หลี่ชิเย่พาข่งเชียะหมิงหวางขึ้นเขาลงห้วย ทะลุผ่านทะเลที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ก้าวข้ามดินแดนที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ พวกเขาก้าวไปไกลมากๆ พวกเขาดำดิ่งลงบริเวณส่วนที่ลึกที่สุดของมหาสมุทรอุดร ก้าวข้ามบริเวณที่เป็นเขตขั้วโลกของมหาสมุทรอุดร และปีนขึ้นไปบนยอดเขาที่สูงที่สุด
สรุปก็คือ หลี่ชิเย่ได้พาข่งเชียะหมิงหวางก้าวเดินไปเป็นระยะทางที่ยาวเหยียดมาก
“พวกเราจะไปที่ไหนกันหละ?” ข่งเชียะหมิงหวางที่ติดตามหลี่ชิเย่ขึ้นเขาลงห้วย ทะลุผ่านเขตขั้วโลก ก้าวข้ามธารน้ำแข็ง อดที่จะเอ่ยถามขึ้นมาไม่ได้
“เป็นสถานที่ที่ไกลโพ้นยิ่งนัก ในเมื่อเจ้าสามารถเฝ้ารักษาเมืองหมิงจู ก็สามารถรับรู้ถึงสถานที่แห่งนี้ได้ แน่นอน ในอนาคตเจ้าสามารถหาพบหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับฝีมือของเจ้าเองแล้ว” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าว
ข่งเชียะหมิงหวางถึงกับยืนเซ่อ ตลอดทางได้ผ่านสถานที่มากมาย ถ้าหากให้นางเดินใหม่อีกรอบหนึ่ง เกรงว่านางคงไม่แน่ว่าจะสามารถจดจำเส้นทางได้
“ทำไมพวกเราไม่ก้าวข้ามทางอากาศล่ะ?” ข่งเชียะหมิงหวางถึงกับเอ่ยถามด้วยความสงสัย นางเชื่อว่าด้วยกำลังความสามารถของหลี่ชิเย่ต้องสามารถก้าวข้ามทางอากาศได้ และสามารถไปยังเป้าหมายทุกแห่งในเก้าแดนได้
“ถ้าหากก้าวข้ามโดยตรงจะไม่สามารถไปถึงสถานที่แห่งนั้นได้ นี่คือวิธีการหลบเลี่ยงอย่างชาญฉลาดล้ำเลิศทางช่องว่างอากาศอย่างหนึ่ง เจ้าต้องอาศัยวิธีเลี้ยวลดคดเคี้ยวอ้อมผ่านวิธีการหลบเลี่ยงอย่างชาญฉลาดล้ำเลิศทางช่องว่างอากาศนี้ไป จึงสามารถไปถึงสถานที่ที่ต้องการได้” หลี่ชิเย่กล่าวท่าทีเรียบเฉย
เมื่อข่งเชียะหมิงหวางได้ยินคำพูดของหลี่ชิเย่แล้ว พลันเข้าใจทันทีว่า สถานที่ที่พวกเขาต้องการไปจะต้องเป็นสถานที่ที่สำคัญและลึกลับมาก มิฉะนั้นคงไม่น่าเป็นไปได้ที่จะต้องมีการวางวิธีการหลบเลี่ยงทางช่องว่างอากาศให้ล้ำเลิศถึงเพียงนี้
หลี่ชิเย่ พาข่งเชียะหมิงหวางก้าวข้ามภูเขาแม่น้ำจำนวนนับไม่ถ้วน หลังจากทะลุผ่านธารน้ำแข็งทะเลลึกแล้ว ในที่สุดพวกเขาก็ได้มาถึงยังสถานที่แห่งหนึ่ง
แม้ว่าข่งเชียะหมิงหวางตั้งใจจะจดจำเส้นทางเอาไว้เงียบๆ แต่ ก้าวเดินด้วยระยะทางที่ยาวเหยียดถึงเพียงนี้ นางก็ไม่แน่ใจแล้วหละ หากจะให้นางเดินด้วยตัวเองอีกรอบหนึ่ง ก็ไม่แน่ว่าจะหาพบ
มันเป็นสถานที่ที่รกร้าง เป็นผืนป่าที่ต่อเนื่องไร้ขอบเขต ภูเขาประหลาดที่สูงตะหง่าน ยามที่ก้าวย่างเข้ามาบริเวณพื้นดินแห่งนี้แล้ว ปรากฏกลิ่นอายที่รกร้างเก่าแก่โบราณโชยเข้ามาปะทะใบหน้า เหมือนว่าป่าที่รกร้างผืนนี้ไม่เคยมีผู้คนอาศัยอยู่มาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันอย่างนั้น
ท่ามกลางพื้นที่ที่มีความรกร้างและดึกดำบรรพ์ แม้ว่าจะปราศจากผู้คน แต่มีเสียงร้องยาวของวานรดึกดำบรรพ์ เถาวัลย์เก่าแก่ที่ปกคลุมแผ่นฟ้าเอาไว้ เป็นสภาพที่มีชีวิตชีวาและคึกคักยิ่งนัก
เมื่อเหยียบเข้าไปในดินแดนแห่งนี้ และสูดลมหายใจลึกๆ เอาพลังแก่นฟ้าดินที่เข้มข้นมากเข้าไป ไม่ต้องสงสัยเลยว่า พื้นที่บริเวณนี้ไม่มีใครได้เข้ามาก่อน อย่างน้อยที่ไม่เคยมีผู้บำเพ็ญตนมาฝึกบำเพ็ญเพียรที่นี่
“เพราะอะไรสถานที่แห่งนี้จึงไม่มีใครมาก่อตั้งสำนักขึ้นที่นี่ล่ะ?” ต่อให้ข่งเชียะหมิงหวาง ไม่รู้เรื่องชีพจรมังกรหรือสภาพที่ตั้ง แต่ว่า เมื่อยืนอยู่ในที่ที่พลังแก่นฟ้าดินเข้มข้นเช่นนี้แล้ว ต่อให้คนที่โง่เขลากว่านี้ก็รู้ว่า หากจะก่อตั้งสำนักขึ้นที่นี่ล่ะก็ ไม่มีที่ไหนเหมาะสมกว่านี้อีกแล้ว
“เนื่องจากที่นี่ไม่อนุญาตให้มีการก่อตั้งสำนักได้ พื้นที่แห่งนี้มีเจ้าของอยู่แล้ว”
“ที่ ที่นี่เป็นสถานที่อะไรกันแน่?” ข่งเชียะหมิงหวางถึงกับกล่าวด้วยความตกใจ
“เหมืองแร่เซียนปีศาจระกา!” หลี่ชิเย่กล่าวด้วยท่าที่เฉยเมยว่า “โดยปรกติแล้ว สถานที่แห่งนี้อนุญาตให้เฉพาะราชันเซียนเท่านั้น ห้ามบุคคลอื่นนอกเหนือจากนี้กล้ำกรายเข้าไป”
“เหมืองแร่เซียนปีศาจระกา?” ข่งเชียะหมิงหวางถึงกับงงงัน นางไม่เคยได้ยินชื่อสถานที่แห่งนี้มาก่อน หากสถานที่แห่งนี้มีชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือล่ะก็ น่าจะมีการเล่าลือกันจึงจะถูก
“หนึ่งในหกสถานที่ที่เซียนเคยอยู่” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉย
“หนึ่งในหกสถานที่ที่เซียนเคยอยู่!” ข่งเชียะหมิงหวางถึงกับตกใจยิ่งนัก นางเคยได้ยินตำนานเกี่ยวกับหกสถานที่ที่เซียนเคยอยู่มาบ้าง แต่ ไม่คิดว่าหนึ่งในนั้นจะมีชื่อว่าเหมืองแร่เซียนปีศาจระกา
“โลกนี้มีเซียนอยู่จริงรึ?” ข่งเชียะหมิงหวาง ถึงกับกล่าวว่า “หรือบางที ในยุคดึกดำยบรรพ์เคยมีเซียนมาก่อน?”
หลี่ชิเย่ถึงกับหัวเราะออกมา ส่ายหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “ในโลกมีเซียนหรือไม่นั้น ข้ากลับไม่ชัดเจนนัก แต่ทว่า เป็นความจริงที่มีสถานที่บางแห่งยังมีเจ้าแก่ที่เจ้านึกไม่ถึงและยังคงมีชีวิตอยู่ เรียกได้ว่าเจ้าคิดไปได้ไกลแค่ไหน พวกเขาก็ดำรงอยู่ในสถานะไกลเท่านั้น
ข่งเชียะหมิงหวางแทบ หายใจไม่ออก คำพูดของหลี่ชิเย่คลอบคลุมความข้อมูลมากมายเหลือเกิน ซึ่งเป็นการบ่งบอกว่า โลกนี้ไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเขาเข้าใจอย่างนั้น อย่างน้อยก็ไม่เหมือนกับยุคที่พวกเขารู้จัก
ยุคที่เป็นที่รู้จักกันในปัจจุบันยากที่จะศึกษาค้นคว้าถึงยุคของไร้ซึ่งอารยะธรรม ยุคที่แต่ละเผ่าพันธุ์บุกเบิกอารยะธรรม ยุคมืดของเผ่าอเวจี ยังมียุคที่น่าตื่นเต้นและเจิดจรัสในยุคเหล่าราชัน
คำพูดที่หลี่ชิเย่พูดออกมาเป็นการบ่งบอกว่า ก่อนยุคไร้ซึ่งอารยะธรรมยังมียุคอื่นๆ อีก กระทั่งอาจเป็นไปได้ว่า ในยุคที่ดึกดำบรรพ์มากกว่านั้น เคยมีผู้ที่ดำรงอยู่ในสถานะที่น่ากลัวยิ่งยังคงมีชีวิตอยู่ต่อมา
เมื่อข่งเชียะหมิงหวางนึกถึงความน่าจะเป็นเช่นนี้แล้ว ถึงกับตกใจหวาดหวั่นพรั่นพรึง อึดอัดจนหายใจไม่ออก ลองคิดดู มันช่างเป็นเรื่องที่น่ากลัวเพียงใดหากสามารถมีชีวิตอยู่มาตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ หากผู้ดำรงอยู่ในสถานดึกดำบรรพ์เช่นนี้ปรากฏตัวบนโลกล่ะก็ เกรงว่าคงทำให้เกิดเหตุการณ์ที่น่ากลัวขึ้นมาได้
ขณะที่ข่งเชียะหมิงหวางกำลังอยู่ระหว่างอึดอัดจนหายใจไม่ค่อยจะออก หลี่ชิเย่ได้เดินไปที่ตีนเขาลูกหนึ่ง มองแวบหนึ่งแล้วเผยรอยยิ้มเต็มใบหน้าออกมา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...