ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล นิยาย บท 1664

ตอนที่ 1664 กู้จุนปรากฏตัว
“อ๊ากก” เสียงร้องที่น่าเวทนาดังขึ้นมาไม่ขาดสาย จากการตะลุมบอนกันถึงขั้นรุนแรงมากขึ้น เสียงร้องน่าเวทนาก็ยิ่งเป็นเสียงแหลมและเศร้ารันทดยิ่งขึ้น ปรากฏหัวแต่ละหัวที่ลอยขึ้น เลือดสดๆ ที่พุ่งกระฉูด บนท้องฟ้าปรากฏเป็นฝนเลือดที่โปรยปรายลงมา เศษชิ้นส่วนแขนขาที่ปลิวว่อน ยิ่งเศษเนื้อล่ะก็สามารถพบเห็นได้ทุกที่

ภายในระยะเวลาอันสั้น ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนแต่ละคนที่ล้มลง ทำให้เวทีแต่งตั้งแม่ทัพปรากฏศพที่กองดั่งภูเขาย่อมๆ ขึ้นมา เลือดสดๆ ที่ไหลรินอยู่บนพื้นของเวทีแต่งตั้งแม่ทัพกลายเป็นแอ่งน้ำ มองเห็นเศษชิ้นส่วนแขนขารวมทั้งศพแต่ละศพที่ลอยอยู่บนน้ำเลือดนั่น

ในขณะนี้ ทั่วทั้งสมรภูมิรบก็เหมือนดั่งนรกอเวจีอย่างนั้น และเวทีแต่งตั้งแม่ทัพก็คล้ายเป็นเครื่องบดขนาดยักษ์ที่บดขยี้ร่างกาย บดขยี้แต่ละชีวิต ท่ามกลางสมรภูมิรบเช่นนี้ ไม่ว่าใครก็หนีไม่พ้น เมื่อบุกเข้าไปยังสมรภูมิรบแห่งนี้แล้วมีเพียงเข่นฆ่าอย่างบ้าคลั่ง ไม่ใช่ศัตรูตายก็คือตัวเองม้วย!

คนที่ใจเสาะเมื่อเห็นสงครามที่คละคุ้งกลิ่นคาวเลือดเช่นนี้ตกใจจนสลบเหมือดไปนานแล้ว หรือต่อให้คนที่ใจกล้ามากขึ้นมาหน่อย เมื่อเห็นภาพที่ทารุณโหดร้ายเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดเช่นนี้แล้ว ยังคงทนไม่ไหวจนต้องอาเจียนออกมา

ภาพของสงครามที่เปี่ยมไปด้วยความโหดร้ายทารุณและกลิ่นคาวเลือดเช่นนี้ หลี่ชิเย่และกองทัพมังกรเขียวเพียงยืนดูสงบนิ่งอยู่ด้านนอกเวทีแต่งตั้งแม่ทัพเท่านั้น โดยไม่ได้มีอารมณ์หวั่นไหวแต่อย่างใด

สงครามลักษณะเช่นนี้สำหรับพวกเขาแล้ว นับว่าปรกติธรรมดายิ่งกว่าอะไรเสียอีก กระทั่งว่าสำหรับหลี่ชิเย่ สำหรับเทพแท้จริงสยบโลกาแล้ว สงครามลักษณะเช่นนี้เป็นเพียงสงครามเล็กๆ เป็นสงครามที่สำหรับอุ่นเครื่องเท่านั้น สงครามที่โหดร้ายทารุณ และเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดมากกว่านี้พวกเขาก็ประสบมาแล้ว

เมื่อเปรียบเทียบกับสงครามพิฆาตเซียนแล้ว สงครามที่เห็นอยู่ตรงหน้าไม่คู่ควรที่จะกล่าวถึง มันเป็นเพียงสงครามระหว่างเด็กๆ เท่านั้นเอง

ผลการสู้รบ ณ สมรภูมิเวทีแต่งตั้งแม่ทัพในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ปรากฏว่า กองทัพฝ่ายพันธมิตรเป็นฝ่ายได้เปรียบ ซึ่งเป็นผลที่กองทัพฝ่ายพันธมิตรเองไม่เคยคาดคิดมาก่อน พลันทำให้ผู้บำเพ็ญตนทั้งหมดของกองทัพพันธมิตรเกิดความฮึกเหิมขึ้นมากที่เดียว ปณิธานการต่อสู้สูงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน จึงเข้าต่อสู้ฆ่าฟันศัตรูอย่างบ้าคลั่ง

การที่ผลการสู้รบพัฒนาจนกลายมาเป็นอย่างที่เห็น เป็นเพราะความประมาทต่อศัตรูของพรรคเซียนเหิน ถ้าหากพรรคเซียนเหินไม่ประมาท ไม่ถูกเกาทัณฑ์โลหิตทำลายแนวป้องกัน และทำให้เสียรูปขบวนไปล่ะก็ กองทัพสิบล้านของพันธมิตรคิดจะได้เปรียบพวกเขาคงไม่ใช่เรื่องง่ายดายนัก

เวลานี้ ที่กล้าหาญและดุดันที่สุดยังคงเป็นกองกำลังอาชาที่นำโดยพวกของไห่หลิน โดยที่กองกำลังอาชานี้จัดตั้งขึ้นโดยยอดฝีมือของบรรดาสายสำนักราชันเซียน นำโดยไห่หลิน ติ้งหย่วนโหว และระดับจักรพรรดิเทพที่เป็นบุคคลชั้นสำคัญ เรียกได้ว่ามันคือกองกำลังส่วนที่แข็งแกร่งมากที่สุดของกองทัพพันธมิตรสิบล้านนี้เลยก็ว่าได้ สามารถพูดได้อย่างไม่ถือเป็นการโอ้อวดเลยว่ากองทัพพันธมิตรทั้งหมดฝากความหวังเอาไว้ที่กองกำลังอาชากองนี้แล้ว

ขณะที่กองกำลังอาชาของพวกไห่หลินก็ไม่ได้ทำให้ต้องผิดหวัง พลันที่พวกเขาบุกเข้าไปยังสมรภูมิรบก็ได้ทำการต้านขวางกองทำลังที่แข็งแกร่งที่สุดของพรรคเซียนเหินเอาไว้ เสมือนดั่งเป็นกริชที่คมกริบเล่มหนึ่งปักตรึงเข้าไปยังอกของกองทัพพรรคเซียนเหินอย่างแรง

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกของไห่หลินและติ้งหย่วนโหวยังนำหน้าบุกเข้าสังหารระดับขุนพลของพรรคเซียนเหินรวดเดียวหลายคน ซึ่งทำให้ได้มาซึ่งโอกาสที่ล้ำค่ายิ่งในการพลิกสถานการณ์สงครามในภาพรวมทั้งหมด!

“กองกำลังเสริม” เมื่อกองทัพของฝ่ายแดนมนุษย์กษัตราได้เปรียบ กองทัพของพรรคเซียนเหินเริ่มจะต้านรับไม่ไหวแล้ว จึงมีการเป่าแตรขึ้นมา

“ตูม ตูม ตูม” ในเสี้ยววินาทีนี้เอง ประตูของพรรคเซียนเหินได้เปิดออก ทันใดนั้น กองทัพพรรคเซียนเหินกองทัพหนึ่งได้เข้าสู่สมรภูมิรบทันที

ขณะที่กองทัพนี้เข้าสู่สมรภูมิรบนั้น พวกมันได้เปล่งกลิ่นอายการฆ่าฟันดึกดำบรรพ์ออกมา และบรรดาผู้เป็นระดับขุนพลของกองทัพนี้ล้วนแล้วแต่ส่งกลิ่นอายการฆ่าฟันที่ชั่วร้ายน่ากลัวออกมา เหมือนว่าบนตัวของพวกเขาล้วนแล้วแต่แปดเปื้อนไปด้วยเลือดสดๆ บนตัวของพวกเขามีวิญญาณร้ายที่ห้อมล้อมไม่มีวันสลายอย่างนั้น

“กองทัพราชันเซียน!” ทุกคนต่างรู้แล้วว่า ที่พวกตนกำลังเผชิญอยู่นั้นคือกองทัพเช่นใด เมื่อมองเห็นกองทัพกองนี้ที่เข้าสู่สมรภูมิรบมา กองทัพเสริมที่เห็นอยู่ตรงหน้ามีความน่ากลัวยิ่งกว่ากองทัพก่อนหน้าไม่รู้เท่าไร

ตอนเริ่มต้นสงคราม กองทัพนั้นส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ของพรรคเซียนเหิน ขณะที่กองทัพที่เพิ่งเข้ามาสมทบคือกองทัพราชันเซียน เป็นกองทัพปราศจากผู้ต่อกรที่เคยรบเพื่อราชันเซียนเหรินเสียนและเกรียงไกรไปทั่วเก้าชั้นฟ้าสิบแดนดินมาก่อน เป็นกองทัพที่ผ่านการสู้รบมานับครั้งไม่ถ้วน เคยเข่นฆ่าสังหารศัตรูที่แข็งแกร่งมามากมาย เรียกได้ว่าไร้เทียมทานในเก้าแดน

“ฆ่า” เวลานี้ ต่อให้เผชิญหน้ากับกองทัพราชันเซียน กองทัพพันธมิตรก็ไม่หวั่น ร้องคำรามบุกเข้าหาศัตรูของตน

หากเป็นปรกติ ไม่ว่าใครก็ตามเมื่อเอ่ยถึงกองทัพราชันเซียนแล้วก็ต้องยอมอ่อนข้อให้ ไม่ว่าจะเป็นสำนักใดล้วนแล้วแต่ไม่กล้าเป็นศัตรูกับกองทัพราชันเซียน

แต่ว่า กองทัพพันธมิตรที่อยู่ในสมรภูมิรบเวลานี้ไม่มีทางเลือกเสียแล้ว พวกเขาถอยไม่ได้ พวกเขาล้วนแล้วแต่ฆ่าฟันกันจนเลือดเข้าตา ไม่ใช่ศัตรูตายก็คือข้าม้วย เวลานี้ต่อให้พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับกองทัพราชันเซียนก็มีทางเดียวเท่านั้นคือต้องบุกไปให้ถึงที่สุด มีเพียงไม่หวาดหวั่นและถอยหนีจึงจะมีโอกาสมีชีวิตอยู่ต่อ! ถ้าหากพวกเขาถอย พวกเขาหนีไป ด้านหลังของพวกเขาก็คือบ้าน คือแดนมนุษย์กษัตราของพวกเขา!

“อ๊ากก” เสียงร้องน่าเวทนาดังขึ้นไม่ขาดสาย บนท้องฟ้าเสมือนหนึ่งเกิดเป็นพายุฝนเลือดอย่างนั้น พลันที่กองทัพราชันเซียนเข้าสู่สมรภูมิรบแล้ว ความได้เปรียบของกองทัพพันธมิตรก็ได้อันตรธานหายไปในทันที เริ่มถูกควบคุมสยบโดยกองทัพราชันเซียน เริ่มตกอยู่ในเบี้ยล่างทันที

ขณะเดียวกัน ทันใดนั้นเอง ท่ามกลางสมรภูมิรบปรากฏร่างเงาสายหนึ่ง เป็นผู้เฒ่าที่สวมชุดสีเทา

ผู้เฒ่าผู้นี้ปรากฏออกมาดั่งภูตผี เขามีความเคลื่อนไหวที่รวดเร็วมาก ทันทีที่เขาปรากฎตัวขึ้นมา “อ๊ากก” เสียงร้องน่าเวทนาก็ดังขึ้น ภายในเสี้ยววินาทีนี้เอง มังกรทองสี่เล็บ ติ้งหย่วนโหว และระดับจักรพรรดิเทพที่เป็นบุคคลสำคัญล้วนแล้วแต่ต้องดับสูญ พวกเขาล้วนแล้วแต่ถูกสังหารภายในระยะเวลาอันสั้น

ผู้ที่สวมชุดสีเทาลงมือรวดเร็วเหลือเกิน และดุดันและน่ากลัวมากเหลือเกิน สามารถสังหารพวกของติ้งหย่วนโหวได้ภายในระยะเวลาอันสั้น

“กู้จุน” พลันที่หลี่ชิเย่มองเห็นผู้ที่สวมชุดสีเทา ดวงตาทั้งสองที่เพ่งไปข้างหน้า จากนั้นสั่งการกับเทพแท้จริงสยบโลกาว่า “ที่นี่มอบให้กับเจ้าแล้ว” ขาดคำก้าวเข้าสู่สมรภูมิรบทันที

จังหวะที่หลี่ชิเย่ก้าวเข้าสู่สมรภูมิรบในฉับพลันทันทีนั้น เห็นร่างเงาของกู้จุนแวบหนึ่ง จากนั้นหายตัวไปทันที หลี่ชิเย่ยิ้มๆ พลันก้าวข้ามอาณาจักร ผ่านช่องว่างของอากาศไล่ติดตามไปทันที

เมื่อหลี่ชิเย่และกู้จุนปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งนั้น พวกเขาออกห่างจากสมรภูมิรบมาไกลมาก พวกเขาปรากฏตัวอยู่ ณ ใจกลางของเมืองสมุทรสยบฟ้าในเวลาเดียวกัน

ที่ตรงนี้เป็นที่ราบ รอบๆ ถูกล้อมด้วยภูเขา ภายในที่ราบสูงแห่งนี้มีตำหนักทรงต่ำเตี้ยอยู่หลังหนึ่ง ดูไปแล้วเหมือนว่าตำหนักนี้ครึ่งหนึ่งถูกฝังอยู่ใต้พื้นดินอย่างนั้น

ตำหนักหลังนี้แลดูโบราณและเก่าแก่มาก อีกทั้งรอบๆ ตำหนักยังมีหญ้าที่ขึ้นรกร้างอยู่ไม่น้อยทีเดียว เหมือนว่าตำหนักหลังนี้ไม่เคยมีใครมาดูแลทำความสะอาดเลย

ด้วยตำหนักที่ไม่สะดุดตาและไม่เคยมีใครมาดูแลทำความสะอาดนี้แหละ สำหรับศิษย์เมืองสมุทรสยบฟ้าแล้วสถานที่แห่งนี้ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเหยียบย่ำเข้ามาอย่างเด็ดขาด ส่วนจะด้วยเหตุผลใดนั้นไม่มีใครทราบ เนื่องจากคำสั่งของบรรพชนเมืองสมุทรสยบฟ้าเป็นเช่นนี้

กู้จุนหยุดอยู่ด้านหน้าตำหนักแล้วไม่หนีอีกต่อไป เขาหันหลังกลับมาช้าๆ และจ้องมองดูหลี่ชิเย่

หลี่ชิเย่เองก็ยืนเอ้อระเหยอยู่ตรงหน้า แฝงรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้า พิจารณาดูกู้จุนทีหนึ่ง

“ใต้เท้า ไม่พบกันนานแล้ว” หลังจากที่กู้จุนพบเห็นหลี่ชิเย่แล้วก็ไม่ได้แสดงอาการตระหนกตกใจ และไม่ได้โกรธ ไม่มีท่าทีที่กัดฟันกรอด และที่หาได้ยากยิ่งก็คือ เขากลับแสดงท่าทีที่เคารพยิ่งด้วยการคารวะแบบจีนต่อหลี่ชิเย่ และกล่าวว่า “ใต้เท้าดูหนุ่มแน่นกว่าที่ข้าได้จินตนาการเอาไว้”

“อย่างนั้นรึ?” หลี่ชิเย่ถึงกับเผยรอยยิ้มออกมาเมื่อมองดูกู้จุน ส่ายหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “กู้จุนเอ้ยกู้จุน ข้าน่ะนับถือในความกล้าของเจ้าจริงๆ รู้ทั้งรู้ว่าตนเองนั้นเป็นศัตรูกับใคร รู้อยู่แล้วว่าแม้แต่ราชันเซียนยังต้องอ่อนข้อให้ข้าสามส่วน ถึงกับหาญกล้าเป็นศัตรูกับข้าอีก ความกล้านี้นับว่าหาได้ยากยิ่งจริงๆ ในโลกนี้”

“นับว่าเป็นเกียรติของกู้จุนที่ได้รับคำชมเชยเช่นนี้จากใต้เท้า” กู้จุนท่าทีดูเป็นธรรมชาติไม่ละเลยเรื่องความเคารพ กล่าวว่า “ครั้งนั้น ใต้เท้าคอยสั่งสอนข้าอยู่เสมอว่า เรื่องที่สำคัญที่สุดของการเป็นผู้บำเพ็ญตนก็คือจิตแห่งการบำเพ็ญเพียร จิตที่ไม่หวาดหวั่นดวงหนึ่ง ดังนั้น ข้าจึงถือเอาคำพูดของใต้เท้าเสมือนหนึ่งเป็นกฎที่ตราเอาไว้อย่างกระชับรัดกุมอยู่ตลอดเวลา และนำเอาคำพูดของใต้เท้าสลักจดจำเอาไว้ เป็นใต้เท้าเองมิใช่รึที่เคยสั่งสอนข้าว่า แม้จะรู้ว่าเขาลูกนั้นมีพยัคฆ์แต่ยังคงก้าวเดินต่อไป แม้รู้ว่าเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ก็ยังจะทำ เช่นนี้จึงเป็นการกระทำของชายชาตรีมิใช่รึ?”

“เป็นความจริงที่ข้าสั่งสอนเจ้าเช่นนี้” หลี่ชิเย่ถึงกับพยักหน้าและกล่าวว่า “ดูท่าเจ้าเรียนรู้ได้ไม่น้อยเลยจริงๆ การมีศิษย์เช่นเจ้า ข้าไม่รู้ว่าควรภูมิใจหรือไม่”

“ผลงานแค่นี้ของข้าเกรงว่าคงไม่เข้าตาใต้เท้า” กู้จุนกล่าวขึ้นเชื่องช้าว่า “ชั่วชีวิตของใต้เท้าได้บ่มฟักระดับปราศจากผู้ต่อกรมานับไม่ถ้วน ยิ่งไปกว่านั้นยังมีราชันเซียนที่ปราดเปรื่องน่าทึ่งมาจากฝีมือของใต้เท้า ชะตาของข้าเพียงเท่านี้นับเป็นอะไรได้หน่ะ”

“เยี่ยม” หลี่ชิเย่ถึงกับทอดถอนใจออกมาทีหนึ่ง กล่าวว่า “ชั่วชีวิตของข้านับว่าได้อ่านใจคนมาจำนวนนับไม่ถ้วน บางครั้งข้ายังรู้สึกว่าคนอย่างเจ้านี่มันเป็นอะไรที่พิเศษมากจริงๆ บอกกันตามตรงเลยนะ หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น พวกเขาล้วนแล้วแต่รู้ว่าควรจะเลือกอย่างไรกับชีวิตของตน ขณะที่เจ้ากลับเลือกที่จะทำในสิ่งที่เหนือความคาดคิดของข้า”

“ใต้เท้าเคยบอกว่าข้าเป็นประเภททรยศมาแต่กำเนิด” กู้จุนหัวเราะและกล่าวว่า “ในเมื่อใต้เท้ายังพูดเช่นนี้ออกมา ถ้าหากข้าไม่ทรยศให้ใต้เท้าได้เห็น นั่นไม่เท่ากับว่าใต้เท้ามองผิดไปแล้วสิ ยิ่งไปกว่านั้น แม้แต่ใต้เท้าที่ไม่เคยมองคนผิดยังคิดว่าข้าเป็นคนทรยศ ถ้าหากข้าไม่ทรยศล่ะก็ มิเท่ากับผิดต่อความเป็นคนทรยศของข้าไป!”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า” หลี่ชิเย่ถึงกับหัวเราะขึ้นมา ยิ้มกล่าวว่า “กู้จุน แม้ว่าเจ้าจะไม่ใช่คนที่กล้าหาญที่สุดที่ข้าได้เคยพบมา และไม่ใช่คนที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่ข้าได้เคยพบเห็น แต่ว่าเป็นผู้ที่ล้ำเลิศคนหนึ่งแน่นอน!”

“ใต้เท้าชื่นชมเช่นนี้ นับว่าเป็นเกียรติของกู้จุน”

หลี่ชิเย่มองดูกู้จุนและยิ้มกล่าวว่า “กู้จุน เจ้าคิดว่าคราวนี้เจ้ามีโอกาสรอดชีวิตไปได้มากน้อยเท่าไร? เจ้าคิดว่าตัวเองมีโอกาสชนะกี่ส่วน? ควรจะรู้ว่าการลงมือของข้าในครั้งนี้ไม่มีการย้อนกลับ และไม่ต้องพูดถึงเรื่องความห่วงพะวง”

“ข้าเข้าใจ” กู้จุนกล่าวว่า “ชาตินี้ข้าไม่มีพี่เขยช่วยขอร้องให้กับข้าอีก อีกทั้งชาตินี้ต่อให้พี่เขยข้าสามารถขอความเมตตาให้ข้า เกรงว่าใต้เท้าก็คงไม่ยอมละเว้นข้า และฆ่าโดยไม่ละเว้นอยู่แล้ว ใต้เท้ามีหลักการของใต้เท้า ใต้เท้ามีจุดต่ำสุดที่ยอมรับได้ หากก้าวข้ามจุดนี้ไปแล้ว ต่อให้พี่เขยข้าร้องขอ ใต้เท้าก็คงไม่ยอมละเว้นให้ข้า!”

“เจ้าพูดไม่ผิด” หลี่ชิเย่พยักหน้า และกล่าวขึ้นมาช้าๆ ว่า “ครั้งนั้นราชามังกรดำได้ขอร้องไปแล้ว ชาตินี้ไม่สามารถใช้ได้อีก เจ้าสมควรเข้าใจได้ว่าเพราะเหตุใดข้าเพิ่งจะมาที่เมืองสมุทรสยบฟ้า ในเวลานี้”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล