ขณะที่หลงอ้าวเทียนกำลังตกอยู่ระหว่างอันตรายนั้น ในเวลานี้เองปรากฏร่างเงาขึ้นมา เมื่อร่างเงานี้ปรากฏตัวออกมา กลิ่นอายที่บอกไม่ถูกสายหนึ่งพลันตลบอบอวลไปทั่วฟ้าดินทันที
เขาเป็นบุรุษผู้หนึ่งที่พลันปรากฏตัวออกมาก็ทำการหนุนหลังให้กับหลงอ้าวเทียน อีกทั้งแวบแรกที่เขาปรากฎตัวแล้วก็ได้ให้ความรู้สึกกับผู้คนถึงความสงบและไม่สะทกสะท้าน เหมือนว่าขอเพียงเขาลงมือทุกอย่างก็จะสำเร็จและจบลงทันที
บุรุษผู้นี้ก็คือหลงจ้านเทียน เป็นบรรพบุรุษในสายของหลงอ้าวเทียน ผู้คนจำนวนมากล้วนแล้วแต่ไม่รู้จักเขา แต่ว่า ต่อให้เขาไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังใดๆ ในขณะที่เขาปรากฏตัวออกมาในเวลานี้นั้น ทุกคนต่างรู้สึกได้ว่าตัวเขาน่ากลัวยิ่งนัก เนื่องจากเขามีท่าทีที่สามารถจบสิ้นทุกอย่างพลันที่ลงมือ ซึ่งท่าทีลักษณะเช่นนี้มีเพียงผู้ที่แข็งแกร่งมากเท่านั้นจึงมีอยู่ในครอบครอง
“เป็นผู้ที่ดำรงอยู่ในฐานะสามารถต่อกรกับราชันเซียนซึ่งหน้ารึ?” บางคนรู้สึกสั่นเทาในใจทีหนึ่งเมื่อได้เห็นภาพเช่นนี้ พึมพำออกมาว่า “กลิ่นอายบนตัวของหลงจ้านเทียนทำให้นึกถึงผู้ที่สามารถต่อกรกับราชันเซียนซึ่งหน้าโดยตรงขึ้นมาทันที”
“บนโลกหล้าไม่มีผู้ใดสามารถปราศจากผู้ต่อกรได้ตลอดกาล” หลังจากที่หลงจ้านเทียนได้ก้าวออกมาแล้ว ได้จ้องเขม็งไปที่หลี่ชิเย่ด้วยท่าทีมังกรพยัคฆ์ของเขา ท่าทีของเขาคล้ายดั่งเป็นเสือตัวหนึ่งที่จับจ้องเหยื่อของตนเอาไว้อย่างนั้น
แน่นอนที่สุด คำพูดของหลงจ้านเทียนย่อมเป็นการพุ่งเป้าไปที่ผู้ดำรงอยู่ในฐานะของอีกาทมิฬ แม้ว่าเขาไม่เคยพบเห็นอีกาทมิฬมาก่อน แต่เขารู้ถึงชนวนที่แท้จริงของเรื่องนี้!
“ไม่มีผู้ใดปราศจากผู้ต่อกรได้ตลอดกาล” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวว่า “แต่ ข้ากลับเป็นผู้เที่หัวเราะจนถึงสุดท้ายตลอดกาล”
“ดี ข้ากลับอยากจะรู้นักว่าความสามารถของเจ้าเรียนรู้มาได้กี่ส่วน” ดวงตาทั้งสองของหลงจ้านเทียนดูน่ากลัว กล่าวน่าครั่นคร้ามออกมา
หลงจ้านเทียนมองหลี่ชิเย่ที่อยู่ตรงหน้าเป็นศิษย์ของอีกาทมิฬ ขณะที่ตัวเขาเองมีอคติต่ออีกาทมิฬมาช้านาน และเปี่ยมด้วยจิตที่เป็นศัตรูกับอีกาทมิฬมานานแล้ว หากไม่เป็นเพราะอีกาทมิฬปิดกั้นพรรคเซียนเหิน เขาคงเป็นราชันเซียนไปนานแล้ว และคงไม่มีราชันเซียนหยินเทียนอะไรนั่น
ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงมองอีกาทมิฬเป็นศัตรูมาตั้งแต่เยาว์วัย ในสายตาของเขามองว่าอีกาทมิฬคือศัตรูของเขา เป็นอีกาทมิฬที่ทำให้เขาไม่สามารถเป็นราชันเซียนได้ เป็นอีกาทมิฬที่ทำลายเขา ดังนั้น เขาเคยสาบานเอาไว้แล้วว่า คงมีสักวันที่เขาจะต้องแก้แค้นให้จงได้!
การเข้าสู่ยุทธภพในชาตินี้ของพรรคเซียนเหินก็มีตัวเขาเป็นผู้เสนออย่างเต็มที่ เนื่องจากเขาต้องการล้างแค้นในครั้งนั้น เขาต้องการบ่มฝักราชันเซียนขึ้นมากับมือ และอาศัยสิ่งนี้มาสยบและสังหารอีกาทมิฬเสีย!
“มากพอที่จะทำลายล้างพรรคเซียนเหินของเจ้าได้สบายๆ!” สำหรับคำพูดที่ข่มขวัญผู้อื่นนั้น หลี่ชิเย่ได้กล่าวตอบด้วยท่าทีเอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ดวงตาทั้งสองของหลงจ้านเทียนเผยปณิธานการฆ่าที่น่ากลัวออกมา เขามองสบตากับหลงอ้าวเทียนทีหนึ่ง ฉับพลันนั้นเขาได้แยกออกห่างจากหลงอ้าวเทียน ไปอยู่ตำแหน่งหน้าหลังในลักษณะที่จะโจมตีขนาบข้าง
เวลานี้ ไม่ว่าจะเป็นหลงอ้าวเทียน หรือหลงจ้านเทียนก็ตามที พวกเขาล้วนแล้วแต่ไม่กล้าประมาท โดยเฉพาะหลงจ้านเทียนนั้นเขาแข็งแกร่งกว่าหลงอ้าวเทียนมากมายนัก กายเซียนเหินขั้นสมบูรณ์ของเขานั้นมีความสมบูรณ์เต็มที่ ไม่เหมือนกายเซียนเหินของหลงอ้าวเทียนที่เต็มไปด้วยตำหนิ ยิ่งไปกว่านั้น ระดับความชำนาญของสัจธรรมเขามีความช่ำชองมากกว่าหลงอ้าวเทียนเสียอีก และมีฝีมืออยู่ในระดับสุดยอดมากยิ่งกว่าหลงอ้าวเทียน ไม่ว่าจะด้านทักษะ ด้านกำลังความสามารถเขาก็เหนือกว่าหลงอ้าวเทียนอยู่มากทีเดียว
เวลานี้ หลงอ้าวเทียน และหลงจ้านเทียนคนหนึ่งอยู่ด้านหน้าคนหนึ่งอยู่ด้านหลัง พวกเขาต่างจ้องเขม็งไปที่หลี่ชิเย่โดยไม่ได้รีบเร่งลงมือ เนื่องจากพวกเขากำลังมองหาจุดอ่อนของหลี่ชิเย่กันอยู่ พวกเขาต่างใช้ความคิดว่าจะทำอย่างไรเพื่อที่จะโจมตีชนิดเห็นผลถึงตายได้ในครั้งเดียว!
ขณะที่หลี่ชิเย่กลับมีท่าทีเฉยเมย เพียงมองดูหลงอ้าวเทียน และหลงจ้านเทียนไปตามอารมณ์ จากนั้น หันมองขึ้นไปบนท้องฟ้า กล่าวต่อกองทัพมังกรเขียวที่กลายร่างเป็นมังกรเขียวว่า “จบสิ้นกันไปเหอะ ที่สมควรปรากฏตัวออกมาต้องไม่ออกมาแน่ ไม่ว่าจะรออย่างไรก็คงไม่ปรากฎออกมาหรอกนะ!”
คำพูดของหลี่ชิเย่ทำเอาผู้ที่ได้ยินรู้สึกงงงันไปตามๆ กัน ผู้คนจำนวนมากล้วนแล้วแต่ไม่เข้าใจคำพูดของหลี่ชิเย่ว่าหมายถึงอะไร
กลับกลายเป็นว่ากู้จุนที่ถูกควบคุมตัวเอาไว้ได้เผยรอยยิ้มเต็มใบหน้าออกมา ต่อให้เขาที่สูญเสียอิสระภาพไปแล้วยังอดที่จะมองไปบนท้องฟ้าทีหนึ่งและพึมพำว่า “ข้าคาดหวังจริงจังว่าในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่สามารถมองเห็นการเข่นฆ่าครั้งใหญ่ ไม่รู้สิว่าใครกันที่สามารถอดกลั้นเอาไว้ได้ บางทีคนที่อดกลั้นเอาไว้ได้จึงจะเป็นผู้ที่สามารถหัวเราะจนเป็นคนสุดท้าย!”
“ตูม ตูม ตูม” ในสมรภูมิรบดำดำบรรพ์ เสียงตูมตามดังขึ้น มังกรเขียวขนาดใหญ่ต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตสิบปีกอย่างดุเดือด แต่ว่า จากเวลาที่ผ่านไปมังกรเขียวดูจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ สิ่งมีชีวิตสิบปีกเริ่มจะสู้ไม่ได้
แม้ว่าพลังลงทัณฑ์ของสิ่งมีชีวิตสิบปีกยังคงความแข็งแกร่งยิ่งนัก แต่ว่าความไวเริ่มลดลงเรื่อยๆ บางทีการเคลื่อนไหวของเขาดูเฉื่อยชา เหมือนว่าใจยังสู้แต่กำลังกลับไม่ได้ดั่งใจ
แม้ว่าสิ่งมีชีวิตสิบปีกจะมีพลังจากเส้นชีพจรใต้ดินสิบเส้นอยู่ในครอบครอง แล้วยังมีการหยิบยืมพลังลงทัณฑ์จากสวรรค์ แต่ว่า ภายใต้สภาพของการต่อสู้ที่ยืดเยื้อ พลังลมปราณของกองทัพทั้งแปดของพรรคเซียนเหิน ไม่สามารถยืนหยัดต่อไปได้ เนื่องจากค่ายกล “เซียนทำลายล้างสิบทิศ” ไม่เพียงรองรับพลังจากเส้นชีพจรใต้ดินสิบเส้นเท่านั้น ยังรองรับพลังลงทัณฑ์จากสวรรค์อีกด้วย!
ภายใต้การต่อสู้ที่ยืดเยื้อ กองทัพราชันเซียนทั้งแปดที่นำพลังลมปราณอัดฉีดเข้าไปใน “เซียนทำล้ายล้างสิบทิศ” เริ่มจะยืนหยัดต่อไปไม่ไหวแล้ว จะอย่างไรเสียไม่ว่าจะเป็นพลังของเส้นชีพจรใต้ดิน หรือพลังจากสวรรค์ก็ไม่ใช่ของพวกเขา แปดกองทัพพวกเขาจำเป็นต้องอัดฉีดลมปราณออกไปอย่างไม่ขาดสาย ต่อให้พวกเขามีความแข็งแกร่งมากกว่านี้ พลังลมปราณมีความคึกคักและมีชีวิตชีวามากกว่านี้ เมื่อต้องต่อสู้กันยืดเยื้อเป็นเวลานานเช่นนี้ ย่อมทำให้พลังลมปราณอ่อนแอลง
“มันก็แค่นี้เอง สมควรสิ้นสุดลงได้แล้ว” สุดท้าย มังกรเขียวคำรามเสียงดังออกมาอย่างบ้าคลั่ง ทันใดนั้น เห็นประกายสีเขียวที่พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างรุนแรง กลิ่นอายมังกรอาละวาดไปหมื่นอาณาจักร
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...