจจะมีใจมาร แต่ เจ้าไม่มี เส้นทางสายนี้ก้าวเดินไปจนสวรรค์ทอดทิ้งนรกรังเกียจ ยังจะมีใจมารได้อย่างไร ยังจะมีอะไรน่ากลัวยิ่งกว่าสวรรค์ทอดทิ้งนรกรังเกียจเสียอีก?”

“ที่ใต้เท้าพูดมาก็ถูก” ยวีเจิ้งฟงเองก็หัวเราะขึ้นมา เขาไม่ได้มีจิตหดหู่ และไม่สะทกสะท้านยิ่งนัก

หลี่ชิเย่ส่ายหัวเบาๆ จิบเหล้าเลิศรสช้าๆ กล่าวสำหรับเขาแล้ว เขาไม่มีอะไรต้องไปวิจารณ์ตัวของยวีเจิ้งฟงอีกแล้ว เพียงแต่ เขาได้ก้าวเดินไปบนเส้นทางของตนจนถึงที่สุดเท่านั้นเอง

ผู้เฒ่าที่อยู่ตรงหน้ามีชื่อว่ายวีเจิ้งฟง เขาเป็นพี่ชายของยวีไท่จวิน เขาอยู่ร่วมสมัยเดียวกันกับราชันเซียนเชียนหลี่ และราชามังกรดำ ในขณะที่ยวีเจิ้งฟงยังอยู่ในวัยหนุ่มนั้น ตระกูลยวีเป็นเพียงตระกูลขุนนางเล็กๆ เท่านั้นเอง อีกทั้งขณะที่เขายังอยู่ในวัยเยาว์มาก น้องสาวของเขายวีไท่จวินป่วยเป็นโรคที่รักษาไม่หาย หมอที่มีชื่อเสียงทั้งหลายล้วนแล้วแต่จนปัญญา

เพื่อช่วยเหลือน้องสาวของตน ยวีเจิ้งฟงได้พยายามบำเพ็ญเพียร คาดหวังให้ตัวเองกลายเป็นผู้ที่ปราศจากผู้ต่อกร จะได้รักษาโรคของน้องสาวให้หาย

ในคราวหนึ่ง ด้วยความมหัศจรรย์แท้ๆ ยวีเจิ้งฟงจับพลัดจับผลูไปได้สุดยอดหลักสัจธรรมของราชันเซียนมู่จั๋วมา หลังจากเห็นปุ๊บ ยวีเจิ้งฟงก็ได้ก้าวเดินบนเส้นทางที่สุดยอดเป็นหนึ่งไม่มีสองนี้นับแต่นั้นเป็นต้นมา

ยุคนั้นเรียกได้ว่าบุคคลประเภทดาวรุ่งเกิดขึ้นมากมาย เขาเคยต่างฝ่ายต่างเห็นอกเห็นใจด้วยกันกับราชามังกรดำ และราชันเซียนเชียนหลี่ ภายหลัง เป็นเพราะหลี่ชิเย่ทำให้พวกเขาทั้งสามได้รู้จักกัน ในยุคนั้น พวกเขาเคยได้รับการยกย่องจากผู้คนว่าเป็นสามอัจฉริยะบุคคล

ต่อมา ยวีเจิ้งฟงเกิดรักชอบพอในราชันเซียนเชียนหลี่เข้า ขณะที่ราชันเซียนเชียนหลี่กลับมุ่งก้าวเดินบนเส้นทางเพื่อเป็นราชันเซียนให้ได้ จะไม่หันหลังกลับอย่างเด็ดขาด ไม่ได้รู้สึกอะไรกับยวีเจิ้งฟง กระทั่งบนเส้นทางแห่งการช่วงชิงความเป็นราชันเซียนนั้น ยวีเจิ้งฟงพ่ายแพ้ให้กับราชันเซียนเชียนหลี่

สิ่งนี้ได้ส่งผลให้ยวีเจิ้งฟงหมดกำลังใจ แม้ว่ายวีเจิ้งฟงได้ก้าวขึ้นสู่ระดับสูงสุดแล้ว มีกำลังความสามารถที่จะท้าดวลกับราชันเซียนได้ แต่ทว่า เขาไม่รู้สึกยินดียินร้ายกับเรื่องราวบนโลกเสียแล้ว ดังนั้น จึงได้มาถึงเมืองฟงเหวินและเปิดร้านเหล้าเล็กๆ ขึ้นมา อยู่แบบเอ้อระเหยไปวันๆ

ในขณะที่ยวีเจิ้งฟงยังอยู่ในวัยหนุ่ม ได้พบเจอกับหลี่ชิเย่ที่อยู่ในฐานะอีกาทมิฬ หลี่ชิเย่ได้บอกวิธีรักษาให้กับยวีเจิ้งฟง แต่ว่า สมุนไพรที่จะนำมารักษาโรคที่ไม่มีทางรักษาให้หายได้นั้นหาได้ยากมาก

ดังนั้น ยวีเจิ้งฟงจึงได้แต่ให้น้องสาวผนึกร่างเอาไว้ กระทั่งถึงยุคของราชันเซียนหยินเทียน จึงค้นพบสมุนไพรดังกล่าวที่อยู่ในตำนานได้ในที่สุด ยวีเจิ้งฟงได้ขอความช่วยเหลือต่อหลี่ชิเย่ สุดท้าย ภายใต้การช่วยเหลือของหลี่ชิเย่สามารถช่วยยวีไท่จวินเอาไว้ได้ในที่สุด

จึงได้ปรากฏเรื่องราวของยวีไท่จวินที่เข้าร่วมกองทัพราชามังกรดำขึ้นในภายหลัง นับแต่นั้นเป็นต้นมา ยวีเจิ้งฟงไม่สนใจต่อเรื่องราวบนโลกมนุษย์อีกต่อไป เขาเปิดร้านเหล้าเล็กๆ ขึ้นมา เหมือนว่าได้ลืมเรื่องราวบนโลกไปแล้วอย่างนั้น ขณะที่ผู้คนบนโลกก็ได้ลืมเลือนตัวเขาไปเช่นกัน

บนโลกนี้ไม่มีใครรู้ว่า ท่ามกลางร้านเหล้าเล็กๆ เช่นนี้กลับซ่อนยอดฝีมือที่สะเทือนฟ้าเอาไว้คนหนึ่ง

“ชั่วชีวิตของข้า คนที่ข้านับถือที่สุดยังคงเป็นใต้เท้า” ในขณะที่หลี่ชิเย่ได้รินเหล้าให้กับยวีเจิ้งฟงแล้ว เขาอดที่จะจิบไปคำหนึ่ง และกล่าวทอดถอนใจออกมาว่า “ข้าไม่รู้ว่าใต้เท้าเดินมาได้อย่างไรกัน หากเป็นข้า ข้าคงทำไม่ได้”

“เดินไปเรื่อยๆ ก็อย่างที่เห็นแล้ว” หลี่ชิเย่ จิบเหล้าเลิศรสไปคำหนึ่งและยิ้มกล่าว

ยวีเจิ้งฟงถึงกับยิ้มเจื่อนๆ กล่าวว่า “เดินไปเรื่อยๆ มันง่ายเสียที่ไหน ใต้เท้าก้าวเดินทีเป็นพันล้านปี พันล้านปีเลยนะ ช่างเป็นวันเวลาที่เนิ่นนานเหลือเกิน ท่ามกลางวันเวลาอันยาวไกลเช่นนี้ ใต้เท้าต้องพบอะไรมามากมาย พานพบความทุกข์ยากมาเท่าไร จากลาผู้ใกล้ชิดมาเท่าไร ฝังกลบผู้คนมาเท่าไร”

“หลังจากผ่านความทุกข์ยากมานับไม่ถ้วน ใต้เท้าไม่ได้เป็นบ้า และไม่ได้กลายเป็นมารร้าย และไม่ได้กลายเป็นปราชญ์ ยิ่งไม่ได้กลายเป็นผู้ปลีกตัวออกจากสังคม กี่ปีที่ผ่านไป ใต้เท้ายังคงเป็นใต้เท้า ไม่แปรเปลี่ยนความตั้งใจเดิมตลอดกาล ไม่ว่าจะเป็นความยากลำบากเช่นใด ไม่ว่าจะเป็นภัยอันตรายอย่างไร ก็ไม่สามารถล้มใต้เท้าลงได้”

“ใต้เท้ายังคงก้าวเดินไปข้างหน้าต่อไป เร่งเดินทางให้เร็วขึ้นเป็นทวีคูณท่ามกลางพายุฝน เคียงข้างด้วยลมคาวฝนเลือด แม้แต่ราชามังกรดำยังพูดว่า หากเขาจะต้องพานพบอุปสรรคมากมายเช่นใต้เท้าล่ะก็ ไม่แน่นักเขาอาจจะกลายเป็นผู้ที่จงเกลียดจงชังสังคมที่ฟอนแฟะ และธาตุไฟเข้าแทรกจนบ้า! ใต้เท้าย่อมเป็นใต้เท้า จิตที่แน่วแน่ในความตั้งใจแรกเริ่ม เป็นสิ่งที่ผู้เยาว์อย่างพวกข้าไม่อาจเทียบเคียงได้เลย”

เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้แล้ว ยวีเจิ้งฟงได้ดื่มเหล้าในถ้วยจนหมด ถึงกับทอดถอนใจยาวๆ ออกมา

หลี่ชิเย่นิ่งเงียบกับคำกล่าวเช่นนี้ ดื่มเหล้าที่อยู่ในถ้วยช้าๆ ไม่ได้พูดอะไรออกมา กระทั่งไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี

เป็นดั่งที่ยวีเจิ้งฟงได้พูดเอาไว้ ท่ามกลางกาลเวลาที่ยาวไกล เขาได้ลาจากคนสนิทไปแล้วเท่าไร ลงมืองฝังกลบพวกเขาไปจำนวนเท่าไร ตลอดระยะทางที่ก้าวเดินผ่านมาเป็นพันล้านปี มีผู้คนจำนวนเท่าไรที่เคียงข้างตน มีผู้ที่ทุ่มเทให้เขาสุดจิตสุดใจ มีผู้ที่มีจิตใจที่ซื่อสัตย์และจงรักภักดี แต่ทว่า เมื่อก้าวเดินไปเรื่อยๆ สุดท้ายแล้วเหลือเพียงตัวเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น ท่ามกลางกาลเวลาที่ยาวนานเช่นนี้ ผู้คนจำนวนมากมายเท่าไรที่แก่ตายไป ขณะที่ตัวเขายังคงมีชีวิตอยู่!

ความเจ็บปวดที่สุดของชีวิตคนหาใช่ความตาย แต่เป็นผู้คนที่อยู่ข้างกายตนต้องตายไปทีละคนๆ ขณะที่ตนเองนั้นยังคงมีชีวิตอยู่ ในเวลาเช่นนี้ การมีชีวิตอยู่มักจะเป็นเรื่องที่เจ็บปวด ความตายกลับจะเป็นการหลุดพ้นอย่างหนึ่ง

“โลกนี้ คนที่มีชีวิตอยู่ยังมีอีกมาก ยังมีคนจำนวนมากที่มีชีวิตอยู่มานานมากๆ” สุดท้าย หลี่ชิเย่กล่าวท่าทีเรียบเฉยขึ้นมา

ยวีเจิ้งฟงส่ายหน้าและกล่าวว่า “ข้ารู้ เรื่องที่เกี่ยวกับข้างบนนั้น ใต้เท้าเคยพูดถึง แต่ว่า พวกเขาไม่ได้มีชีวิตอยู่ พวกเขาแค่ผนึกร่างของตนเอาไว้ เป็นเพียงคนที่หลับไหลคนหนึ่ง เรื่องราวบนโลกไหนเลยจะข้องเกี่ยวกับเขา ขณะที่ใต้เท้าแตกต่างกัน ก้าวเดินผ่านมายุคแล้วยุคเล่า เรื่องราวบนโลกมนุษย์ปุถุชนและกาลเวลาไหลหลั่งอยู่บนตัวใต้เท้าตลอดมา แต่ มันกลับไม่สามารถทำลายความมมุ่งมั่นในการต่อสู้ ไม่สามารถทำลายความตั้งใจแรกเริ่มของใต้เท้าไปได้!”

“มีชีวิตอยู่ก็ดีแล้ว” สุดท้าย หลี่ชิเย่ได้แต่ตอบเช่นนี้ นอกเหนือจากคำๆ นี้แล้ว เขาก็ไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร เขาไม่สามารถช่วยยวีเจิ้งฟงได้

มาถึงวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นสัจธรรมใดๆ ก็ตาม ยวีเจิ้งฟงย่อมรู้ดีอยู่แล้ว หากเขาต้องการก้าวออกจากจุดนั้น สุดท้ายยังคงต้องอาศัยตัวเขาเอง ปัญหาก็คือยวีเจิ้งฟงปลงตกเสียแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วแต่อย่างไรก็ได้ ดังนั้น หลี่ชิเย่จึงไม่อาจช่วยอะไรเขาได้!

ยวีเจิ้งฟงก็พยักหน้าเงียบๆ ดื่มเหล้าเลิศรสต่อไปโดยไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน

พวกเขาทั้งสองคนนั่งดื่มเหล้าต่อไปเรื่อยๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าเวลาได้ผ่านไปนานเท่าไรแล้ว ยวีเจิ้งฟงจึงได้เอ่ยขึ้นมาช้าๆ ว่า “ข้ามองเห็นราชันเซียนมู่จั๋วแล้ว อยู่บนเส้นทางสายนั้น!”

คำพูดเช่นนี้ของยวีเจิ้งฟงทำให้หลี่ชิเย่ชะงักนิดหนึ่งและนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง สุดท้าย เขาได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ และกล่าวว่า “เฮ่อ เส้นทางเส้นนี้ส่งผลกระทบต่อราชันเซียนมู่จั๋วมากเหลือเกิน เกรงว่าเวลานี้เข้าก้าวเดินไปได้ไกลกว่า ลึกซึ้งกว่าเจ้าเสียอีก ดังนั้น เส้นทางสายนี้ของเขาจึงได้ครอบคลุมอาณาบริเวณนี้เอาไว้ ทำให้เจ้าสามารถมองเห็นตัวเขาได้”

“ในอาณาจักรแห่งนี้ของเขา ไม่สามารถก้าวล้ำไปได้อีกแล้ว เขาเดินเข้าไปอยู่ในวังวนไม่สามารถออกมาได้อีก ถ้าหากเจ้าก้าวเดินต่อไปเรื่อยๆ ก็จะเป็นเช่นนี้เหมือนกัน จุดจบมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นคือ นั่งรอความตาย เจ้าไม่ต่างอะไรจากกูมู่ หวานซื่อ” เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ หลี่ชิเย่ ส่ายหัวเบาๆ

“เขาเป็นราชันเซียนอยู่แล้ว เหตุใดยังต้องก้าวเดินบนเส้นทางเส้นนี้อีก?” ยวีเจิ้งฟงถึงกับถามด้วยความสงสัย

หลี่ชิเย่ส่ายหน้า กล่าวว่า “ใครจะไปรู้ เกรงว่าคงมีตัวเขาเองที่รู้ ราชันเซียนมู่จั๋วคือราชันเซียนที่มีข้อโต้แย้งกันมากที่สุด ความมีหน้ามีตานั้นแตกต่างกัน แม้ว่าเขาจะได้เป็นราชันเซียนแต่ก็เงียบเหงามาก อย่างน้อย ในใจของเขาก็คือใจของเขา เขาห่างจากโลกมนุษย์มากมายเหลือเกิน”

“บางที นี่แหละคือพรหมลิขิต ข้ากับราชันเซียนมู่จั๋วอย่างไรเสียก็เหมือนกันอยู่บ้าง”

หลี่ชิเย่กล่าวจริงจังว่า “ราชันเซียนมู่จั๋วเคยมีหน้ามีตามา เจ้าเองก็เคยมีหน้ามีตามาเช่นกัน เป็นความจริงที่ราชันเซียนมู่จั๋วเคยผิดหวังเรื่องความรัก เจ้าเองก็นับว่าเคยผิดหวังมาเช่นกัน” หลี่ชิเย่หัวเราะและส่ายหน้า กล่าวว่า “แต่ นี่ไม่ใช่เหตุผล และไม่ใช่จุดจบ เส้นทางสุดท้ายแล้วก็ยังคงอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเจ้า เส้นทางเส้นนี้เป็นเส้นทางที่ราชันเซียนมู่จั๋วสร้างขึ้นหลังจากได้เป็นราชันเซียนแล้ว ขณะที่ยังอยู่ในวัยหนุ่ม ไม่ได้ก้าวเดินไปบนเส้นทางเส้นนี้”

“อย่างไรก็ตาม แม้ว่าราชันเซียนมู่จั๋วจะผิดหวังในความรัก และผ่านอุปสรรคมากมาย แต่ เขาไม่เปลี่ยนความตั้งใจเดิม ดังนั้น เขาได้เป็นราชันเซียน ส่วนที่ว่าต่อมาภายหลัง เขาได้ก้าวเดินบนเส้นทางเส้นนี้อีก บางทีอาจไม่ได้เป็นเพราะเรื่องราวในโลกมนุษย์ จะอย่างไรเสีย เขาก็คือผู้ที่ได้เป็นราชันเซียน” เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ หลี่ชิเย่จ้องมองดูยวีเจิ้งฟง แล้วกล่าวว่า “เจ้ากับราชันเซียนมู่จั๋วไม่ได้เหมือนกันเสียทีเดียว”

ราชันเซียนมู่จั๋วเป็นคนที่ทำตัวค่อมต่ำมาก และเป็นราชันเซียนที่มีความลึกลับมาก ในบรรดาราชันเซียนจำนวนมาก หลังจากที่ได้เป็นราชันเซียนแล้วต่างมีหน้ามีตามากมาย

อย่างไรก็ตาม ราชันเซียนจำนวนมากในระหว่างเส้นทางมุ่งสู่ราชันเซียน ไม่ว่าจะก่อนหรือหลังเป็นราชันเซียน ไม่ว่าจะเป็นสหายข้างกาย หรือผู้ที่ยินดีติดตามเขาล้วนมีอยู่เป็นจำนวนมาก ข้างกายของราชันเซียนทุกคนล้วนแล้วแต่มีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ยินดีสู้รบเพื่อเขา

แต่ว่า ราชันเซียนมู่จั๋วกลับเป็นข้อยกเว้น ก่อนที่เขาได้เป็นราชันเซียน เขาต่อสู้เพียงลำพังคนเดียว หลังจากได้เป็นราชันเซียนแล้ว เขายังคงต่อสู้โดยลำพังคนเดียว เหมือนว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา ราชันเซียนมู่จั๋วก็จะโดดเดี่ยวเช่นนี้

“บางทีอาจเป็นเพราะเป็นผู้โดดเดี่ยวเดียวดายกระมัง” ยวีเจิ้งฟงกล่าวว่า “หรือบางทีเพราะว่าเป็นผู้โดดเดี่ยวเดียวดาย ราชันเซียนมู่จั๋วจึงได้ก้าวเดินบนเส้นทางเส้นนี้อีกครั้ง”

“ไม่เห็นราชันเซียนมู่จั๋วจะเดียวดายตรงไหน” หลี่ชิเย่ส่ายหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “เขาเคยแต่งงานมาแล้วสองครั้ง เคยมีสาวๆ อยู่ไม่น้อย หญิงสาวที่มีความสัมพันธ์ครั้งคราวก็มีอยู่ไม่น้อย ภายในใจของเขาไม่เห็นจะเดียวดายตรงไหน”

ราชันเซียนมู่จั๋วเกิดในตระกูลที่ตกต่ำ เนื่องจากความตกต่ำของตระกูล ทำให้คู่หมั้นที่เล่นกันมาตั้งแต่เด็กเปลี่ยนไปแต่งงานกับตระกูลที่มีฐานะ

ซึ่งสิ่งนี้ส่งผลให้ราชันเซียนมู่จั๋วพยายามมุมานะอย่างหนักเพื่อความเจริญรุ่งเรือง จากนั้น ยามที่เขาอยู่ในวัยหนุ่มได้ผงาดขึ้นมากลายเป็นเจ้าถิ่น เป็นที่ฮือฮาและมีกำลังในระดับหนึ่ง ทำให้เขาสามารถแต่งงานกับสาวงามอันดับหนึ่งในถิ่นนั้นๆ

แต่แล้ว ภายหลังเกิดโชคร้ายขึ้นมา ภรรยาของเขานอกใจเป็นชู้กับดาวรุ่งที่โด่งดังเป็นหนึ่งไม่เป็นสองรองใครในเก้าแดน ทำให้ราชันเซียนมู่จั๋วได้รับความกระทบกระเทือนใจอย่างหนัก

ทำให้ราชันเซียนมู่จั๋วละทิ้งทรัพย์สินจนหมดสิ้น ล้มเลิกสำนักแล้วเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในป่าเขา เข้าสู่การหลับใหล และไม่ยุ่งเกี่ยวกับสังคมภายนอกอีกเลยตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

หลังจากราชันเซียนมู่จั๋วได้ผิดยุคไป สุดท้ายเขาหวนกลับมาอีกครั้ง สร้างชื่อกระฉ่อนในคราวเดียว ปราศจากผู้ต่อกร สุดท้าย ได้สืบทอดชะตาฟ้ากลายเป็นราชันเซียนที่ปราศจากผู้ต่อกร

หลังจากที่ได้เป็นราชันเซียนแล้ว ราชันเซียนมู่จั๋วเคยมีคนรู้ใจอยู่จำนวนไม่น้อย เคยมีความสัมพันธ์เป็นครั้งคราวกับมารฟ้า เทพธิดาที่เป็นสุดยอดหญิงงามอยู่จำนวนไม่น้อย ภายหลังเขาได้แต่งงานกับหญิงงานอันดับหนึ่งของแดนๆ หนึ่ง

ในฐานะที่เป็นผู้บำเพ็ญตนคนหนึ่ง ความสำเร็จเช่นนี้นับว่าสร้างความอิจฉาให้ผู้คนไม่รู้จำนวนเท่าไร

แต่ว่า ภายหลังราชันเซียนมู่จั๋วกลับรู้สึกว่ามันน่าเบื่อ ล่องลอยจากไป นับจากนั้นเป็นต้นมาก็ไม่มีข่าวคราวของราชันเซียนมู่จั๋วอีกเลย

ขณะที่ราชันเซียนมู่จั๋วตั้งแต่ต้นจนจบไม่ได้จัดตั้งสำนักขึ้นมา ไม่ได้ถ่ายทอดสัจธรรม แม้ว่าชนรุ่นหลังก็มีผู้ที่เคยฝึกเคล็ดวิชาของราชันเซียนมู่จั๋ว แต่ ทั้งหมดล้วนแล้วแต่ไม่ได้ถ่ายทอดโดยราชันเซียนมู่จั๋ว

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล