เมื่อกล่าวถึงตรงนั้แล้ว หลี่ชิเย่ อดทอดถอนใจออกมาว่า “แม้ว่าเชียนหลี่ออกตัวช้าไปนิด เงื่อนไขก็แย่กว่าหน่อยหนึ่ง แต่ความมุ่งมั่นและศรัทธาของนางไม่เคยหวั่นไหว นางยืนหยัดเชื่อมั่นว่าคงมีสักวันที่สามารถโจนทะยานขึ้นฟ้าและกลับกลายเป็นมังกร สืบทอดชะตาฟ้า ดังนั้น นางกลายเป็นราชันเซียน สำหรับเจ้าดำ เขาชื่นชอบความท้าทาย เขาเป็นคนบ้าระห่ำคนหนึ่ง สู้จนถึงที่สุด ดังนั้น เขาได้รับการเคารพสูงสุดมาสามชาติ เขาทะลุขีดสูงสุดของตนในทุกๆ ชาติ และก้าวเดินไปในเส้นทางที่แตกต่างกันในทุกชาติ”
เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้ หลี่ชิเย่ถึงกับจ้องมองไปที่ผู้เฒ่า กล่าวว่า “สำหรับเจิ้งฟงเจ้า สุดท้ายแล้วเจ้าหลบหนี บางทีเจ้าอาจเบื่อหน่ายแล้ว ดังนั้น ตัวเองไม่ต้องการออกจากรังของตน ท้ายที่สุดเจ้าจึงมาถึงที่นี่ มีตะเกียงเป็นเพื่อน เป็นเถ้าแก่ร้านแก่ๆ คนหนึ่ง”
“ถูกต้อง เส้นทางเดินของทุกคน ล้วนแล้วแต่เกิดจากการก้าวเดินของตน ราชันเซียนเชียนหลี่มีเส้นทางราชันเซียนของนาง ราชามังกรดำก็มีเส้นทางความเป็นจ้าวของเขา” ยวีเจิ้งฟง หรือก็คือผู้เฒ่าที่อยู่ตรงหน้า เขาถึงกับทอดถอนใจออกมาว่า “เป็นเพราะข้าไม่ได้ก้าวเดินออกจากใจมารของตนกระมัง”
“ใจมาร?” หลี่ชิเย่ ถึงกับหัวเราะขึ้นมา ส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “คนอื่นอาจจะมีใจมาร แต่ เจ้าไม่มี เส้นทางสายนี้ก้าวเดินไปจนสวรรค์ทอดทิ้งนรกรังเกียจ ยังจะมีใจมารได้อย่างไร ยังจะมีอะไรน่ากลัวยิ่งกว่าสวรรค์ทอดทิ้งนรกรังเกียจเสียอีก?”
“ที่ใต้เท้าพูดมาก็ถูก” ยวีเจิ้งฟงเองก็หัวเราะขึ้นมา เขาไม่ได้มีจิตหดหู่ และไม่สะทกสะท้านยิ่งนัก
หลี่ชิเย่ส่ายหัวเบาๆ จิบเหล้าเลิศรสช้าๆ กล่าวสำหรับเขาแล้ว เขาไม่มีอะไรต้องไปวิจารณ์ตัวของยวีเจิ้งฟงอีกแล้ว เพียงแต่ เขาได้ก้าวเดินไปบนเส้นทางของตนจนถึงที่สุดเท่านั้นเอง
ผู้เฒ่าที่อยู่ตรงหน้ามีชื่อว่ายวีเจิ้งฟง เขาเป็นพี่ชายของยวีไท่จวิน เขาอยู่ร่วมสมัยเดียวกันกับราชันเซียนเชียนหลี่ และราชามังกรดำ ในขณะที่ยวีเจิ้งฟงยังอยู่ในวัยหนุ่มนั้น ตระกูลยวีเป็นเพียงตระกูลขุนนางเล็กๆ เท่านั้นเอง อีกทั้งขณะที่เขายังอยู่ในวัยเยาว์มาก น้องสาวของเขายวีไท่จวินป่วยเป็นโรคที่รักษาไม่หาย หมอที่มีชื่อเสียงทั้งหลายล้วนแล้วแต่จนปัญญา
เพื่อช่วยเหลือน้องสาวของตน ยวีเจิ้งฟงได้พยายามบำเพ็ญเพียร คาดหวังให้ตัวเองกลายเป็นผู้ที่ปราศจากผู้ต่อกร จะได้รักษาโรคของน้องสาวให้หาย
ในคราวหนึ่ง ด้วยความมหัศจรรย์แท้ๆ ยวีเจิ้งฟงจับพลัดจับผลูไปได้สุดยอดหลักสัจธรรมของราชันเซียนมู่จั๋วมา หลังจากเห็นปุ๊บ ยวีเจิ้งฟงก็ได้ก้าวเดินบนเส้นทางที่สุดยอดเป็นหนึ่งไม่มีสองนี้นับแต่นั้นเป็นต้นมา
ยุคนั้นเรียกได้ว่าบุคคลประเภทดาวรุ่งเกิดขึ้นมากมาย เขาเคยต่างฝ่ายต่างเห็นอกเห็นใจด้วยกันกับราชามังกรดำ และราชันเซียนเชียนหลี่ ภายหลัง เป็นเพราะหลี่ชิเย่ทำให้พวกเขาทั้งสามได้รู้จักกัน ในยุคนั้น พวกเขาเคยได้รับการยกย่องจากผู้คนว่าเป็นสามอัจฉริยะบุคคล
ต่อมา ยวีเจิ้งฟงเกิดรักชอบพอในราชันเซียนเชียนหลี่เข้า ขณะที่ราชันเซียนเชียนหลี่กลับมุ่งก้าวเดินบนเส้นทางเพื่อเป็นราชันเซียนให้ได้ จะไม่หันหลังกลับอย่างเด็ดขาด ไม่ได้รู้สึกอะไรกับยวีเจิ้งฟง กระทั่งบนเส้นทางแห่งการช่วงชิงความเป็นราชันเซียนนั้น ยวีเจิ้งฟงพ่ายแพ้ให้กับราชันเซียนเชียนหลี่
สิ่งนี้ได้ส่งผลให้ยวีเจิ้งฟงหมดกำลังใจ แม้ว่ายวีเจิ้งฟงได้ก้าวขึ้นสู่ระดับสูงสุดแล้ว มีกำลังความสามารถที่จะท้าดวลกับราชันเซียนได้ แต่ทว่า เขาไม่รู้สึกยินดียินร้ายกับเรื่องราวบนโลกเสียแล้ว ดังนั้น จึงได้มาถึงเมืองฟงเหวินและเปิดร้านเหล้าเล็กๆ ขึ้นมา อยู่แบบเอ้อระเหยไปวันๆ
ในขณะที่ยวีเจิ้งฟงยังอยู่ในวัยหนุ่ม ได้พบเจอกับหลี่ชิเย่ที่อยู่ในฐานะอีกาทมิฬ หลี่ชิเย่ได้บอกวิธีรักษาให้กับยวีเจิ้งฟง แต่ว่า สมุนไพรที่จะนำมารักษาโรคที่ไม่มีทางรักษาให้หายได้นั้นหาได้ยากมาก
ดังนั้น ยวีเจิ้งฟงจึงได้แต่ให้น้องสาวผนึกร่างเอาไว้ กระทั่งถึงยุคของราชันเซียนหยินเทียน จึงค้นพบสมุนไพรดังกล่าวที่อยู่ในตำนานได้ในที่สุด ยวีเจิ้งฟงได้ขอความช่วยเหลือต่อหลี่ชิเย่ สุดท้าย ภายใต้การช่วยเหลือของหลี่ชิเย่สามารถช่วยยวีไท่จวินเอาไว้ได้ในที่สุด
จึงได้ปรากฏเรื่องราวของยวีไท่จวินที่เข้าร่วมกองทัพราชามังกรดำขึ้นในภายหลัง นับแต่นั้นเป็นต้นมา ยวีเจิ้งฟงไม่สนใจต่อเรื่องราวบนโลกมนุษย์อีกต่อไป เขาเปิดร้านเหล้าเล็กๆ ขึ้นมา เหมือนว่าได้ลืมเรื่องราวบนโลกไปแล้วอย่างนั้น ขณะที่ผู้คนบนโลกก็ได้ลืมเลือนตัวเขาไปเช่นกัน
บนโลกนี้ไม่มีใครรู้ว่า ท่ามกลางร้านเหล้าเล็กๆ เช่นนี้กลับซ่อนยอดฝีมือที่สะเทือนฟ้าเอาไว้คนหนึ่ง
“ชั่วชีวิตของข้า คนที่ข้านับถือที่สุดยังคงเป็นใต้เท้า” ในขณะที่หลี่ชิเย่ได้รินเหล้าให้กับยวีเจิ้งฟงแล้ว เขาอดที่จะจิบไปคำหนึ่ง และกล่าวทอดถอนใจออกมาว่า “ข้าไม่รู้ว่าใต้เท้าเดินมาได้อย่างไรกัน หากเป็นข้า ข้าคงทำไม่ได้”
“เดินไปเรื่อยๆ ก็อย่างที่เห็นแล้ว” หลี่ชิเย่ จิบเหล้าเลิศรสไปคำหนึ่งและยิ้มกล่าว
ยวีเจิ้งฟงถึงกับยิ้มเจื่อนๆ กล่าวว่า “เดินไปเรื่อยๆ มันง่ายเสียที่ไหน ใต้เท้าก้าวเดินทีเป็นพันล้านปี พันล้านปีเลยนะ ช่างเป็นวันเวลาที่เนิ่นนานเหลือเกิน ท่ามกลางวันเวลาอันยาวไกลเช่นนี้ ใต้เท้าต้องพบอะไรมามากมาย พานพบความทุกข์ยากมาเท่าไร จากลาผู้ใกล้ชิดมาเท่าไร ฝังกลบผู้คนมาเท่าไร”
“หลังจากผ่านความทุกข์ยากมานับไม่ถ้วน ใต้เท้าไม่ได้เป็นบ้า และไม่ได้กลายเป็นมารร้าย และไม่ได้กลายเป็นปราชญ์ ยิ่งไม่ได้กลายเป็นผู้ปลีกตัวออกจากสังคม กี่ปีที่ผ่านไป ใต้เท้ายังคงเป็นใต้เท้า ไม่แปรเปลี่ยนความตั้งใจเดิมตลอดกาล ไม่ว่าจะเป็นความยากลำบากเช่นใด ไม่ว่าจะเป็นภัยอันตรายอย่างไร ก็ไม่สามารถล้มใต้เท้าลงได้”
“ใต้เท้ายังคงก้าวเดินไปข้างหน้าต่อไป เร่งเดินทางให้เร็วขึ้นเป็นทวีคูณท่ามกลางพายุฝน เคียงข้างด้วยลมคาวฝนเลือด แม้แต่ราชามังกรดำยังพูดว่า หากเขาจะต้องพานพบอุปสรรคมากมายเช่นใต้เท้าล่ะก็ ไม่แน่นักเขาอาจจะกลายเป็นผู้ที่จงเกลียดจงชังสังคมที่ฟอนแฟะ และธาตุไฟเข้าแทรกจนบ้า! ใต้เท้าย่อมเป็นใต้เท้า จิตที่แน่วแน่ในความตั้งใจแรกเริ่ม เป็นสิ่งที่ผู้เยาว์อย่างพวกข้าไม่อาจเทียบเคียงได้เลย”
เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้แล้ว ยวีเจิ้งฟงได้ดื่มเหล้าในถ้วยจนหมด ถึงกับทอดถอนใจยาวๆ ออกมา
หลี่ชิเย่นิ่งเงียบกับคำกล่าวเช่นนี้ ดื่มเหล้าที่อยู่ในถ้วยช้าๆ ไม่ได้พูดอะไรออกมา กระทั่งไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี
เป็นดั่งที่ยวีเจิ้งฟงได้พูดเอาไว้ ท่ามกลางกาลเวลาที่ยาวไกล เขาได้ลาจากคนสนิทไปแล้วเท่าไร ลงมืองฝังกลบพวกเขาไปจำนวนเท่าไร ตลอดระยะทางที่ก้าวเดินผ่านมาเป็นพันล้านปี มีผู้คนจำนวนเท่าไรที่เคียงข้างตน มีผู้ที่ทุ่มเทให้เขาสุดจิตสุดใจ มีผู้ที่มีจิตใจที่ซื่อสัตย์และจงรักภักดี แต่ทว่า เมื่อก้าวเดินไปเรื่อยๆ สุดท้ายแล้วเหลือเพียงตัวเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น ท่ามกลางกาลเวลาที่ยาวนานเช่นนี้ ผู้คนจำนวนมากมายเท่าไรที่แก่ตายไป ขณะที่ตัวเขายังคงมีชีวิตอยู่!
ความเจ็บปวดที่สุดของชีวิตคนหาใช่ความตาย แต่เป็นผู้คนที่อยู่ข้างกายตนต้องตายไปทีละคนๆ ขณะที่ตนเองนั้นยังคงมีชีวิตอยู่ ในเวลาเช่นนี้ การมีชีวิตอยู่มักจะเป็นเรื่องที่เจ็บปวด ความตายกลับจะเป็นการหลุดพ้นอย่างหนึ่ง
“โลกนี้ คนที่มีชีวิตอยู่ยังมีอีกมาก ยังมีคนจำนวนมากที่มีชีวิตอยู่มานานมากๆ” สุดท้าย หลี่ชิเย่กล่าวท่าทีเรียบเฉยขึ้นมา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...