“ยังไม่รีบ” หลี่ชิเย่หัวเราะ ส่ายหน้าและกล่าวว่า “อีกอย่าง ชิงฟงเอ๊ย เจ้าสมควรใช้ชีวิตบั้นปลายให้มีความสุขแล้ว ข้าไม่หวังให้เจ้าต้องถูกผูกติดเอาไว้กับรถศึกอีกแล้ว”
ยวีไท่จวินเข้าใจดีว่า การที่ใต้เท้าทำเช่นนี้เป็นเพราะเข้าใจและเห็นอกเห็นใจตน จะอย่างไรเสีย เมื่อนางมีอายุถึงปูนนี้แล้วใช่าบอกว่าจะออกศึกก็สามารถทำได้ทันที การศึกที่ยิ่งใหญ่จำเป็นต้องอาศัยพลังลมปราณจำนวนมากมาสนับสนุน
แน่นอนที่สุด ถ้าหากว่าตระกูลยวีของพวกเขามีความเจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ มันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เวลานี้ ตระกูลยวีของพวกเขาไม่สามารถรับกับศึกยิ่งใหญ่แห่งยุคนี้ได้อีกแล้ว
ยวีไท่จวินเอ่ยถามขึ้นมาว่า “ใต้เท้าเตรียมการให้กองทัพใดมารับใช้กันเล่า?” กองทัพมังกรดำในครั้งนั้นหลังจากติดตามราชามังกรดำออกปราบแล้วก็คงเหลือไว้เพียงชื่อเท่านั้น กำลังพลทั้งกองทัพเหลืออยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น
แต่ว่า ยวีไท่จวินเองรู้ว่าหลี่ชิเย่ยังคงมีกองทัพอื่นๆ อยู่ในเก้าแดนอีก
“เกียรติยศนี้มอบให้กับกองทัพมังกรเขียวก็แล้วกัน ครั้งนั้นเพื่อเก้าแดนแล้ว พวกเขาเสียสละมามากมายเหลือเกิน ไพร่พลจำนวนมากต้องพลีชีพในต่างแดน พวกเขาอยู่ระหว่างการพักฟื้นกำลังพลมาโดยตลอด ถึงเวลามอบสุดยอดเกียรติยศให้กับพวกเขาแล้ว” หลี่ชิเย่เอ่ยขึ้นมาช้าๆ
“กองทัพมังกรเขียวนี่เนี่ยนะ” ในใจของยวีไท่จวินบังเกิดความเคารพขึ้นมา เรื่องราวเกี่ยวกับกองทัพมังกรเขียวนางเคยได้ยินมามาก แม้ว่ากองทัพมังกรเขียวได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยในโลกใบนี้แล้ว แต่ว่า นางรู้ว่ากองทัพมังกรเขียวยังคงดำรงอยู่ตลอดมา
“ไม่มีการเสียสละของกองทัพมังกรเขียว การรบกันอย่างดุเดือดเป็นสิ่งที่ยากจะจินตนาการ พวกเขาได้เสียสละมากจนสุดบรรยาย กองทัพที่แข็งแกร่งปราศจากผู้เทียบเทียม ถึงคราวต้อนรับแสงอรุโณทัยทหารเก่าคงมีจำนวนเหลืออยู่ไม่มากแล้ว” หลี่ชิเย่ถึงกับกล่าวด้วยความสลด
“ได้ยินมาว่ากองทัพมังกรเขียวซ่อนตัวอยู่ในพรรคปกฟ้า” ยวีไท่จวินเอ่ยขึ้นมาเบาๆ
“ถูกต้อง” หลี่ชิเย่พยักหน้าเบาๆ กล่าวว่า “กำลังพลของกองทัพมังกรเขียวมาจากเก้าแดน แต่ว่ากำลังหลักของกองทัพมังกรเขียวยังคงเป็นพรรคปกฟ้า ครั้งนั้น ฉวี่เจินในฐานะผู้บัญชาการกองทัพได้วางรากฐานให้กับพรรคปกฟ้าเอาไว้อย่างมั่นคง ซึ่งเป็นการสร้างให้กองทัพมังกรเขียวเป็นต้นแบบในการต่อต้านอเวจีในภายหลัง”
เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้แล้ว หลี่ชิเย่ได้ทอดถอนใจออกมาเบาๆ และกล่าวว่า “หลังสงครามสิ้นสุดลงแล้ว กำลังพลที่ยังคงมีชีวิตได้เข้าสังกัดอยู่ในพรรคปกฟ้าเป็นจำนวนมาก พวกเขาได้มาพักฟื้นกำลังอยู่ที่ตรงนี้ และขยายประชากรสืบเนื่องต่อไป”
ยวีไท่จวินฟังเรื่องราวจนเคลิ้ม แม้ว่านางไม่ได้พบเห็นสงครามกับอเวจีด้วยตาตนเอง แต่ว่าอาศัยตำนานต่างๆ มากมาย ทำให้นางสามารถจินตนาการได้ถึงความโหดร้ายทารุณของสงครามในครั้งนั้น กองทัพมังกรเขียวได้เสียสละแลกด้วยค่าตอบแทนที่มากมายเหลือเกิน
“สงครามมาแล้วก็ไป แต่ทหารกล้าของข้ายังคงสัตย์ซื่อ” หลี่ชิเย่ทอดถอนใจออกมาด้วยความหดหู่ “แม้ว่าข้าไม่ต้องการให้พรรคปกฟ้าก้าวขึ้นรถศึกนี้อีกครั้ง การศึกแต่ละสมรภูมิที่ผ่านมากล่าวสำหรับพวกเขาแล้วมันช่างโหดร้ายทารุณเหลือเกิน เส้นทางที่ทอดไปยังแสงอรุโณทัยนั้นตัดขึ้นมาด้วยกองกระดูก”
“แต่ว่า พวกเขาสมควรได้รับเกียรติยศนี้ไป สมควรได้รับการจารึกชื่อเอาไว้” หลี่ชิเย่รู้สึกหดหู่ว่า “หากจะกล่าวว่า สงครามคือความโหดร้ายทารุณเหลือเกินสำหรับพวกเขา ถ้าเช่นนั้นยามที่พวกเขานำมาซึ่งแสงอรุโณทัยให้กับเก้าแดนนั้นกลับไม่ได้รับเกียรติอันนั้น ย่อมเป็นความทารุณโหดร้ายยิ่งกว่าเสียอีก”
เมื่อยุคอเวจีสิ้นสุดลง กองทัพมังกรเขียวที่เสียหายได้เริ่มพักฟื้นกำลังอีกครั้ง กาลเวลาที่ผ่านไป ทหารเก่าที่รอดชีวิตมาได้นั้นค่อยๆ ฟื้นฟูกำลังกลับมา และทายาทรุ่นหลังของพวกเขาก็มีการสืบทอดขยายต่อไปไม่หยุดนิ่ง
ด้วยเหตุนี้เอง พรรคปกฟ้าจึงได้มีปณิธานอย่างแรงกล้าขอกลับเข้าไปอยู่ในบังคับบัญชาของเขาอีกครั้ง และกองทัพมังกรเขียวยินดีติดตามเขาออกศึก กระทั่งเคยขอติดตามเขาสู้รบไปถึงยังเก้าชั้นฟ้า เพื่อกวาดล้างสิ้นศัตรูที่แข็งแกร่งทั้งหมด
แต่ว่าหลี่ชิเย่เห็นว่าไม่ง่ายนักที่พวกเขามีวันนี้ จึงไม่ต้องการนำเอาคนหนุ่มของพรรคปกฟ้า และกองทัพมังกรเขียวเข้าสู่สมรภูมิรบอีก กระทั่งพลีชีพต่างแดน ดังนั้นจึงได้ปฏิเสธคำขอของพรรคปกฟ้าและกองทัพมังกรเขียว
ไม่ว่ายุคสมัยจะแปรเปลี่ยนไปอย่างไร ภายในใจของหลี่ชิเย่ยังคงจดจำเอาไว้ว่า เขาติดค้างเกียรติยศให้กับกองทัพมังกรเขียว พวกเขาสมควรได้รับเกียรติยศนี้ สมควรได้รับการจารึกจดจำจากเก้าแดน
ด้วยเหตุนี้เอง การศึกในครั้งนี้หลี่ชิเย่จึงตัดสินใจใช้กองทัพมังกรเขียว ให้ธงมังกรเขียวได้โบกสะบัดบนท้องฟ้าของเก้าแดนอีกครั้ง ให้ชื่อของกองทัพมังกรเขียวได้ดังก้องไปยังเก้าชั้นฟ้าสิบแดนดินอีกครั้งหนึ่ง!
เวลานี้ ยวีไท่จวินไม่พูดอะไรอีกต่อไป นางเข้าใจแล้วว่าเรื่องพรรคเซียนเหินได้เป็นที่แน่นอนไปแล้ว ในอนาคตอีกไม่นาน จะได้มีชื่อของกองทัพหนึ่งดังก้องไปทั่วเก้าชั้นฟ้าสิบแดนดิน มันจะส่องประกายเจิดจ้าไปทั่วเก้าแดน!
ท่ามกลางกาลเวลาที่ปราศจากซุ่มเสียง ไม่มีใครในโลกหล้ารู้ว่าชะตาของพรรคเซียนเหินได้ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว ขณะที่พรรคเซียนเหินเองก็ไม่รู้ตัวเหมือนกัน
หลังจากที่หลี่ชิเย่ได้ตัดสินใจเรื่องนี้ไปแล้ว เขาไม่ได้เร่งรีบที่จะลงมือ โดยพักอาศัยอยู่ในบ้านตระกูลยวี บำเพ็ญเพียรอย่างสบายใจ
ขณะที่หลี่ชิเย่พักอาศัยอยู่ภายในบ้านตระกูลยวีได้ไม่กี่วัน ข่งเชียะหมิงหวางได้มาขอพบหลี่ชิเย่ หลังจากพบกับหลี่ชิเย่นางแสดงคารวะแล้วกล่าวว่า “คุณชาย ในสำนักมีเรื่องหยุมหยิมนิดหนึ่ง ข้าจำเป็นต้องกลับไปยังเมืองหมิงจูสักครั้ง”
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
ข่งเชียะหมิงหวางรีบเร่งตอบว่า “มีเผ่าปีศาจและปีศาจทะเลบางส่วนหนีเข้าไปอยู่ในเมืองหมิงจู บรรดาบรรพบุรุษในเมืองหมิงจูจึงขอให้ข้ากลับไป เพื่อตัดสินใจว่าควรจะขับไล่พวกเขาให้ออกไปหรือไม่”
“เรื่องนี้เกี่ยวพันกับเมืองสมุทรสยบฟ้าน่ะสิ” เมื่อได้ยินข่าวเช่นนี้แล้ว หลี่ชิเย่เพียงยิ้มนิดหนึ่งและเอ่ยขึ้นมา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...