ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล นิยาย บท 1600

ตอนที่ 1600 อภินิหารของบันไดสิบสองขั้น

ครั้นเขม่าควันจางหายไป เห็นหลี่ชิเย่ยังคงยืนอยู่ตรงนั้นอย่างปลอดภัย เวลานี้เหนือศีรษะของเขามีฉากเหล็กลอยขึ้นมา ฉากเหล็กนี้ส่งประกายแวววาวและโปร่งแสง มีประกายแสงเคลื่อนที่ดุจดั่งจะล้นเอ่อออกมาอย่างนั้น

ฉากเหล็กนี้ไม่ได้มาจากพลังของหลี่ชิเย่เอง แต่มาจากบันไดเสียงสิบสองขั้น บันไดเสียงสิบสองขั้นที่เปล่งเป็นประกายออกมา เห็นสีสันที่ไหลริน สีสันที่ไหลรินนั้น ก็คือประกายที่เปล่งออกมาจากบันไดเสียงสิบสองขั้นนั่นแหละ พวกมันได้กลับกลายเป็นฉากเหล็กที่ใหญ่โตมโหฬาร ทำการครอบหลี่ชิเย่เอาไว้ภายใน และด้วยฉากเหล็กนี้แหละที่ป้องกันการระดมยิงอย่างบ้าคลั่งของเรือรบเพลิงสวรรค์แปดลำนั่น

สีหน้าของผู้อาวุโสพรรคเซียนเหินถึงกับเปลี่ยนไปมาก เมื่อเห็นหลี่ชิเย่ที่อยู่ท่ามกลางฉากเหล็กไม่ได้รับบาดเจ็ดแม้แต่น้อย รวมทั้งยอดฝีมือจำนวนมากของพรรคเซียนเหินที่อยู่บนเรือรบเพลิงสวรรค์แปดลำก็มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก พลันรู้สึกว่าท่าจะไม่ดีเสียแล้ว

โดยเฉพาะภายในใจของผู้อาวุโสพรรคเซียนเหินมีแนวคิดที่จะหลบหนีอยู่แล้ว แรกทีเดียวเขาคาดหวังว่าเรือรบเพลิงสวรรค์สามารถสัมฤทธิ์ผล ต่อให้สังหารหลี่ชิเย่ไม่ได้ก็คาดหวังว่าสามารถสยบหลี่ชิเย่ได้ ดูไปแล้วเวลานี้เรือรบเพลิงสวรรค์ไม่ได้มีประโยชน์แม้แต่นิดเดียว

ภายใต้ฉากเหล็กนี้ หลี่ชิเย่มองดูเรือรบเพลิงสวรรค์แปดลำที่อยู่บนท้องฟ้า เขายิ้มกล่าวเฉยเมยว่า “เรือรบเพลิงสวรรค์มาจากฝีมือของราชันเซียนทุนยื่อ แต่ไม่ควรนำมาใช้กับข้า”

ขาดคำ หลี่ชิเย่ยื่นมือออกไปอย่างคล่องแคล่ว จากการที่มือของเขาโบกสะบัดไปมาอย่างคล่องแคล่ว “ตึง ตึง ตึง…” บังเกิดเป็นเสียงดนตรีดังขึ้นโดยฉับพลัน จังหวะเสียงดูเร่าร้อนยิ่งนัก พลันดังก้องไปทั่วเมืองฟงเหวินอย่างนั้น ขณะที่เสียงดนตรีนี้ดังขึ้นอย่างเร่าร้อนนั้น ปรากฎบันไดเสียงสิบสองขั้นแต่ละขั้นมีการกระดกขึ้น เหมือนหนึ่งได้เขียนแต่งเป็นสุดยอดดนตรีขึ้นมาบทหนึ่งอย่างนั้น

“แกร๊งค์…” เสียงสุดท้ายที่ดังขึ้น พลันบันไดเสียงสิบสองขั้นได้สว่างไสวขึ้น ในเสี้ยววินาทีนี้เอง เห็นประกายที่พุ่งขึ้นรุนแรง กลายเป็นเปลวเพลิงร้อนแรงที่น่ากลัว ทันทีที่เปลวเพลิงพวยพุ่งขึ้นมาจังหวะนั้น เสมือนหนึ่งภูเขาไฟสิบล้านลูกได้ปะทุขึ้นมาพร้อมกัน เปลวเพลิงที่ร้อนแรงและรุนแรงพลันพุ่งขึ้นสู่เก้าชั้นฟ้าสิบแดนดิน ปะทุพวยพุ่งออกมาอย่างบ้าคลั่ง!

เสียง “ตูม…” ดังสนั่น สุดท้าย เมื่อเปลวเพลิงได้ปะทุออกมาจนถึงระดับหนึ่งแล้ว บันไดเสียงสิบสองขั้นได้สั่นไหวทีหนึ่ง แม้แต่เมืองฟงเหวินก็คล้ายมีการสั่นไหวตามไปด้วย

ในเวลานี้เอง บริเวณที่จะก้าวขึ้นไปยังบันไดเสียงสิบสองขั้นกลับปรากฎร่างเงาแต่ละร่างที่ลุกยืนขึ้นมา หลังจากที่แต่ละร่างเงาได้ลุกขึ้นยืนแล้วได้บดบังท้องฟ้าเอาไว้ ทำให้ทุกคนทยอยกันแหงนหน้าขึ้นมอง

นี่เป็นร่างเงาแต่ละร่างที่สูงใหญ่สุดเปรียบเปรย เมื่อร่างเงาสูงใหญ่แต่ละร่างที่ยืนอยู่ตรงบันไดเสียงสิบสองขั้น เรียกได้ว่าศีรษะยันสวรรค์ เท้าเหยียบพื้นดิน พวกมันเสมือนดั่งเป็นมนุษย์ยักษ์แต่ละคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น

ร่างเงาสูงใหญ่สุดเปรียบเปรยแต่ละร่างได้พวยพุ่งเป็นประกายที่ไม่มีสิ้นสุดออกมาทั่วตัว ประกายที่พวยพุ่งออกจากตัวของพวกมันได้ก่อตัวเป็นเปลวเพลิง เปลวเพลิงลักษณะเช่นนี้ได้บดบังท้องฟ้า บดบังดวงตะวันเอาไว้ โดยที่ประกายจากตัวของมันเองได้ส่องประกายจนสสว่างไสวไปทั่วเมืองฟงเหวิน

ที่น่ากลัวยิ่งกว่าก็คือ ร่างเงาที่สูงใหญ่แต่ละร่างได้แผ่กลิ่นอายที่ศักดิ์สิทธิ์ปราศจากผู้เทียบเทียมออกมา แม้ว่าพวกมันเป็นเป็นเพียงร่างเงาลวงตาเท่านั้น แต่ว่ากลิ่นอายที่ศักดิ์สิทธิ์และเป็นอมตะที่แผ่กระจายออกมา เหมือนว่าสามารถทำให้พลังของพวกมันคงความเป็นอมตะนิรันดร์กาลอย่างนั้น

“คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์รึ? ” บรรดายอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่ในเหตุการณ์ต้องขนลุกซู่ในใจ เมื่อมองเห็นจิตวิญญาณที่แผ่กระจายออกมาจากร่างเงาสูงใหญ่แต่ละร่าง จิตวิญญาณชนิดนี้ไม่ได้มีอยู่ในเผ่าพันธุ์ใดๆ ทั้งสิ้น อีกทั้งจิตวิญญาณชนิดนี้แตกต่างโดยสิ้นเชิงกับอานุภาพราชันเซียน เหมือนว่าจิตวิญญาณชนิดนี้เป็นมาแต่กำเนิด เหมือนว่ากำเนิดเกิดมาพร้อมกับความศักดิ์สิทธิ์และสูงส่งเช่นนี้อยู่แล้ว

จิตวิญญาณลักษณะเช่นนี้ สามารถทำให้ภายในใจของผู้ใดก็ตามบังเกิดสัญชาตญาณของความหวาดกลัวขึ้นมา เหมือนว่านี่คือเผ่าพันธุ์ที่มีฐานะสูงกว่าหมื่นเผ่าพันธุ์ และมีสายเลือดที่สูงยิ่งกว่า

ไม่มีใครรู้ว่าร่างเงาที่สูงใหญ่สุดเปรียบเปรยแต่ละร่างแทนสิ่งใดกันแน่ แต่ว่า ยามที่ร่างเงาสูงใหญ่แต่ละร่างปรากฎออกมานั้น หลายคนรู้สึกหวาดกลัวยิ่งนัก รู้สึกหวั่นเกรงอย่างบอกไม่ถูก

“สมควรประหาร…” เวลานี้ หลี่ชิเย่เพียงพูดเรียบเฉยออกมา พลันที่เขาพูดขาดคำ ได้ยินเสียงดัง “ตูม”

เห็นเพียงมนุษย์ยักษ์แต่ละคนได้ยื่นมือขนาดใหญ่ออกไป มือขนาดใหญ่ของพวกเขาพลันจับเอาเรือรบเพลิงสวรรค์แต่ละลำเอาไว้ เพียงชั่วพริบตาเดียวท่านั้น เรือรบเพลิงสวรรค์ทั้งแปดลำก็ตกอยู่ในกำมือของมือขนาดใหญ่แต่ละมือ

ขณะที่มือใหญ่สองข้างบีบเข้าหากัน เสมือนดั่งฟ้าดินเคลื่อนตัวปิดเข้าหากัน ไม่มีทางที่จะหลบหนี ได้แต่นั่งรอความตายสถานเดียว

“ตูม ตูม ตูม…” เสียงจากการระดมยิงอย่างบ้าคลั่งดังขึ้นเป็นระลอก จังหวะที่เรือรบเพลิงสวรรค์แปดลำตกไปอยู่ในมือของมนุษย์ยักษ์นั้น เรือรบเพลิงสวรรค์แปดลำได้ระดมยิงเข้าใส่มือขนาดใหญ่ที่กำลังบีบเข้าหากันอย่างบ้าคลั่ง แม้ว่าพลังของเรือรบเพลิงสวรรค์ทั้งแปดจะระเบิดถึงขีดสูงสุดแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถยิงทะลุมือขนาดใหญ่แต่ละข้างไปได้

“คร๊ากก คร๊ากก คร๊ากก…” จากการที่มือแต่ละข้างที่บีบกระชับเข้าหากัน บรรดาเรือรบเพลิงสวรรค์ที่อยู่ระหว่างมือทั้งสองข้างเริ่มแตกหักขึ้น ภายในระยะเวลาอันสั้น เรือรบเพลิงสวรรค์แปดลำถูกทำลายจนป่นปี้แหลกไม่มีชิ้นดี

“อ๊ากก…” ในเวลานี้ เสียงร้องที่น่าเวทนาดังขึ้นไม่ขาดสาย บรรดาศิษย์พรรคเซียนเหินที่อยู่ภายในลำเรือและต้องการหลบหนี แต่ว่า เมื่ออยู่ท่ามกลางมือขนาดใหญ่มันก็คล้ายดั่งฟ้าดินถูกปิดกั้นเอาไว้ ไม่มีทางที่จะหนีออกมาได้เลย พวกเขาจึงต้องถูกบีบจนร่างแหลกเหลวไปพร้อมกับเรือรบเพลิงสวรรค์

“หลี่ชิเย่ หยุดนะ…” ผู้อาวุโสพรรคเซียนเหินถึงกับร้องเสียงดังออกมา เมื่อเห็นเรือรบเพลิงสวรรค์ทั้งแปดลำถูกบีบจนแหลก เหินฟ้าขึ้นไปพร้อมกับหลินเฮ่าหวังเข้าขัดขวางเอาไว้ แม้ว่าพวกเขารู้ว่าเป็นการกระทำที่ไม่เจียมตน แต่ว่า พวกเขาไม่สามารถละทิ้งได้ ต้องการช่วยเหลือสำนักด้วยกำลังที่มีเพียงน้อยนิด

“ปัง” อย่างไรก็ตาม พวกเขาเพิ่งจะเหินฟ้าขึ้นไป พลันก็ถูกดีดให้ตกลงบนพื้น ได้ยินเสียงจังหวะดนตรีดัง “ตึง” พวกเขาสองศิษย์อาจารย์ก็ถูกสยบอยู่กับพื้นโดยพลัน

“คร๊ากก…” เสียงแตกหักสุดท้ายดังขึ้น เรือรบเพลิงสวรรค์ทั้งแปดลำถูกทำลายลงโดยสิ้นเชิง เรือรบเพลิงสวรรค์ทั้งแปดลำถูกบีบให้กลายเป็นก้อนเหล็กขนาดยักษ์ บนก้อนเหล็กยักษ์ปรากฏสีแดงสดให้เห็น นอกจากจะเป็นสีของตัวเรือรบเองแล้ว ยังมีเลือดสีแดงสดผสมอยู่ในนั้นด้วย

เสียง “ตึง…” ดังสนั่น ก้อนเหล็กขนาดยักษ์ทั้งแปดถูกโยนตกลงบนพื้นจนพื้นถูกกระแทกกลายเป็นหลุมที่มีขนาดใหญ่และลึกขึ้นมา

ผู้อาวุโสพรรคเซียนเหินถึงกับนั่งอยู่ตรงนั้นขวัญไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เมื่อเห็นเรือรบเพลิงสวรรค์แปดลำกลายเป็นเศษเหล็ก อีกทั้งศิษย์ที่อยู่บนเรือรบเพลิงสวรรค์ทั้งแปดลำไม่มีใครรอดชีวิตได้แม้แต่คนเดียว

ผู้อาวุโสพรรคเซียนเหินถึงกับเหม่อลอยไม่อาจเรียกสติกลับมาในเวลานี้ ภาพนี้ส่งผลกระทบต่อเข้ารุนแรงยิ่งนัก เสมือนหนึ่งเจ็บปวดดั่งหัวใจถูกขยี้อย่างนั้น

พันล้านปีที่ผ่านมา พรรคเซียนเหินของพวกเขาปราศจากผู้ต่อกรเช่นใด มีหน้ามีตาแค่ไหน เรียกลมเรียกฝนได้อย่างไร ในมุมมองของศิษย์พรรคเซียนเหินมองว่า ขอเพียงพรรคเซียนเหิน พวกเขาเข้าสู่ยุทธภพ ก็จะปราศจากผู้ต่อกรทั่วหล้า

มาคราวนี้ พรรคเซียนเหินของพวกเขาปรากฏตัวขึ้นที่มหาสมุทรอุดร พลันลงมือก็สามารถแย่งชิงเอาพื้นน้ำไปด้านหนึ่ง แม้ว่าได้รับการต่อต้าน แต่ว่า อาศัยกำลังของพรรคเซียนเหินลงมือโจมตีศัตรู เรียกได้ว่าสามารถทำลายล้างได้อย่างง่ายดาย

อย่างไรก็ตาม มาวันนี้เรือรบทั้งแปดลำของพรรคเซียนเหินกลับถูกหลี่ชิเย่บี้จนกลายเป็นเศษเหล็กได้อย่างง่ายดาย นี่ไม่เพียงทำลายเรือรบเพลิงสวรรค์ทั้งแปดลำของพวกเขาเท่านั้น แต่ดูเหมือนเป็นการทำลายล้างความมีหน้ามีตาของพรรคเซียนเหินพวกเขาจนหมดสิ้นในคราเดียวกันอีกด้วย

ไม่นานมานี้เอง พรรคเซียนเหินของพวกเขาไหนเลยเคยพ่ายแพ้อย่างยับเยินเช่นนี้มาก่อน ไม่นานมานี้เอง พรรคเซียนเหินของพวกเขาไหนเลยเคยถูกคนอื่นดูถูกเช่นนี้มาก่อน

ในเวลานี้ ผู้อาวุโสพรรคเซียนเหินนั่งอยู่ตรงนั้น หมดสิ้นเรี่ยวแรง เมื่อเผชิญหน้ากับคนโหดอันดับหนึ่ง พวกเขาไม่มีคำพูดใดๆ ที่จะมาเปรียบเปรยได้อีกต่อไป

เสียง “ปุ…” ดังขึ้น หลี่ชิเย่ที่ยืนอยู่เหนือบันไดเสียงสิบสองขั้นลงมือแล้ว นิ้วหนึ่งที่จิ้มเข้ามา หลินเฮ่ากลายเป็นหมอกเลือดไปทันที ไม่มีโอกาสแม้แต่จะร้องออกมา

ผู้อาวุโสพรรคเซียนเหินในฐานะเป็นอาจารย์ได้แต่นั่งเหม่อลอยอยู่ตรงนั้น เขาไม่มีเรี่ยวแรงที่จะไปขัดขืน ไม่มีเรี่ยวแรงไปดิ้นรน ในเวลานี้เขาจึงได้รับรู้ถึงความรู้สึกที่สิ้นหวังอย่างลึกซึ้ง เมื่อต้องอยู่ต่อหน้าคนโหดอันดับหนึ่ง เขาช่างอ่อนแอไร้เรี่ยวแรงเหลือเกิน เขาสุดที่จะรับมือได้เลย

“ที่ข้าไว้ชีวิตเจ้า เพียงต้องการให้เจ้านำคำพูดของข้าแจ้งต่อพรรคเซียนเหิน ไม่ว่าเวลานี้ใครเป็นผู้ดูแลพรรคเซียนเหิน หากรู้จักกาลเทศะล่ะก็ ไปให้พ้นจากสายตาของข้าเดี๋ยวนี้ มิฉะนั้นล่ะก็ ช้าเร็วข้าต้องทำลายพรรคเซียนเหินของพวกเจ้า! ” หลี่ชิเย่เพียงจ้องมองผู้อาวุโสพรรคเซียนเหินอย่างน่าเกรงขาม

เวลานี้ ผู้อาวุโสพรรคเซียนเหินวิญญาณไม่อยู่กับเนื้อกับตัว หากเป็นก่อนหน้านั้น ไม่ว่าศัตรูจะกล้าแข็งเพียงใดก็ตาม ต่อให้ตัวเองไม่สามารถต่อกรได้ เขาก็ต้องพูดคำพูดที่แข็งกร้าวออกมา พรรคเซียนเหินของพวกเขาไม่เคยกลัวใครมาก่อน

แต่ว่า เวลานี้แม้แต่คำพูดที่พูดให้ดูดีก็พูดไม่ออก ในเวลานี้ เขารู้สึกว่าปราศจากเรี่ยวแรงที่จะดิ้นรน ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะขัดขืนได้เลย

สุดท้าย ผู้อาวุโสพรรคเซียนเหินลุกขึ้นยืนและจากไปอย่างเงียบๆ ไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียว นาทีนี้ผู้อาวุโสพรรคเซียนเหินเหมือนแก่ลงไปมากทีเดียว เหมือนว่าเขาพลันแก่ลงหลายสิบปีอย่างนั้น

เมื่อผู้อาวุโสพรรคเซียนเหินจากไปแล้ว หลี่ชิเย่ที่ยืนอยู่บนบันไดเสียงสิบสองขั้นมองผู้ที่อยุ่ในเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างน่าเกรงขาม ขณะที่สิ่งที่ดำรงอยู่ในฐานะเหมือนดั่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ยืนอยู่รอบกายเขา ตัวของหลี่ชิเย่ก็คล้ายดั่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุด เป็นเจ้าแห่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งมวล ทำให้ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดถึงกับสั่นเทาลึกๆ อยู่ในใจ ภายใต้การมองอย่างน่าเกรงขามของหลี่ชิเย่ต่างทยอยกันก้มหน้า ไม่กล้ามองหลี่ชิเย่อีก

หลี่ชิเย่เพียงยิ้มนิดหนึ่ง สายตาตกอยู่ที่บ้านตระกูลยวีที่ตั้งอยู่ในเมืองฟงเหวิน สุดท้าย ได้แต่ทอดถอนใจเบาๆ ออกมา

จากนั้น ประกายทั้งหมดที่อยู่บนบันไดเสียงสิบสองขั้นได้จางหายไป ร่างเงาที่สูงใหญ่ปราศจากผู้เปรียบเปรยก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย เวลานี้ บันไดเสียงสิบสองขั้นได้กลับคืนสู่ปรกติตามเดิม หลี่ชิเย่ได้ก้าวลงจากบันไดเสียงทีละขั้นๆ

หลังจากที่หลี่ชิเย่ก้าวเดินลงมาจากบันไดเสียงสิบสองขั้นแล้ว บรรดาผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ทยอยกันถอยหลัง หลีกเป็นทางกว้างให้กับหลี่ชิเย่ ตั้งแต่ต้นจนจบไม่มีใครกล้าที่จะเงยหน้ามองดูคนโหดอันดับหนึ่งอีกสักครั้ง

หลี่ชิเย่ก้าวเดินออกมาและพูดกับข่งเชียะหมิงหวางว่า “ไปเถอะ ควรไปบ้านตระกูลยวีได้แล้ว” กล่าวจบเดินจากไปทันที

ไม่ง่ายนักกว่าข่งเชียะหมิงหวางจะได้สติกลับมาจากการตระหนกตกใจ หลังจากได้สติกลับมาแล้วจึงรีบก้าวเท้าติดตามหลี่ชิเย่ไป

ภายในบ้านตระกูลยวี พวกของยวีจู่ก็มีสีหน้าที่ขาวซีด เวลานี้ ดูเงียบสงัดไปทั่วทั้งบ้านตระกูลยวี เวลานี้บรรดายอดฝีมือต่างจ้องมองกันและกัน

เวลานี้ แม้แต่ระดับจักรพรรดิเอกอย่างยวีจู่ก็รู้สึกหนาวสะท้านในใจ ที่หนาวสะท้านไม่เพียงเพราะความแข็งแกร่งของหลี่ชิเย่ ที่ทำให้ในใจของเขาต้องหวาดหวั่นมากกว่านี้ก็คือ หลี่ชิเย่สามารถควบคุมพลังของบันไดเสียงสิบสองขั้น ซึ่งกล่าวสำหรับเขาแล้ว เป็นเรื่องที่หวาดหวั่นมากที่สุดของเขา

เนื่องจากเขารู้ว่าบันไดเสียงสิบสองขั้นหาใช่เป็นเพียงสถานที่ที่ทดสอบเรื่องกำลังเท่านั้น มันยังเป็นอาวุธอย่างหนึ่ง กล่าวสำหรับบ้านตระกูลยวีของพวกเขาแล้วถือเป็นอาวุธที่มีความสำคัญมาก

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล