ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล นิยาย บท 1639

ตอนที่ 1639 ศิษย์อาจารย์ที่แปลกประหลาด
เย่จิ่วโจวทำท่าจะพูดเมื่อได้ยินคำพูดลักษณะเช่นนี้ของอาจารย์ แต่ว่า ก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี สุดท้าย ได้แต่ทอดถอนใจเบาๆ ออกมา

“ฮึ ในเมื่อชาตินี้เขาไม่สามารถเป็นอมตะได้อีก หากไม่ใช่ข้าตายก็คือเขาม้วย!” กู้จุนส่งเสียงฮึและกล่าวน่าเกรงขามออกมาว่า “และนี่ก็จะเป็นโอกาสเพียงครั้งเดียวในชีวิตข้าที่จะล้มเขาได้!”

“อาจารย์ ท่านต้องการสู้กับใต้เท้าอีกาทมิฬจนถึงที่สุดนั้น ข้าไม่มีความเห็น” หลังจากที่เย่จิ่วโจวนิ่งเงียบมาครู่ใหญ่ เขาพูดออกมาด้วยความลังเลว่า “แต่ว่า การนำพาให้พรรคเซียนเหินเขามายังเมืองสมุทรสยบฟ้าของพวกเรา หากผิดพลาดขึ้นมาเท่ากับเป็นการอยากแสดงฝีมือกลายเป็นปล่อยไก่ และจะเป็นการชักศึกเข้าบ้าน กระทั่งทำให้เมืองสมุทรสยบฟ้าพวกเราไม่อาจฟื้นคืนได้อีกต่อไป”

“ข้อนี้เจ้าวางใจเหอะ อาศัยแค่หลงจ้านเทียนคิดจะลองดีกับข้าเขายังอ่อนไป ฮึ หากไม่เป็นเพราะว่าเบื้องหลังของเขามีมือมืดคอยให้การหนุนหลังอยู่ล่ะก็ ช้าเร็วข้าต้องกำจัดมันเสีย!” กู้จุนกล่าวน่าเกรงขามออกมา เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้แล้ว ดวงตาของเขาเผยปณิธานการฆ่าที่น่ากลัวออกมา

เย่จิ่วโจวออกปากพูดขึ้นมาว่า “แต่วิธีนี้จะส่งผลให้เมืองสมุทรสยบฟ้าของพวกเรากลายเป็นสมรภูมิรบไป ซึ่งส่งผลกระทบต่อเมืองสมุทรสยบฟ้าอย่างยิ่ง”

“โลกใบนี้ทุกหนแห่งล้วนเป็นสมรภูมิรบทั้งสิ้น” กู้จุนกล่าวเฉยเมยว่า “ภายใต้สถานะการณ์เช่นนี้ ไม่มีใครสามารถคำนึงถึงแต่ตัวเอง ใครจะเป็นอย่างไรก็ช่าง หากคิดจะเป็นเช่นนั้นก็ต้องเป็นเต่าหดหัวตลอดไป อย่าได้เข้าสู่ยุทธภพเลย หากเป็นเช่นนี้จริง โลกหล้านี้ยังจะมีเมืองสมุทรสยบฟ้า ของพวกเราอยู่อีกรึ? ยังจะเป็นเมืองสมุทรสยบฟ้าที่ผู้คนต่างให้ความเคารพสามยุคอย่างนั้นรึ?”

เย่จิ่วโจวทำท่าจะพูด แต่ สุดท้ายแล้วไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกมาดี

“ต่อให้เจ้าคิดจะคำนึงถึงแต่ตัวเอง ใครจะเป็นอย่างไรก็ช่าง มันก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้” กู้จุนมองดูศิษย์รักของตนแล้วกล่าวว่า “เวลานี้พวกเรากุมอำนาจของเมืองสมุทรสยบฟ้าเอาไว้ เจ้าคิดว่าเขาจะปล่อยพวกเรารึ? เขาจะปล่อยให้พวกเรากุมอำนาจเด็ดขาดแต่เพียงผู้เดียวในเมืองสมุทรสยบฟ้าอย่างนั้นรึ? ในสายตาของเขามองว่า เมืองสมุทรสยบฟ้าเป็นสมบัติส่วนตัวของเขาเท่านั้น ไหนเลยจะยอมให้พวกเราแตะต้องได้? ไม่ว่าพวกเราจะร่วมเป็นพันธมิตรกับพรรคเซียนเหิน หรือไม่ เขาก็ต้องถอนรากถอนโคนพวกเราอยู่แล้ว ทำให้พวกเราหายไปจากโลกนี้ไป!”

ในเมื่อพวกเราไม่สามารถคำนึงถึงแต่ตัวเอง ใครจะเป็นอย่างไรก็ไม่สน งั้นสู้ตายก็แล้วกัน ดูซิว่าใครจะได้หัวเราะเป็นคนสุดท้าย” กู้จุนเผยรอยยิ้มออกมา กล่าวอย่างช้าๆ ว่า “คนเราสุดท้ายก็ต้องตาย ต่อให้เป็นราชันเซียนก็หนีชะตาไม่พ้น หากข้าทำการล้มเหลวตายอนาถในมือของเขา ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องอับอาย กระทั่งราชันเซียนยังตายอยู่ในน้ำมือของเขา อย่าว่าแต่ข้าเลย…”

“…แต่ทว่า หากข้าทำได้สำเร็จ เช่นนั้นแล้วข้าคือมดปลวกที่กัดมังกรยักษ์ตัวหนึ่งจนตาย ในอนาคตสมควรเป็นข้าที่ก้าวข้ามอดีตปัจจุบันแล้ว สมควรเป็นข้าที่มีชื่อเสียงไปตลอดกาลแล้ว” เมื่อกู้จุนกล่าวมาถึงตรงนี้ เขายิ้มอย่างมีความสุข เหมือนหนึ่งว่ากล่าวสำหรับเขาแล้ว ได้มองความเป็นความตายจนทะลุปรุโปร่งไปแล้วอย่างนั้น ทุกอย่างดูเป็นธรรมชาติยิ่งนัก

เย่จิ่วโจวนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง สุดท้ายแล้วยังคงเอ่ยขึ้นแผ่วเบาว่า “อาจารย์ ท่านฉลาดเฉลียวมาชั่วชีวิต แต่ว่า ชั่วชีวิตใต้เท้าอีกาทมิฬคาดการณ์ไม่เคยพลาดยิ่งกว่า อภัยที่ศิษย์ล่วงเกิน การศึกระหว่างอาจารย์กับใต้เท้าอีกาทมิฬ เกรงว่าโอกาสที่อาจารย์จะชนะคงมีไม่เท่าไร”

เย่จิ่วโจวได้พูดความจริงของตนออกมา และเป็นคำพูดที่ซ่อนอยู่ภายในใจของเขาไม่เคยได้พูดออกมา ในที่สุดเขาได้พูดมันออกมาวันนี้

กู้จุนจ้องมองดูเย่จิ่วโจว และกล่าวว่า “จิ่วโจว ในใจของเจ้ามีความหวาดหวั่นนะเนี่ย มันไม่เป็นการดีสำหรับจิตแห่งการบำเพ็ญเพียงของเจ้าเลย”

“ถูกต้อง” เย่จิ่วโจวก็ไม่ปิดบัง กล่าวตามจริงไปว่า “เรียนอาจารย์ เป็นความจริงที่ในใจของข้ามีความหวาดกลัว ข้าไม่ได้หวาดกลัวต่อความตาย ต่อให้ใต้เท้าอีกาทมิฬคิดบัญชีกับตัวข้า ก็แค่สังหารข้าเท่านั้นเอง อย่างไรเสียข้าใช่จะเผชิญกับความตายเป็นครั้งแรก กล่าวสำหรับข้าแล้ว ความตายไม่น่ากลัวอะไร! ข้าเป็นห่วงคืออาจารย์ท่าน หากชาตินี้อาจารย์ลงมืออีก หากพ่ายแพ้จะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย เกรงว่าชาตินี้ใต้เท้าอีกาทมิฬไม่อภัยให้อาจารย์แน่นอน”

กู้จุนนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง หลังจากผ่านไปชั่วครู่ เขายิ้มกล่าวว่า “ถูกต้อง ข้าเองก็รู้ว่าเขาต้องสังหารข้าแน่นอน สิ่งที่ข้าได้ทำไปเขาจะไม่อภัยให้กับข้า การเปิดเผยตำแหน่งที่ตั้งของถ้ำเซียนมาร ล่อให้ท่าคงไปที่นั่น แม้แต่พี่เขยข้าก็ไม่ละเว้นให้ข้า นับประสาอะไรกับเขาเล่า”

เมื่อพูดมาถึงตรงนี้แล้ว เขาเพียงหัวเราะอย่างสง่างามไม่ได้ใส่ใจกับมันแม้แต่น้อย

ขณะเดียวกัน พี่เขยที่เขาเอ่ยถึงก็คือผู้ก่อตั้งเมืองสมุทรสยบฟ้า ราชามังกรดำนั่นเอง!

“แต่ว่า…” เย่จิ่วโจวอ้าปากจะพูด

กู้จุนโบกมือเบาๆ และกล่าวว่า “จิ่วโจว สำหรับอาจารย์แล้วความตายไม่ได้น่ากลัวอะไร ถ้าหากให้เลือก แทนที่จับข้าไปอุดตาน้ำ ข้ายอมให้เขาสังหารข้า การจับข้าไปอุดตาน้ำเป็นช่วงเวลาแห่งความอัปยศที่สุดในชีวิตของเข้า! และมีเพียงพี่เขยข้าที่เห็นว่าข้ามีชีวิตอยู่ดีกว่าตาย! ความตายจะมีอะไร ข้ากล้าที่จะเป็นศัตรูกับอีกาทมิฬอย่างนี้แหละ การตายด้วยน้ำมือของผู้ที่ดำรงอยู่ในสถานะเช่นนี้หาใช่เป็นเรื่องน่าอับอาย!”

“การที่พี่เขยข้าให้ข้ามีชีวิตอยู่ ก็เพียงเพราะว่าเขาได้รับปากกับพี่สาวของข้าเท่านั้นเอง ฮึ เขาให้ข้ามีชีวิตอยู่ มันมิสู้ให้ข้าตายเสียดีกว่าอยู่!” กู้จุนกล่าวท่าทีเย็นชาว่า “ชั่วชีวิตข้าความสามารถข้าไม่มีสิ่งใดกั้นขวางได้ พรสวรรค์ไร้ผู้เทียบเทียม กลับต้องมีชีวิตอยู่ท่ามกลางเงามืดของอีกาทมิฬที่ครอบเอาไว้ ต้องอาศัยหน้าของราชามังกรดำเพื่อมีชีวิตอยู่ สิ่งนี้กล่าวสำหรับข้าแล้ว การมีชีวิตอยู่แล้วมันต่างอะไรกับตาย!”

“ด้วยพรสวรรค์ ด้วยความสามารถ ด้วยสัจธรรมของข้า หากไม่ถูกอีกาทมิฬสยบเอาไว้ ข้าเป็นราชันเซียนไปนานแล้ว โลดแล่นโจนทะยานอยู่บนเก้าชั้นฟ้านานแล้ว กลายเป็นบุคคลที่ยอดเยี่ยมเจิดจรัสที่สุดไปนานแล้ว!” เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ กู้จุนที่เรียบเฉยมาตลอดอดที่จะส่งเสียงฮึออกมาทีหนึ่ง

เมื่อเย่จิ่วโจวได้ยินคำพูดลักษณะเช่นนี้แล้ว อ้าปากทำท่าจะพูด แต่ท้ายที่สุดแล้วไม่รู้สมควรพูดอะไรออกมา ได้แต่ทอดถอนใจเบาๆ

สำหรับเรื่องนี้ เขาไม่ต้องการไปวิจารณ์อาจารย์ของตน เรื่องนี้กล่าวสำหรับเขาแล้ว ไม่ว่าอาจารย์ของเขาจะเป็นฝ่ายถูกก็ดี หรือเป็นฝ่ายผิดก็ช่าง ท้ายที่สุดแล้วเขายังคงยืนอยู่ข้างอาจารย์อยู่ดี

กล่าวสำหรับเย่จิ่วโจวแล้ว อาจารย์ของเขาดุจดั่งเป็นบิดาบังเกิดเกล้าของเขา ให้กำเนิดเขา ให้ชีวิตเขา และเขาก็ได้ติดตามมาชั่วชีวิต

ดังนั้น กล่าวสำหรับเย่จิ่วโจวแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเวลาใด สถานการณ์เช่นใด เขาก็จะยืนอยู่ข้างอาจารย์ของเขาเสมอ ต่อให้ต้องเป็นศัตรูกับทั่วหล้า ต่อให้ต้องเป็นศัตรูกับผู้ปราศจากผู้ต่อกรตลอดกาลในตำนาน หรือเป็นศัตรูกับผู้ดำรงอยู่ในฐานะมือมืดที่อยู่เบื้องหลัง เขายังคงเลือกที่จะยืนอยู่ข้างฝ่ายผู้เป็นอาจารย์ของเขา

กล่าวสำหรับเย่จิ่วโจวแล้ว เขาไม่ได้กลัวตาย แต่ เขากังวลว่าสักวันหนึ่งอาจารย์ของตนจะต้องชื่อเสียงป่นปี้ และตายในที่สุด!

หลังจากที่หลี่ชิเย่เล่นงานหลงอ้าวเทียนจนกระเด็นกระดอนไปแล้ว ได้ทำการสำรวจมหาสมุทรอุดรต่อไป ในที่สุด เขาได้เข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับแนวโน้มความน่าจะเป็นของมหาสมุทรอุดรจนหมดสิ้น ทุกๆ ข้อปลีกย่อย ทุกๆ เส้นชีพจรแยก ล้วนแล้วแต่เข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่ง

ในที่สุด ภายใต้แนวโน้มความน่าจะเป็น ทำให้หลี่ชิเย่สามารถร่างโครงร่างทั่วทุกพื้นที่ขึ้นมา อาศัยฟ้าดินและการชี้นำของผู้หญิงที่อยู่ในผ้าเช็ดหน้าสีเหลือง หลี่ชิเย่ก้าวออกไปทีละก้าวๆ ท่ามกลางแนวโน้มความน่าจะเป็นนั่น

“น่าสนใจ” เมื่อหลี่ชิเย่ได้ก้าวไปข้างหน้าทีละก้าวได้พูดขึ้นมาช้าๆ ว่า “มิน่าหละแต่ก่อนข้าจึงไม่พบ ที่แท้ในยุคสมัยของพวกเจ้าได้มีการสลักเครื่องหมายเอาไว้แล้ว ผ่านการขัดเกลาของกาลเวลา โลกที่เกิดวิบัติกลับตาลปัตรไปหมด ทุกอย่างแปรเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว คนในรุ่นหลังไม่สามารถมองเห็นรายละเอียดปลีกย่อยเหล่านี้ได้”

“ฮึ ในยุคสมัยของข้าใช่ว่าเจ้าสามารถจินตนาการได้ ในยุคสมัยของข้านั้นฟ้าดินกว้างไกลสุดจะหยั่งถึง…” ผู้หญิงที่อยู่ในผ้าเช็ดหน้าสีเหลืองกล่าวด้วยความลำพองใจ เมื่อพูดถึงความรุ่งโรจน์ของยุคสมัยของพวกเขาแล้ว นางเองรู้สึกเป็นเกียรติยิ่งนัก

“เอาล่ะ อย่าสำคัญตัวเองมากไปหน่อยเลย” หลี่ชิเย่กล่าวตัดบทคำพูดของผู้หญิงที่อยู่ในผ้าเช็ดหน้าสีเหลือง และกล่าวว่า “ข้ารู้จักยุคสมัยของพวกเจ้า เป็นยุคสมัยที่ยอดเยี่ยมมาก แต่ว่า สิ่งที่ยังคงสามารถสืบทอดต่อมาได้หาใช่เป็นเพราะยุคสมัยพวกเจ้ามีความแข็งแกร่งเพียงใด เหตุผลมากกว่านั้นเป็นเพราะพื้นที่แห่งนี้ได้รับเงื่อนไขและสิ่งแวดล้อมที่ดีมากเป็นพิเศษ พวกเจ้าแค่ทำการปรับปรุงเสริมแต่งเพิ่มเติมเท่านั้นเอง”

ผู้หญิงที่อยู่ในผ้าเช็ดหน้าสีเหลืองถึงกับไม่ยอมรับ เมื่อถูกหลี่ชิเย่พูดเปรียบจนไม่เหลือราคาอีกเลย นางส่งเสียงไม่พอใจออกมา และกล่าวว่า “เจ้าเองไม่ได้มีชีวิตอยู่ในยุคสมัยของพวกเรา เจ้าไหนเลยจะรู้ว่ายุคสมับของพวกเราน่าตื่นเต้น และเจิดจรัสแค่ไหน ฮึ หากว่าเจ้าเกิดในยุคสมัยของพวกเรา เจ้าจะต้องตกใจจนเซ่อไปเลยแน่นอน บางทีเจ้าอาจเป็นได้แค่ผู้มีบทบาทเล็กๆ ในยุคสมัยของพวกเราด้วยซ้ำ!”

“ถ้าหากยุคสมัยของพวกเจ้ามีความแข็งแกร่งเป็นเหมือนดั่งเช่นที่เจ้าว่า ควรจะอยู่รอดมาถึงปัจจุบันจึงจะถูก แทนที่จะเลือนหายไปในสายน้ำแห่งกาลเวลา” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวด้วยท่าทีที่เหนื่อยหน่ายว่า “ยุคสมัยของพวกเจ้าก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกับยุคสมัยอื่นๆ กับยุคสมัยนี้ของพวกเราก็ไม่แตกต่างอะไรนัก หากจะแตกต่างก็คงเป็นเรื่องการฝึกฝนเท่านั้นเอง”

“ฮึ เจ้าจะไปรู้อะไร ยุคสมัยของพวกเรานับว่ายืนอยู่บนยอดสูงสุดของสายน้ำแห่งกาลเวลาแล้ว ยอดฝีมือที่ปรากฏอยู่ในยุคสมัยนั้นของพวกเราหาใช่เจ้าสามารถจินตนาการได้ การฝึกยุทธของยุคสมัยพวกเราก็หาใช่สิ่งที่เจ้าสามารถจินตนาการได้…” ผู้หญิงที่อยู่ในผ้าเช็ดหน้าสีเหลืองไม่พอใจอย่างยิ่งสำหรับคำพูดหลี่ชิเย่ จึงมีการอวดอ้างยุคสมัยของตนขึ้นมาทันที

“อย่างนั้นรึ?” หลี่ชิเย่กล่าวด้วยท่าทีเอ้อระเหยว่า “ถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริง งั้นเหตุใดยุคสมัยของพวกเจ้าจึงได้หายสาบสูญไป ยุคสมัยของพวกเจ้าไม่มีสำนักใดๆ หลงเหลือบ้างเลยรึ เคล็ดวิชาที่ร้ายกาจเช่นนั้นทำไม่ถึงไม่มีร่องรอยเหลืออยู่แม้แต่น้อย”

“เจ้า…” ท่าทีเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ทำให้ผู้หญิงที่อยู่ในผ้าเช็ดหน้าสีเหลืองรู้สึกไม่สบอารมณ์ยิ่งนัก นางถึงกับจ้องหน้าหลี่ชิเย่ด้วยความโกรธ หลังจากผ่านไปชั่วครู่ใหญ่ นางจึงเอ่ยขึ้นด้วยความแค้นใจว่า “ฮึ เจ้าไม่รู้ว่าที่โลกหล้านี้เผชิญคืออะไร เจ้าไม่รู้ว่าโลกหล้านี้เมื่อก้าวไปถึงสุดท้ายแล้วมันช่างน่ากลัวเพียงใด เจ้าไม่รู้ว่าอนาคตจะต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่น่ากลัวเช่นใด…”

“ไม่ เจ้าพูดผิดแล้ว” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวว่า “ข้ารู้ ทั้งยังรู้มากกว่าเจ้าอีกด้วย ข้ารู้ว่าที่เผชิญคือสิ่งใด และข้าก็รู้ว่าท้ายที่สุดแล้วโลกนี้ต้องเผชิญกับสิ่งใด”

“อย่าลืมสิ ข้าคือผู้ที่รอดชีวิตกลับมาจากสุดปลายทางของโลกนี้” หลี่ชิเย่กล่าวว่า “ก็เพราะว่าข้ารู้ ดังนั้น ข้าจึงต้องต่อสู้ให้ถึงที่สุด ดังนั้น ข้าจึงต้องก้าวเดินต่อไปเรื่อยๆ ชาตินี้ข้าจะต้องให้มันมีข้อยุติ”

เมื่อหลี่ชิเย่ได้เอ่ยมาถึงตรงนี้และเหลือบมองผู้หญิงที่อยู่ในผ้าเช็ดหน้าสีเหลืองทีหนึ่ง กล่าวว่า “ข้าน่ะกล้าที่จะต่อสู้อีกครั้ง กล้าที่จะก้าวเดินต่อไปเรื่อยๆ ข้าต้องการสู้รบให้ถึงที่สุดแหละ แต่ว่าเจ้าหละ ถ้าหากเจ้าได้คืนชีพอีกครั้ง เจ้ากล้าสู้อีกครั้งหรือไม่? หรือจะกล่าวว่า หากยุคสมัยของเจ้ามีโอกาสเผชิญหน้าอีกครั้ง เจ้ากล้าไปเผชิญกับมันหรือไม่?”

คำพูดของหลี่ชิเย่ทำให้ผู้หญิงที่อยู่ในผ้าเช็ดหน้าสีเหลืองถึงกับนิ่งเงียบขึ้นมา แรกเริ่มทีเดียวนางเพียงต้องการต่อปากต่อคำกับหลี่ชิเย่เท่านั้นเอง จะอย่างไรเสียนางที่ต้องอยู่แต่ในผ้าเช็ดหน้าสีเหลืองตลอด การได้ต่อปากต่อคำกับคนก็นับเป็นเรื่องที่สุขใจอย่างหนึ่ง

แต่ว่า เวลานี้หลี่ชิเย่กลับหยิบยกเอาหัวข้อสนทนาที่หนักอึ้งยิ่งมาคุย ทำให้นางถึงกับต้องนิ่งเงียบขึ้นมา

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล