ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล นิยาย บท 1690

ตอนที่ 1690 ปราศจากร่องรอย
หนึ่งสำนักห้าราชันเซียนหายไปโดยปราศจากร่องรอยในชั่วพริบตาเดียว กลับกลายเป็นฝุ่นผงที่ปลิวกระจายว่อนไปในอากาศ ไม่เหลือทิ้งไว้ซึ่งร่องรอยใดๆ และไม่มีอะไรให้ห่วงหาอีกต่อไป

พรรคเซียนเหินเคยร้อยเรียงผ่านเหตุการณ์มายุคแล้วยุคเล่า เคยบัญชาใต้หล้า เคยเป็นผู้นำสร้างวีรกรรมโดยลำพังมาหลายแสนปี แต่ท้ายที่สุดแล้ว กลายเป็นเพียงเถ้าธุลีเท่านั้น

สิ่งที่ยิ่งใหญ่มโหฬารล้มลงภายในชั่วข้ามคืน พรรคเซียนเหินถูกลบชื่อออกจากเก้าแดนนับแต่นี้เป็นต้นไป บนโลกใบนี้จะไม่ปรากฏตำนานของพรรคเซียนเหินอีกต่อไป

ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนมากเท่าไรที่ต้องนิ่งเงียบกับภาพเหตุการณ์ที่ได้เห็น ไม่ว่าจะเป็นสายสำนักราชันเซียนลักษณะเช่นใด ไม่ว่าจะเป็นผู้ปราศจากผู้ต่อกรเช่นใด หลังจากที่ได้เห็นการกลับกลายเป็นเถ้าธุลีของพรรคเซียนเหินแล้วก็ต้องหวั่นไหวภายในใจ ในโลกนี้ยังจะมีสำนักใดที่แข็งแกร่งมากไปกว่าพรรคเซียนเหินอีกรึ? แต่ว่า ท้ายที่สุดแล้วยังคงหนีไม่พ้นชะตากรรมที่ต้องถูกทำลายล้างไปได้

เวลานี้เมื่อเอ่ยถึงชื่อคนโหดอันดับหนึ่งแล้วก็ต้องสั่นเทา และผู้ที่แก่จนสมควรจะตายอยู่แล้วยิ่งต้องสั่นเทาและไม่เป็นสุข เมื่อรับรู้ถึงประวัติความเป็นมาที่แท้จริงของคนโหดอันดับหนึ่งแล้ว มือมืดที่บงการเก้าแดนนะเนี่ย ผู้ดำรงอยู่ในฐานะเคยบ่มฟักราชันเซียนขึ้นมาองค์แล้วองค์เล่า เคยสังหารราชันเซียนมาแล้ว ในเก้าชั้นฟ้าสิบแดนดินยังจะมีใครกล้าเป็นศัตรูกับผู้ที่อยู่ในสถานะเช่นนี้อีกเล่า?

“แว้งค์…” จังหวะที่พรรคเซียนเหินหายไปอย่างไร้ร่องรอยนั้น หลี่ชิเย่ได้เปิดลัคนาออกมา สิบสามลัคนาพลันบินออกมา ได้ยินเสียงดัง “ปัง” ลัคนาทั้งสิบสามได้ทำการประทับรอยสลักที่ไม่สามารถลบเลือนได้ตลอดกาลบนต้นเทพอสุนีมารโลหิตสายฟ้า เป็นรอยสลักสิบสามลัคนา เมื่อมีการประทับรอยสลักเช่นนี้บนนั้นแล้ว ต้นเทพอสุนีมารโลหิตสายฟ้าจะอยู่ในความควบคุมของหลี่ชิเย่ตลอดไป

อย่างไรก็ตาม รอยสลักสิบสามลัคนาจะไม่มีวันลบเลือนไปได้ตลอดกาล ไม่ว่ากาลเวลาจะผ่านพ้นไปนานเท่าใด ไม่ว่าต้นเทพอสุนีมารโลหิตสายฟ้าจะแข็งแกร่งมากน้อยเพียงใด สุดท้ายแล้วก็ต้องอยู่ใต้รอยสลักสิบสามลัคนา อยู่ในกฎเกณฑ์ของสิบสามลัคนา!

เวลานี้ หลี่ชิเย่แบมือออกด้วยความชำนาญ ต้นเทพอสุนีมารโลหิตสายฟ้าเริ่มหดตัวเล็กลงๆ และหดตัวด้วยความรวดเร็วที่สูงมาก สุดท้าย จากต้นไม้ยักษ์ที่สูงตระหง่านถึงสวรรค์ได้หดเล็กลงจนเหลือเพียงขนาดเท่าต้นกล้าต้นเล็กๆ ต้นหนึ่งที่ลอยล่องอยู่เหนือฝ่ามือของหลี่ชิเย่

แม้ว่าต้นเทพอสุนีมารโลหิตสายฟ้าได้หดเล็กลงมาจนสามารถลอยล่องอยู่เหนือฝ่ามือของหลี่ชิเย่ได้แล้วก็ตาม แต่ว่ามันยังคงม่านฟ้าล้อมรอบ ยังคงส่งเสียงฟ้าร้องที่ดังมากเป็นระลอก ยังคงให้ความรู้สึกผู้คนถึงการเชื่อมต่อไปยังสวรรค์ได้ แม้ว่าต้นเทพอสุนีมารโลหิตสายฟ้าที่แลดูเหมือนแค่เป็นต้นเล็กๆ เท่านั้น ยังคงให้ความรู้สึกว่ามันรายล้อมด้วยทางช้างเผือก มีสุริยันจันทราที่ขึ้นและตกอยู่ในนั้น เหมือนว่ามันยังคงเป็นต้นไม้ยักษ์ที่สูงใหญ่สุดเทียบเทียมเช่นเดิม

หลังจากที่หลี่ชิเย่ได้เก็บต้นเทพอสุนีมารโลหิตสายฟ้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถึงกับแหงนหน้าขึ้นมองไปบนท้องฟ้า ดวงตาทั้งสองที่เหมือนดวงตะวันสองดวงส่องไปยังเก้าชั้นฟ้าสิบแดนดิน แต่ว่าไม่พบเจอสิ่งใดที่ผิดปรกติ

หลี่ชิเย่ถึงกับทอดถอนใจออกมาเบาๆ เขารู้ว่าอเวจียังคงระวังตัวยิ่งนัก ยังคงไม่กล้าเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย พวกเขาซ่อนตัวยอดเยี่ยมมากจริงๆ

ขณะเดียวกัน อเวจีที่ยังคงเหลือรอดอยู่มีกายล่องหนอยู่ในมือ ขอเพียงพวกเขาหลบซ่อนไม่ปรากฎตัวออกมา หลี่ชิเย่ก็จะทำอะไรพวกเขาไม่ได้ ไม่สามารถค้นหาพวกเขาได้พบ

ครั้งนี้ หลี่ชิเย่ไม่เพียงต้องการทำลายล้างพรรคเซียนเหิน สังหารราชินีเหรินเสียนที่มีการเปลี่ยนแปลงสายเลือดแล้วนั่น ขณะเดียวกัน เขาต้องการล่อให้อเวจีออกมา แล้วจัดการให้สิ้นซากภายในคราเดียว ดีที่สุดก็คือสามารถได้กายล่องหนมาอยู่ในมืออีกด้วย

เสียดาย อเวจีผู้ครอบครองกายล่องหนยังคงมีความระมัดระวังตัวสูง ไม่ยอมเสี่ยงโดยง่ายดายและไม่กล้าเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย ต่อให้พรรคเซียนเหินถูกทำลาย ต่อให้ผู้ที่สามารถวิวัฒนาการจนเปลี่ยนสายเลือดเป็นอเวจีได้สำเร็จเพียงหนึ่งเดียวอย่างราชินีเหรินเสียนถูกสังหาร กระทั่งรังอีกแห่งหนึ่งถูกทำลาย คนที่มีกายล่องหนในครอบครองก็ไม่ยอมลงมือ ไม่เปิดเผยตัว ยังคงหลบซ่อนตัวในความมืดปราศจากซุ่มเสียงใดๆ ทั้งสิ้น

ความจริงแล้ว อเวจีผู้ครอบครองกายล่องหนก็มีความเข้าใจเป็นอย่างดี หากเมื่อไหร่ที่พวกเขาลงมือรับรองได้ว่าต้องถูกหลี่ชิเย่ทุ่มเทสรรพกำลังล้อมปราบอย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้นแล้ว ไม่แน่นักพวกเขาอาจถูกหลี่ชิเย่สังหารจนสิ้นซาก กระทั่งแม้แต่กายล่องหนก็จะตกไปอยู่ในมือของหลี่ชิเย่

สำหรับอเวจีที่ยังคงหลงเหลืออยู่นั้น หากปราศจากกายล่องหนแล้วย่อมเป็นการบ่งบอกว่าพวกเขาได้สูญเสียไพ่ใบสุดท้ายในมือไป และบ่งบอกว่าพวกเขาจะสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างไป เมื่อถึงเวลานั้น อเวจีของพวกเขาก็จะต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากการถูกล้างเผ่าพันธุ์จริงๆ สูญเสียกายล่องหนเมื่อไร อเวจีของพวกเขาก็จะต้องหายไปโดยไร้ร่องรอยไม่หลงเหลืออะไรอีกเลย!

ในที่สุด หลี่ชิเย่ได้ละสายตากลับมา และได้แต่ทอดถอนใจเบาๆ สิ่งที่เขาสามารถทำได้คงมีเพียงเท่านี้แล้วหละ สำหรับอนาคตของเก้าแดนจะเป็นอย่างไรนั้น คงต้องพี่งพาตนเองแล้ว

“ปัง” ในเวลานี้ค่ายกลใหญ่ได้สลายไป กองทัพมังกรเขียวที่แปลงเป็นมังกรเขียวได้ปรากฎตัวต่อหน้าผู้คนอีกครั้ง มองดูกองทัพที่ฆ่าฟันปราศจากผู้ต่อกรที่อยู่ตรงหน้า แคว้นเจ้าลัทธิจำนวนนับไม่ถ้วน และสายสำนักราชันเซียนแต่ละแห่งล้วนสะท้านอยู่ภายในใจ กล่าวสำหรับพวกเขาแล้ว กองทัพที่ปราศจากผู้ต่อกรเช่นนี้เพียงพอที่จะเกรียงไกรไปทั่วเก้าแดน

ลองคิดดู แม้แต่แปดกองทัพราชันเซียนของพรรคเซียนเหิน ยังถูกพวกเขาไล่ฆ่าจนไม่สามารถตอบโต้ได้ ถูกเข่นฆ่าจนดั่งสุนัขไม่มีเจ้าของ ด้วยกองทัพที่ปราศจากผู้ต่อกรเช่นนี้ยังจะมีกองทัพของสำนักใด หรือสายสำนักราชันเซียนใดสามารถต้านการฆ่าฟันจากพวกเขาได้เล่า?

“ลำบากพวกเจ้าแล้วหละ” มองดูกองทัพมังกรเขียวแล้ว หลี่ชิเย่กล่าวพร้อมกับพยักหน้า

เทพแท้จริงสยบโลกานำพากองทัพมังกรเขียวแสดงความเคารพเต็มรูปแบบด้วยความเคารพนอบน้อมยิ่ง กำลังพลทั้งหมดภายในกองทัพต่างคุกเข่าข้างเดียวอยู่ ณ ตรงนั้นเป็นการแสดงคารวะต่อหลี่ชิเย่ ความจริงแล้วเทพแท้จริงสยบโลกาและกองทัพมังกรเขียวแล้ว เกรงว่าคงเป็นครั้งสุดท้ายที่ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับหลี่ชิเย่ เกรงว่าคงเป็นครั้งสุดท้ายที่พวกเขาจะได้เข้าสู่สมรภูมิรบเพื่อหลี่ชิเย่แล้ว ในอนาคตเมื่อหลี่ชิเย่ไปจากเก้าแดนแล้ว พวกเขาไม่สามารถรับใช้ภายใต้บัญชาการของใต้เท้าได้อีก ไม่สามารถรบทัพจับศึกเพื่อใต้เท้าได้อีกแล้ว!

“ลุกขึ้นเถอะ เกียรติยศเป็นของพวกเจ้าตลอดไป” หลี่ชิเย่ทอดถอนใจออกมาเบาๆ กล่าวกับชายชาตรีของกองทัพมังกรเขียวทั้งหมด

สุดท้าย ชายชาตรีทั้งหมดของกองทัพมังกรเขียวต่างยืนตัวตรง และจากการร้องออกมาด้วยเสียงอันดังของเทพแท้จริงสยบโลกาว่า “ทหาร ถอนทัพ! ” และยกกองทัพจากไปทันที

ประตูมิติขนาดใหญ่ถูกเปิดออก และกองทัพมังกรเขียวก็ได้หายเข้าไปในประตูมิติดังกล่าว พวกเขากลับไปยังขุนเขาเขียวขจีอีกครั้ง และปลดระวางตัวเองอีกครั้ง!

หลังจากที่หลี่ชิเย่มองตามกองทัพมังกรเขียวจนไปไกลแล้วจึงได้ละสายตากลับมา ก้าวพรวดเดียวขึ้นไปถึงจักรวาล หายไปจากสายตาของผู้คนในหล้า

ร่างของราชามังกรดำชาติแรกยังคงอยู่ที่จักรวาลตรงนั้น เขาทำการสำรวจไปทั่วทั้งมิติ เขารอคอยการปรากฏตัวของอเวจี เสียดายท้ายที่สุดแล้วอเวจีก็ไม่ได้ปรากฏตัวออกมา!

“สมควรแก่เวลาที่ข้าจะต้องไปจากแล้ว บางทีในอนาคตอาจจะมีโอกาสได้พบกันอีก” หลี่ชิเย่ที่มองดูร่างชาติแรกของราชามังกรดำแล้วถึงกับกล่าวเสียงแผ่วเบาออกมา

เวลานี้ บริเวณหน้าผากของราชามังกรดำปรากฏประกายแวบวับ เหมือนหนึ่งต้องการปรากฏเป็นเครื่องหมายสักอย่าง เมื่อหลี่ชิเย่มองเห็นเช่นนี้แล้ว ยื่นมือออกไปใช้ฝ่ามือประกบแนบกับหน้าผากบริเวณที่มีเครื่องหมายแวบวับนั่น

เมื่อฝ่ามือของหลี่ชิเย่ได้ประทับลงบนหน้าผากของราชมมังกรดำอย่างคล่องแคล่วนั้น พลันปรากฎเงาที่ทอดลงไปยังสมองของหลี่ชิเย่ ท่ามกลางเงาที่ทอดลงมาปรากฎการศึกยิ่งใหญ่ที่สะเทือนฟ้าขึ้นมา ราชันเซียนท่าคง ราชามังกรดำ ถ้ำเซียนมาร อเวจี…ล้วนแล้วแต่ปรากฎเป็นฉากๆ ขึ้นมา และถูกฉายอยู่ในสมองของหลี่ชิเย่ ทีละฉากๆ

ครั้นหลี่ชิเย่ดูถึงตรงนี้ ดวงตาทั้งสองพลันน่ากลัวขึ้นมา ทุกๆ ประกายตาเสมือนหนึ่งสามารถผ่าฟ้าดินออกมา ทุกๆ ประกายตาสามารถสังหารเทพมารได้อย่างนั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ดำรงอยู่ในสถานะเช่นใดก็ตาม เมื่อเห็นประกายตาลักษณะเช่นนี้ของเขาแล้ว ต้องรู้สึกสั่นเทาอยู่ในใจ

ภาพแต่ละฉากที่สนองตอบท่ามกลางสมองของหลี่ชิเย่ค่อยๆ จางหายไป และหลี่ชิเย่ก็หดมือที่ชำนิชำนาญกลับ มองดูร่างชาติแรกของราชามังกรดำแล้วเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “ข้าจะไปด้วยตนเองครั้งหนึ่งอย่างแน่นอน สมควรแก่เวลาที่ต้องจบสิ้นกันได้แล้วหละ!”

ร่างในชาติแรกของราชามังกรดำไม่ได้พูดอะไรออกมา เพียงทอดถอนใจออกมาคำหนึ่ง เหมือนว่าคำถอนหายใจของเขานี้ได้ก้าวข้ามเวลาและกาลเวลาอย่างนั้น

สุดท้าย หลี่ชิเย่ทอดถอนใจเบาๆ ทีหนึ่ง กล่าวว่า “แม้ว่าร่างชาติที่สามและจิตวิญญาณล้วนแล้วแต่ร่วงหล่นไปแล้ว ร่างชาติแรก หรือร่างชาติที่สองของเจ้าหากคิดจะสร้างขึ้นมาใหม่เกรงว่าคงไม่ใช่เป็นเรื่องง่ายดายนัก แม้ว่าเจ้าจะมีร่างกายอยู่ในเวลานี้ แต่ว่าไม่มีจิตวิญญาณ เพียงเป็นเศษเสี้ยวของวิญญาณคิดจะสร้างให้กลายเป็นจิตวิญญาณที่สมบูรณ์หาใช่เป็นเรื่องง่ายดายปานนั้น เกรงว่าคงต้องอาศัยกาลเวลาที่ยาวนานมากจึงสามารถทำได้สำเร็จ”

แม้ว่าร่างของราชามังกรดำในชาติแรกก็มีความแข็งแกร่งเป็นอันมาก แต่ว่า มันเป็นเพียงร่างที่มีเพียงเศษเสี้ยวของจิตวิญญาณในครอบครองเท่านั้น ไม่ได้มีจิตวิญญาณอย่างแท้จริง ไม่ได้มีชะตาแท้จริงๆ กล่าวสำหรับผู้บำเพ็ญตนคนหนึ่งแล้ว ไม่ว่าบุคคลผู้นั้นจะแข็งแกร่งเพียงใดก็ตาม หากมีเพียงชะตาแท้ที่สมบูรณ์ แต่ไม่มีจิตวิญญาณที่สมบูรณ์ ที่สุดแล้วมันก็แค่ซากศพที่เดินได้เท่านั้นเอง ไม่สามารถกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่แท้จริงได้!

ราชามังกรดำที่อยู่ตรงหน้าก็เป็นเช่นนี้ อีกทั้งเขาคิดจะบ่มฟักเศษเสี้ยวของจิตวิญญาณนี้ให้กลายเป็นจิตวิญญาณที่สมบูรณ์นั้นเป็นเรื่องที่ทำได้ยากมาก ต้องอาศัยกาลเวลาในการบ่มฟักที่ยาวนานมาก อีกทั้งยังไม่แน่ว่าจะสามารถทำได้สำเร็จ

หลี่ชิเย่ที่มองดูราชามังกรดำ ในที่สุดได้หยิบขวดใบหนึ่งออกมายื่นให้กับราชามังกรดำ และกล่าวว่า “การสร้างจิตวิญญาณเดิมเป็นหน้าที่ของฟ้าดิน ไม่ได้อยู่ในขอบเขตที่สิ่งมีชีวิตเช่นพวกเราจะเอื้อมถึงได้ แต่ พวกเราก็ต้องลอง ข้าไม่สามารถรั้งอยู่ที่เก้าแดนได้อีกต่อไปแล้ว น้ำทิพย์ต้นกำเนิดสรรพสิ่งขวดนี้อาจสามารถช่วยเจ้าได้อีกแรงหนึ่ง หวังว่าในห้วงระยะเวลาการบ่มฟักอันยาวนาน เจ้าสามารถสร้างจิตวิญญาณ และชะตาแท้ขึ้นมาใหม่!”

น้ำทิพย์ต้นกำเนิดสรรพสิ่งล้ำค่าจนสุดจะประเมิน ต่อให้ราชันเซียนเองก็ต้องการได้น้ำทิพย์ต้นกำเนิดสรรพสิ่งเป็นอันมาก น้ำทิพย์ต้นกำเนิดสรรพสิ่งขวดนี้ที่อยู่ตรงหน้าเรียกได้ว่าสามารถทำให้โลกนี้บ้าคลั่งได้ ความล้ำค่าของมันยากที่จะจินตนาการได้

อย่าได้ดูถูกขวดเล็กๆ ขวดนี้ของหลี่ชิเย่ ขณะที่น้ำทิพย์ต้นกำเนิดสรรพสิ่งที่บรรจุอยู่ในขวดใบนี้มีปริมาณมหาศาลมาก และเป็นน้ำทิพย์ต้นกำเนิดสรรพสิ่งทั้งหมดที่หลี่ชิเย่มีอยู่ในครอบครอง

แม้ว่าน้ำทิพย์ต้นกำเนิดสรรพสิ่งจะล้ำค่าสุดเปรียบเปรย แต่หลี่ชิเย่ก็ได้มอบมันให้กับร่างชาติแรกของราชามังกรดำไปทั้งหมดโดยไม่ได้เหลือเก็บเอาไว้แม้แต่น้อยนิด เมื่อได้รับการช่วยเหลือจากน้ำทิพย์ต้นกำเนิดสรรพสิ่ง ไม่แน่นัก ในอนาคตอาจสามารถช่วยให้ราชามังกรดำสามารถบ่มฟักจิตวิญญาณและชะตาแท้ที่สมบูรณ์ขึ้นมาก็เป็นได้!

หลังจากที่ร่างชาติแรกของราชามังกรดำได้เก็บน้ำทิพย์ต้นกำเนิดสรรพสิ่งเอาไว้แล้ว ร้องคำรามเสียงยาวออกมา เสียงคำรามนั้นดังก้องไม่ขาดสาย เวลานี้เขาสะบัดหางที่ยาวของเขาแล้วเหินฟ้าจากไป กระโดดลงไปยังมหาสมุทรอุดรอีกครั้ง และดำลงใต้ทะเลเพื่อกักตนและบ่มฟักตนอย่างเงียบๆ

กล่าวสำหรับร่างชาติแรกของราชามังกรดำแล้ว ตัวมันเองก็ไม่สามารถปรากฏตัวเช่นนี้นานนัก เพราะง่ายต่อการถูกเวลาทำร้ายจิตวิญญาณที่มีอยู่เพียงเศษเสี้ยวเท่านั้น ถ้าหากแม้แต่เศษเสี้ยวของวิญญาณยังไม่เหลือล่ะก็ เช่นนั้นแล้ว ร่างในชาติแรกของราชามังกรดำก็จะกลายเป็นเพียงซากศพเท่านั้นเอง ต่อให้ร่างกายนี้แข็งแกร่งปานใดก็ตามก็เป็นเพียงร่างกายที่มีแต่เปลือกเท่านั้นเอง

มองดูร่างชาติแรกของราชามังกรดำที่จากไปแล้ว เขาเองถึงกับทอดถอนใจออกมาเบาๆ ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก และไปจากที่ตรงนี้ ปรากฏตัวขึ้นที่มหาสมุทรอุดรอีกครั้งหนึ่ง

ได้เวลาที่เขาจะต้องจากไปแล้ว และสมควรแก่เวลาที่เขาต้องอำลาแล้วหละ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล