ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล นิยาย บท 1605

ตอนที่ 1605 ผู้รับการคัดเลือก

ยวีจงหยิงลุกขึ้นยืนแล้วรู้สึกตื่นเต้นหวั่นไหวจนไม่สามารถควบคุมตนเอง เขาไม่นึกไม่ฝันเลยว่าในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่จะได้พบกับจอมปราชญ์ในครั้งครานั้นได้อีกครั้งหนึ่ง

ครั้งนั้นเขายังเยาว์วัยมาก แต่ว่า เขายังจำได้ว่าจอมปราชญ์เคยพาเขานั่งปลาวาฬออกทะเลเพื่อไปชมพระอาทิตย์ตก สมควรทราบว่า ในยุคสมัยเช่นนั้นจอมปราชญ์อยู่ในฐานะผู้บงการเก้าแดน มีฐานะสูงส่ง การที่เขาได้รับโปรดปรานจากจอมปราชญ์ สาเหตุสำคัญมาจากผลงานที่ยอดเยี่ยมของผู้เป็นบิดามารดานั่นเอง

มาวันนี้ เขาไม่นึกไม่ฝันเลยว่า เรื่องราวผ่านมาเนิ่นนานถึงเพียงนี้ จอมปราชญ์ที่อยู่ในฐานะผู้บงการเก้าแดนถึงกับมาที่บ้านตระกูลยวีด้วยตัวเอง สิ่งนี้กล่าวสำหรับบ้านตระกูลยวีแล้ว นับว่าเป็นเกียรติยศอย่างยิ่ง!

เวลานี้ ยวีจู่และบรรดาศิษย์ของตระกูลยวีทั้งหมดต่างรู้สึกตะลึงงงงันไปหมด บรรพบุรุษยวีมีฐานะสูงส่งในตระกูลยวี เป็นถึงระดับจักรพรรดิเทพเก้าแดน มาวันนี้กลับคุกเข่าก้มกราบต่อคนโหดอันดับหนึ่ง สิ่งนี้กล่าวสำหรับพวกเขาแล้ว สร้างความสะเทือนหวั่นไหวเหลือเกิน

“พวกสวะทั้งนั้น มองเห็นแต่เรื่องเล็กน้อยไม่เห็นภาพใหญ่!” ยวีไท่จวินกล่าวน่าเกรงขามว่า “มีตาแต่ไร้แวว!”

“ช่างเถอะ เรื่องนี้ก็ไม่โทษพวกเขา” หลี่ชิเย่กลับไปนั่งเก้าอี้ตามเดิม ส่ายหน้าเบาๆ

หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นเขาคงลงมือไปนานแล้ว แต่เห็นแก่หน้าของยวีไท่จวินแม้อยากจะโกรธก็โกรธไม่ลง หาไม่แล้ว เฉกเช่นยวีจั่นที่เป็นตัวประกอบเช่นนี้จะมาทำอวดดีต่อหน้าเขาได้นานเช่นนี้ได้อย่างไร

ในเวลานี้ พวกของยวีจู่ไม่กล้าแม้กระทั่งหายใจแรง พวกเขาไม่สามารถรู้ถึงประวัติความเป็นมาของคนโหดอันดับหนึ่งได้ อย่างไรก็ตาม กระทั่งบรรพบุรุษของพวกเขายังให้ความเคารพนอบน้อมถึงเพียงนี้ ต่อให้พวกเขาโง่เขลามากกว่านี้ก็ต้องรู้ว่าประวัติความเป็นมาของคนโหดอันดับหนึ่งนั้นยิ่งใหญ่

สำหรับยวีจั่นที่คุกเข่าอยู่ตรงนั้น ยิ่งถูกทำให้ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา และไม่กล้าพูดอะไรแม้แต่แอะ

ยวีไท่จวินถึงกับผิดหวังอยู่บ้าง เมื่อมองเห็นบรรดาลูกหลานแต่ละคนที่ต่างก้มหน้าก้มตาอยู่ตรงนั้น ผู้ที่สามารถรับผิดชอบงานโดยลำพังคนเดียวมีน้อยลงทุกทีๆ ลูกหลานอกตัญญู รุ่นหนึ่งแย่กว่าอีกรุ่นหนี่ง

ขณะยวีจงหยิงยังมีชีวิตอยู่ ยังพอจะทำโอบอุ้มตระกูลยวีเอาไว้ได้ แต่ว่า หากยวีจงหยิงแก่ชราลง ผู้ที่สามารถรับภาระใหญ่ก็มีเพียงยวีจู่คนเดียวเท่านั้น ตระกูลยวีขนาดใหญ่อาศัยผู้ที่จะดูแลอยู่เพียงแค่หนึ่งถึงสองคนเท่านั้น ตระกูลในลักษณะเช่นนี้คิดจะไม่เสื่อมถอยก็คงยาก

กล่าวสำหรับยวีไท่จวินแล้ว นางเองก็จนด้วยเกล้า ใช่ว่าตระกูลยวีจะขาดแคลนทรัพยากร เพียงแต่ขาดศิษย์ที่มีพลังแฝงในตัว ซึ่งพลังแฝงที่ว่านั้นใช่เป็นเพียงพรสวรรค์เท่านั้น

“พวกไม่เอาไหนทั้งนั้น วาสนาชั่วชีวิตถูกพวกเจ้าทำลายไปโดยเปล่าประโยชน์!” ยวีไท่จวินว่ากล่าวลูกหลานที่อยู่ตรงหน้าอย่างน่าเกรงขาม

พวกของยวีจู่ถูกด่าว่าจนก้มหน้าต่ำ ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา ไม่กล้าแม้แต่หายใจแรงด้วยซ้ำ

“ใต้เท้า ท่านว่าพวกไม่เอาไหนพวกนี้ยังพอจะมีหวังหรือไม่?” เวลานี้ ยวีไท่จวินได้เอ่ยกับหลี่ชิเย่ขึ้นมา

ในสายตาของยวีไท่จวินมองว่า พูดถึงเรื่องบ่มฟักผู้มีความสามารถ พูดถึงเรื่องการแยกแยะผู้มีความสามารถแล้ว ไม่มีใครสามารถเทียบได้กับหลี่ชิเย่ นับแต่อดีตถึงปัจจุบัน สุดยอดบุคคลในหล้าที่ผ่านการบ่มฟักด้วยมือของเขานั้นมีจำนวนนับไม่ถ้วน

พวกยวีจู่ถึงกับสะท้านถึงในทรวงเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ แม้แต่บรรพบุรุษของพวกเขายังให้ความเคารพคนโหดอันดับหนึ่งถึงเพียงนี้ แสดงว่าประวัติความเป็นมาของคนโหดอันดับหนึ่งนั้นน่ากลัวเหลือเกิน

“ข้าน่ะแก่แล้ว สายตาฝ้าฟางไปหมดแล้ว ไม่อยากทำให้ลูกหลานผู้อื่นต้องเสียการ” หลี่ชิเย่ ส่ายหน้าเบาๆ

เมื่อยวีไท่จวินได้ยินคำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่แล้วถึงกับทอดถอนใจเบาๆ ออกมา นางรู้ว่าลูกหลานอกตัญญูเหล่านี้ไม่เข้าตาหลี่ชิเย่ มิฉะนั้นล่ะก็ หากได้รับความโปรดปรานจากหลี่ชิเย่แล้วทำการบ่มฟักขึ้นมา ต้องมีอนาคตที่ไร้ขีดจำกัดอย่างแน่นอน

“ขึ้นมาคารวะต่อใต้เท้าทั้งหมดก็แล้วกัน” ยวีไท่จวินสั่งการต่อลูกหลานตระกูลยวีด้วยท่าทีเย็นชา นี่คือทางลงสุดท้ายที่นางสามารถคิดหาให้กับบรรดาลูกหลานอกตัญญูได้แล้ว

พวกยวีจู่ไม่กล้าขัดคำสั่ง ต่างทยอยกันก้าวเดินขึ้นมาและคุกเข่าอยู่ตรงนั้น หลี่ชิเย่เพียงพยักหน้าเบาๆ โดยไม่ได้พูดอะไรออกมา

แม้แต่ยวีจงหยิงที่ยืนห้อยมืออยู่ข้างๆ เมื่อได้เห็นภาพนี้แล้ว ก็เข้าใจได้ว่า ลูกหลานพวกนี้หมดหวังเสียแล้ว ไม่เข้าตาหลี่ชิเย่

ยวีไท่จวินได้แต่ส่งเสียงแสดงความไม่พอใจออกมา ขณะมองดูบรรดาลูกหลานที่คุกเข่าอยู่ กล่าวน้ำเสียงน่าเกรงขามว่า “พวกเจ้ามีทรัพยากรที่ดีขนาดนี้แล้ว หันมาดูพวกเจ้าเองซิ ที่พวกเจ้าฝึกนั้นล้วนแล้วแต่ไร้สาระทั้งนั้น เทียบไม่ได้กระทั่งผู้บำเพ็ญตนไร้สังกัด เคยชินกับการอยู่อย่างสุขสบาย ลืมไปแล้วหรือว่าตัวเองคือผู้บำเพ็ญตนคนหนึ่ง! นึกว่าตัวเองเป็นคุณชายคุณหนูน่ะสิ!”

พวกของยวีจู่ถูกบรรพบุรุษสั่งสอนจนก้มหน้าก้มตาเต็มที่ ไม่กล้าส่งเสียงสักคำ

ยวีไท่จวินมองดูพวกของยวีจู่แล้ว กล่าวน่าเกรงขามว่า “เสี่ยวสือเอ๋อร์ หลายปีมานี้นับว่าเจ้ามีความพยายาม แต่ เจ้าขาดวิสัยทัศน์ กับลูกหลานก็รักมากเกินไป ไม่เข้มงวดในการสั่งสอน ทำให้พวกเขากลายเป็นคุณชายที่หลบอยู่แต่บนหอคอยงาช้าง!”

คนที่ดำเนินนโยบายของบ้านตระกูลยวียังคงเป็นยวีจู่ บรรพบุรุษเช่นยวีจงหยิงที่อายุปูนนี้แล้ว โดยปรกติจะไม่ก้าวก่ายกิจการงาน

เมื่อยวีจู่ถูกบรพบุรุษกล่าวตำหนิเช่นนี้ ได้แต่ก้มหน้าและกล่าวว่า “เหลนไร้ความสามารถ สร้างความเสื่อมเสียให้กับลูกหลานตระกูลยวี ขอท่านบรรพบุรุษโปรดลงโทษ”

“ต่อไปนี้ลงโทษเจ้าให้เป็นผู้ควบคุมการฝึกด้วยตนเอง” ยวีไท่จวินกล่าวน่าเกรงขามออกมาว่า “นับแต่วันนี้เป็นต้นไป ตระกูลยวีจะปิดสำนัก ให้ใช้กฎกองทัพในการปกครองและฝึกศิษย์ทุกคนอย่างหนัก ใครที่ไม่ถึงระดับตามเกณฑ์ที่กำหนด ห้ามออกจากสำนักแม้เพียงครึ่งก้าว เพื่อไม่ให้อับอายขายหน้าผู้คน!”

การที่ยวีไท่จวินต้องทำเช่นนี้ก็เพราะจนด้วยเกล้า กล่าวสำหรับศิษย์ตระกูลยวีแล้ว ลูกหลานตระกูลยวีไม่ได้ขาดแคลนเรื่องของทรัพยากร แต่พวกเขาขาดจิตแห่งการบำเพ็ญเพียร ศิษย์ตระกูลยวีมีความเป็นอยู่สุขสบายมากเกินไป กล่าวสำหรับพวกเขาแล้ว ไม่ว่าต้องการสิ่งใดก็สามารถได้มาโดยง่ายดาย ทำให้พวกเขามีชีวิตที่เลิศหรู มีฐานะที่สูงส่งมาก

ด้วยสาเหตุนี้เอง ทำให้จิตของลูกหลานตระกูลยวีฟุ้งซ่าน ยากที่จะต้านกับความยั่วยวนภายนอกได้ ยากจะสงบจิตเพื่อฝึกฝนอย่างหนัก เมื่อเป็นเช่นนี้จึงทำให้จิตแห่งการบำเพ็ญเพียรไม่แข็งแกร่งพอ!

ในมุมมองของยวีไท่จวินมองว่า สิ่งที่ศิษย์ตระกูลยวีขาดไปก็คือจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรที่เข้มแข็ง เนื่องด้วยสาเหตุนี้เอง จึงทำให้เรื่องแรกที่นางจะทำก็คือปิดบ้านตระกูลยวี แล้วอาศัยกฎเหล็กมาทำการขัดเกลาศิษย์ภายในสำนัก

“แหลนรับคำสั่ง” ยวีจู่ก้าวไปข้างหน้าและคุกเข่าก้มกราบ

ยวีไท่จวินมองดูยวีจั่น กล่าวน่าเกรงขามออกมาว่า “แม้ว่าเจ้าจะอ่อนวัยโง่เขลา แต่ ฝึกวิชาได้งูๆ ปลาๆ เท่านั้น ได้แต่อาศัยชื่อเสียงของบรรพบุรุษไปอวดเบ่ง ลงโทษตัดเบี้ยหวัดเจ้าเป็นเวลาสามสิบปี ไปรับการฝึกอย่างหนัก ณ หุบเขาจมน้ำเป็นเวลาหนึ่งร้อยปี เพื่อขัดเกลาความล้มเหลวของเจ้า!”

สีหน้าของยวีจั่นพลันขาวซีด การลงโทษในลักษณะเช่นนี้สำหรับคุณชายอย่างเขานั้น เรียกได้ว่ารับไม่ได้จริงๆ แต่ทว่า เขาก็ไม่กล้าขัดขืน ก้มกราบกับพื้นและกล่าวว่า “ศิษย์ยินดีรับโทษ”

ยวีไท่จวินส่งเสียงน่าเกรงขามออกมาเมื่อมองเห็นลูกหลานที่อยู่ตรงหน้า ต้องทอดถอนใจภายในใจเบาๆ ไม่ว่าผู้อาวุโสคนใดก็ตาม ย่อมต้องรักในลูกหลานของตนเองอยู่แล้ว แต่ว่า ด้วยกระแสความล้มเหลวเช่นนี้ของตระกูลยวี นางไม่อาจไม่เข้มงวด

“ใต้เท้า ในบรรดาศิษย์ของตระกูลยวี ท่านเลือกสักคนดีไหม?” ในที่สุด ยวีไท่จวินจ้องมองหลี่ชิเย่และเอ่ยขึ้นมา

การที่ยวีไท่จวินพูดลักษณะเช่นนี้ออกมาอีกครั้ง เท่ากับเป็นการบากหน้าขอความช่วยเหลือจากหลี่ชิเย่แล้ว จะอย่างไรเสีย ศิษย์คตระกูลยวีของพวกเขาไม่เข้าตาหลี่ชิเย่เลย มาครั้งนี้ยวีไท่จวินยอมเสียหน้า หวังเพียงหลี่ชิเย่สามารถลงมือชี้แนะลูกหลานของตระกูลยวีสักนิดหนึ่ง

ยวีไท่จวินเองก็เข้าใจดี นางจึงไม่คาดหวังว่าหลี่ชิเย่จะชี้แนะศิษย์ของตระกูลยวีทุกคน แต่หากว่าสามารถชี้แนะให้กับศิษย์ของตระกูลยวีสักคน กล่าวสำหรับตระกูลยวีแล้วมันก็คือความหวังหนึ่งเหมือนกัน

ยวีไท่จวินรู้ว่า หากสามารถได้รับการบ่มฟักจาหลี่ชิเย่ล่ะก็ ต่อให้คนๆ นั้นแย่เพียงใดก็ตามก็มีโอกาสก้าวหน้าได้เหมือนกัน

กล่าวสำหรับตระกูลยวีในเวลานี้ของพวกเขาแล้ว เรียกได้ว่าไร้ผู้สืบทอด ยวีจงหยิงมีชีวิตอยู่ได้ไม่นานนัก ขณะที่ยวีจู่ก็มีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินหนึ่งยุค ดังนั้น อย่างน้อยที่สุด ตระกูลยวีของพวกเขาจำเป็นต้องได้กลุ่มคนรุ่นใหม่สักคนที่สามารถดำเนินกิจการภายในสำนักได้เพียงลำพังคนเดียว

สิ่งนี้ก็คือสาเหตุที่ยวีไท่จวินบากหน้าขอความช่วยเหลือจากหลี่ชิเย่ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม กล่าวสำหรับตระกูลยวีของพวกเขาแล้วนับเป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่งนัก

หลี่ชิเย่ถึงกับทอดถอนใจออกมาเบาๆ กับคำร้องขอของยวีไท่จวิน หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นหลี่ชิเย่ย่อมขี้คร้านจะไปยุ่งกับเรื่องเช่นนี้อยู่แล้ว แต่นี่เป็นคำร้องขอของขุนพลเก่า เขาไม่อาจไม่ให้เกียรตินาง

หลี่ชิเย่ได้แต่มองดูบรรดาลูกหลานของตระกูลยวีที่อยู่ในเหตุการณ์ สุดท้าย เขาทอดถอนใจออกมาเบาๆ สายตาไปตกอยู่ที่ยวียวี่เหลียน ชี้ไปที่นางแล้วกล่าวว่า “เลือกนางก็แล้วกัน”

ยวียวี่เหลียนที่คุกเข่าอยู่ถึงกับตะลึงงันเมื่อได้รับการคัดเลือกโดยหลี่ชิเย่ นางไม่เคยคาดคิดเลยว่าตนเองจะได้รับการคัดเลือก จะอย่างไรเสียนางไม่ได้เป็นมิตรกับหลี่ชิเย่เลย เวลานี้ถึงกับเหม่อลอยอยู่ตรงนั้น

“เจ้าเข้ามานี่” ยวีไท่จวินถึงกับเผยรอยยิ้มออกมาเมื่อเห็นว่าหลี่ชิเย่เห็นด้วยแล้ว จึงกวักมือเรียกยวียวี่เหลียน

ยวียวี่เหลียนรู้สึกงงๆ อยู่บ้าง แต่ยังคงเดินเข้าไปหาและคุกเข่าอยู่ตรงนั้น กล่าวว่า “ยวี่เหลียนคารวะท่านบรรพบุรุษ”

“นี่คือบททดสอบที่มีต่อเจ้า เจ้าจะยินดีหรือไม่?” ยวีไท่จวินเอ่ยขึ้นมาช้าๆ “เจ้าจำเป็นต้องตัดสินใจเด็ดขาด จิตแห่งการบำเพ็ญเพียรไม่มั่นคงยังมีโอกาสทำให้มันหนักแน่นขึ้นมาใหม่ ที่สำคัญก็คือเจ้ามีปณิธานในสิ่งนี้หรือไม่”

ยวีไท่จวินจ้องมองดูยวียวี่เหลียน กล่าวอย่างช้าๆ ว่า “เส้นทางสายนี้ถูกลิขิตเอาไว้แล้วว่าไม่ราบเรียบ เจ้าจะต้องเผชิญกับอุปสรรคมากมาย ต้องเผชิญหน้ากับการตัดสินใจมากมาย ต้องเผชิญกับความเจ็บปวด แต่ทว่า หากเจ้าสามารถก้าวเดินไปได้เรื่อยๆ ขอเพียงเจ้าสามารถทำให้จิตแห่งการบำเพ็ญเพียรมั่นคง เจ้าต้องได้พบกับเส้นทางที่โชติช่วงชัชวาล”

“ข้า ข้า ข้า…” ยวียวี่เหลียนถึงกับออกอาการลังเลขึ้นมา ปรารถนาจะได้มันมาอยู่บ้าง แต่ก็อยากถอยหนีอยู่บ้าง

เวลานี้ ยวีจู่ถึงกับร้อนรนแทนยวียวี่เหลียนเมื่อมองเห็นสภาพเช่นนี้แล้ว นี่คือโอกาสที่หาได้ยากยิ่งมาก แม้แต่ระดับจักรพรรดิเทพเช่นเขายังไม่ได้รับโอกาสเช่นนี้ ขณะที่ยวียวี่เหลียนสามารถได้รับโอกาสเช่นนี้ นับว่าเป็นฟ้าประทานโอกาสมาให้แล้ว

ในเวลานี้ ยวีจู่ถึงกับร้อนรนขึ้นมา ไม่รู้ว่านางลังเลด้วยเรื่องอะไร

“ลูกเอ๊ย เจ้ายังจะมีอะไรที่ปล่อยวางไม่ได้รึ?” ยวีไท่จวินคือระดับสามารถต่อกรกับราชันเซียนซึ่งหน้าได้ มีเรื่องอะไรที่นางไม่เคยพบเจอมาก่อน นางเอ่ยขึ้นอย่างเชื่องช้า

“ข้า…” ยวียวี่เหลียนอ้าปากทำท่าจะพูด แต่ กลับพูดไม่ออก

“เพราะหลงอ้าวเทียนแห่งพรรคเซียนเหินอย่างนั้นรึ?” ในใจของยวีจู่พลันเข้าใจทันที จึงชี้นำเสียงแผ่วเบาออกมา

“ข้าไม่รู้” ยวียวี่เหลียนหน้าแดง ถึงกับก้มหน้าลง

ยวีจู่ย่อมเข้าใจในเรื่องนี้ เนื่องจากก่อนหน้านี้ ตระกูลยวีของพวกเขาก็ยินดีให้มันเป็นไป แต่ สถานการณ์เวลานี้เปลี่ยนไป เขากลับต้องการให้ยวียวี่เหลียนรั้งอยู่ที่นี่มากกว่า จะอย่างไรเสียมันมีความสำคัญอย่างยิ่ง หลังจากที่ยวียวี่เหลียนได้รับการบ่มฟักแล้ว

“ไอ้หนูของพรรคเซียนเหินไม่คู่ควรกับเจ้า ต่อให้เจ้าต้องการแต่งออกไป กล่าวสำหรับเจ้าแล้วจะไม่มีจุดจบที่ดี” ยวีไท่จวินกล่าวราดน้ำเย็นบั่นทอนกำลังใจลูกหลานของตน

“ท่านบรรพบุรุษ…” ยวียวี่เหลียนถึงกับร้องออกมาคำหนึ่ง แต่ ก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล