ยิ่งไปกว่านั้น พรรคเซียนเหินที่อยู่ตรงหน้าได้ทำการรวบรวมมาได้ถึงแปดกองทัพราชันเซียน หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่นคงเข่าอ่อนเมื่อได้เห็น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการพูดวิพากวิจารณ์
แต่ว่า มาคราวนี้แม้พรรคเซียนเหินจะราบรวมมาได้ถึงกองทัพราชันเซียนมาได้ถึงแปดกองทัพก็ตาม ภายใต้การวิพากวิจารณ์ของเทพแท้จริงสยบโลกาแล้ว พวกเขาต่างนิ่งเงียบขึ้นมา เนื่องจากพวกเขารู้ดีว่ากำลังเผชิญกับผู้ดำรงอยู่ในฐานะที่น่ากลังเพียงใด รู้ว่าตนเองเผชิญกับกองทัพที่มีลักษณะเช่นใด
“เจ้ามีชื่อว่าอะไร แจ้งชื่อแซ่ออกมา ข้าไม่สังหารผู้ที่ปราศจากชื่อเสียงเรียงนาม” เวลานี้ เทพแท้จริงสยบโลกานั่งอยู่บนหลังม้าทองสัมฤทธิ์ ทวนวงเดือนที่อยู่ในมือชี้ออกไปยังแม่ทัพที่ดูแข็งแกร่งที่สุดของกองทัพทั้งแปด
แม่ทัพผู้นี้สวมชุดเกราะสีแดงชาดทั้งชุด เหมือนว่าเสื้อเกราะสีแดงชาดนี้ย้อมมาจากสีแดงของคาวเลือดสดๆ อย่างนั้น บนตัวของเขาแผ่ประกายที่ร้อนแรงยิ่งกว่าดวงตะวัน กลิ่นอายที่แผ่ออกจากตัวของเขาสามารถสยบเหล่าชั้นฟ้าได้
แต่ว่า ในเวลานี้แม้ตัวเขาที่เป็นแม่ทัพซึ่งผ่านศึกเหนือเสือใต้มา และรบร้อยครั้งชนะร้อยครั้งมาก็ไม่สามารถหยิ่งผยองได้ เมื่ออยู่ต่อหน้าเทพแท้จริงสยบโลการแล้ว เขาก็เป็นได้เพียงผู้เยาว์คนหนึ่งเท่านั้นเอง
“ข้าน้อยหม่าเจิ่นเหวิน เคยรับใช้ใต้บังคับบัญชาของฝ่าบาทเหรินเสียน” แม่ทัพผู้นี้ไม่กล้าเย่อหยิ่ง แม้ว่าจะต้องตัดสินชี้ขาดความเป็นความตายในสมรภูมิรบ เขายังคงไม่กล้าเสียมารยาท กล่าวอย่างช้าๆ ว่า “ชื่อเสียงของผู้อาวุโสข้าน้อยได้ยินมานาน เรื่องราววีรกรรมของกองทัพมังกรเขียวก็เป็นสิ่งที่ข้าเลื่อมใสมาตลอดชีวิต เสียดาย ชาตินี้ต่างมีนายคนละคน จึงต้องสู้กับผู้อาวุโส”
สำหรับกลุ่มคนรุ่นใหม่แล้ว ชื่อหม่าเจิ่นเหวินนับว่าไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย กระทั่งผู้คนจำนวนมากล้วนแล้วแต่ไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน แต่ว่า ระดับอ๋องเทพรุ่นอาวุโสที่อยู่ในกองทัพที่มีไพรพลสิบล้านเมื่อได้ยินชื่อนี้แล้วถึงกับร้องเสียงหลงออกมา “ขุนพลอาชาเหินหาวของราชันเซียนเหรินเสียน!”
แม้ว่าผู้คนจำนวนมากจะไม่เคยได้ยินชื่อหม่าเจิ่นเหวินมาก่อน แต่ว่ารุ่นอาวุโสจำนวนไม่น้อยกลับเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน
ถึงแม้ขุนพลอาชาเหินหาวจะไม่ใช่ขุนพลที่แข็งแกร่งมากที่สุดใต้บังคับบัญชาของราชันเซียนเหรินเสียน แต่เขากลับเป็นผู้ที่มีผลงานการสู้รบที่สูงที่สุดในบรรดาขุนพลที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของราชันเซียนเหรินเสียน เขาเคยทำลายล้างสิบพรรคแปดแคว้นหนึ่งสำนักราชันเซียนภายในค่ำคืนเดียว ด้วยผลงานการสู้รบเช่นนี้ทำให้ชื่อเสียงของเขาโด่งดัง สยบเก้าแดน และได้รับฉายา “ขุนพลอาชาเหินหาว” นับแต่นั้นเป็นต้นมา
“ดีมาก งั้นมาสู้กันเลย วันนี้พรรคเซียนเหินพวกเจ้าต้องถูกทำลายล้างแน่นอน!” เทพแท้จริงสยบโลกากล่าวน้ำเสียงเรียบเฉยออกมา การทำลายล้างพรรคเซียนเหินเมื่อออกจากปากของเขาแล้วเสมือนหนึ่งเป็นเรื่องที่ธรรมดามากเรื่องหนึ่ง
ถ้าหากคำพูดลักษณะเช่นนี้ออกจากปากคนอื่น บรรดาขุนพลของพรรคเซียนเหินต้องโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแน่นอน แต่ว่ามาคราวนี้ ไม่ว่าจะเป็นหม่าเจิ่นเหวิน หรือแม่ทัพคนอื่นๆ ก็ไม่ได้ส่งเสียงใดๆ ออกมา
หม่าเจิ่นเหวินที่อยู่ในฐานะขุนพลอาชาเหินหาวเคยได้ยินวีรกรรมของกองทัพมังกรเขียว และเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับเทพแท้จริงสยบโลกามาก่อน มันคือกองทัพที่สามารถต้านได้แม้กระทั่งกองทัพอเวจี ย่อมสามารถท้าสู้กับพรรคเซียนเหินของพวกเขาอย่างแท้จริง กระทั่งเรียกได้ว่า แม้แต่หม่าเจิ่นเหวินที่แข็งแกร่งปานนี้ ในใจของพวกเขาก็ไม่มั่นใจพอ
“ตั้งค่ายกล” เวลานี้หม่าเจิ่นเหวินไม่กล่าวมากความ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง ร้องคำรามเสียงยาวออกมา
เสียง “แว้งค์” ดังขึ้น ทันใดนั้นเวทีต่อสู้ดึกดำบรรพ์ได้พวยพุ่งประกายศักดิ์สิทธิ์ไม่มีสิ้นสุดออกมา โดยที่ประกายศักดิ์สิทธิ์ไม่มีสิ้นสุดนี้ได้ทำการปกปักษ์รักษาลงไปที่กองทัพราชันเซียนทั้งแปดของพรรคเซียนเหิน ทำให้ยอดฝีมือทุกคนที่อยู่ในกองทัพถูกคลุมด้วยประกายศักดิ์สิทธิ์ พลันกลายเป็นสวมชุดเกราะศักดิ์สิทธิ์เหมือนเป็นเทพสวรรค์อย่างนั้น
“ตูม” อานุภาพราชันเซียนได้ปะทุขึ้นมา กองทัพทั้งแปดพลันรวมเข้าด้วยกัน หัวขบวนและท้ายขบวนเชื่อมเข้าด้วยหากัน กลายเป็นวงกลมที่ทรงพลังยิ่งนัก ในเวลานี้ ภายใต้ค่ายกลกองทัพทั้งแปดลักษณะเช่นนี้เหมือนว่าเวทีต่อสู้ดึกดำบรรพ์เหมือนได้หายไปแล้วอย่างนั้น ทอดสายตามองออกไปเหมือนหนึ่งเป็นภูเขาดาบป่าทวน เวทีต่อสู้ดึกดำบรรพ์กลับกลายเต็มไปด้วยการเข่นฆ่าสังหาร เวทีทั้งเวทีดุจดั่งถูกค่ายกลของกองทัพทั้งแปดปิดกั้นเอาไว้
ท่ามกลางการปิดกั้นของสุดยอดค่ายกลเช่นนี้ คิดจะบุกทะลวงออกมาจากด้านในคงยากประสบผลสำเร็จ
“สิบแปดค่ายกลมังกรเขียว!” ต่อให้เวทีต่อสู้ดึกดำบรรพ์ทั้งเวทีถูกปิดกั้นอย่างกะทันหัน ต่อให้เป็นภูเขาดาบทะเลเพลิง ท่าทีของเทพแท้จริงสยบโลกายังคงมีปฏิกิริยาที่เรียบเฉย เพียงสั่งการออกไปด้วยท่าทีเฉยเมย
“แช้งค์” ทันใดนั้นกองทัพมังกรเขียวพลันตั้งเป็นค่ายกลขึ้นมา กองทัพมังกรเขียวได้กลับกลายเป็นมังกรสีเขียวตัวหนึ่ง โดยมังกรเขียวที่ใหญ่โตมโหฬารตัวนี้ได้ยึดครองพื้นที่อยู่กลางเวทีต่อสู้ดึกดำบรรพ์เอาไว้
หลังจากที่กองทัพทั้งแปดของพรรคเซียนเหินได้ทำการปิดกั้นเวทีต่อสู้ดึกดำบรรพ์แห่งนี้ไว้แล้ว กองทัพทั้งแปดของพรรคเซียนเหินได้ทำให้สถานที่แห่งนี้กลายเป็นสถานที่สำหรับการเข่นฆ่าที่น่ากลัวขึ้นมา ทุกย่างก้าวของสถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยปณิธานการฆ่า ทุกที่เปี่ยมด้วยเงาของมีดดาบและเกาทัณฑ์ ทุกที่ล้วนแล้วแต่ภูเขาดาบทะเลเพลิง
“ตึง” เสียงคำรามจากการเคลื่อนไหวของดาบและกระบี่ ทันใดนั้น กองทัพราชันเซียนของพรรคเซียนเหินพลันปรากฎขึ้นมาอย่างไร้ร่องรอย และกลับกลายเป็นค่ายกลดาบ ซึ่งค่ายกลดาบดังกล่าวคล้ายดั่งดาบเป็นหมื่นพันเล่มที่เฉือนไปยังส่วนท้องของกองทัพมังกรเขียวที่บัดนี้ได้กลายเป็นมังกรเขียวตัวหนึ่งแล้วนั่น
ค่ายกลดาบลักษณะเช่นนี้เหมือนว่าสามารถเฉือนร่างของทุกคนที่อยู่ในสมรภูมิรบให้กลายเป็นชิ้นเนื้อ ทั้งยังเป็นการเฉือนให้เป็นชิ้นเนื้อบางๆ เมื่อถูกกเฉือนออกมาแล้ว ชิ้นเนื้อแต่ละชิ้นยังสามารถเคลื่อนไหวกระดิกตัวได้
จังหวะที่ค่ายกลดาบที่พุ่งเข้ามาเฉือน ปรากฏเสียงมังกรคำรามดังไม่ขาดสาย สำแดงค่ายกล “มังกรเหินฟ้า” มังกรเขียวได้เหินฟ้าขึ้นไป แม้ว่ากองทัพทั้งแปดของพรรคเซียนเหินได้ทำการปิดกั้นเวทีต่อสู้ดึกดำบรรพ์เอาไว้แล้วก็ตาม แต่ว่า ยังคงไม่สามารถขวางมังกรเขียวขนาดยักษ์ตัวนี้เอาไว้ได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...