พรรคเซียนเหินเคยร้อยเรียงผ่านเหตุการณ์มายุคแล้วยุคเล่า เคยบัญชาใต้หล้า เคยเป็นผู้นำสร้างวีรกรรมโดยลำพังมาหลายแสนปี แต่ท้ายที่สุดแล้ว กลายเป็นเพียงเถ้าธุลีเท่านั้น
สิ่งที่ยิ่งใหญ่มโหฬารล้มลงภายในชั่วข้ามคืน พรรคเซียนเหินถูกลบชื่อออกจากเก้าแดนนับแต่นี้เป็นต้นไป บนโลกใบนี้จะไม่ปรากฏตำนานของพรรคเซียนเหินอีกต่อไป
ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนมากเท่าไรที่ต้องนิ่งเงียบกับภาพเหตุการณ์ที่ได้เห็น ไม่ว่าจะเป็นสายสำนักราชันเซียนลักษณะเช่นใด ไม่ว่าจะเป็นผู้ปราศจากผู้ต่อกรเช่นใด หลังจากที่ได้เห็นการกลับกลายเป็นเถ้าธุลีของพรรคเซียนเหินแล้วก็ต้องหวั่นไหวภายในใจ ในโลกนี้ยังจะมีสำนักใดที่แข็งแกร่งมากไปกว่าพรรคเซียนเหินอีกรึ? แต่ว่า ท้ายที่สุดแล้วยังคงหนีไม่พ้นชะตากรรมที่ต้องถูกทำลายล้างไปได้
เวลานี้เมื่อเอ่ยถึงชื่อคนโหดอันดับหนึ่งแล้วก็ต้องสั่นเทา และผู้ที่แก่จนสมควรจะตายอยู่แล้วยิ่งต้องสั่นเทาและไม่เป็นสุข เมื่อรับรู้ถึงประวัติความเป็นมาที่แท้จริงของคนโหดอันดับหนึ่งแล้ว มือมืดที่บงการเก้าแดนนะเนี่ย ผู้ดำรงอยู่ในฐานะเคยบ่มฟักราชันเซียนขึ้นมาองค์แล้วองค์เล่า เคยสังหารราชันเซียนมาแล้ว ในเก้าชั้นฟ้าสิบแดนดินยังจะมีใครกล้าเป็นศัตรูกับผู้ที่อยู่ในสถานะเช่นนี้อีกเล่า?
“แว้งค์…” จังหวะที่พรรคเซียนเหินหายไปอย่างไร้ร่องรอยนั้น หลี่ชิเย่ได้เปิดลัคนาออกมา สิบสามลัคนาพลันบินออกมา ได้ยินเสียงดัง “ปัง” ลัคนาทั้งสิบสามได้ทำการประทับรอยสลักที่ไม่สามารถลบเลือนได้ตลอดกาลบนต้นเทพอสุนีมารโลหิตสายฟ้า เป็นรอยสลักสิบสามลัคนา เมื่อมีการประทับรอยสลักเช่นนี้บนนั้นแล้ว ต้นเทพอสุนีมารโลหิตสายฟ้าจะอยู่ในความควบคุมของหลี่ชิเย่ตลอดไป
อย่างไรก็ตาม รอยสลักสิบสามลัคนาจะไม่มีวันลบเลือนไปได้ตลอดกาล ไม่ว่ากาลเวลาจะผ่านพ้นไปนานเท่าใด ไม่ว่าต้นเทพอสุนีมารโลหิตสายฟ้าจะแข็งแกร่งมากน้อยเพียงใด สุดท้ายแล้วก็ต้องอยู่ใต้รอยสลักสิบสามลัคนา อยู่ในกฎเกณฑ์ของสิบสามลัคนา!
เวลานี้ หลี่ชิเย่แบมือออกด้วยความชำนาญ ต้นเทพอสุนีมารโลหิตสายฟ้าเริ่มหดตัวเล็กลงๆ และหดตัวด้วยความรวดเร็วที่สูงมาก สุดท้าย จากต้นไม้ยักษ์ที่สูงตระหง่านถึงสวรรค์ได้หดเล็กลงจนเหลือเพียงขนาดเท่าต้นกล้าต้นเล็กๆ ต้นหนึ่งที่ลอยล่องอยู่เหนือฝ่ามือของหลี่ชิเย่
แม้ว่าต้นเทพอสุนีมารโลหิตสายฟ้าได้หดเล็กลงมาจนสามารถลอยล่องอยู่เหนือฝ่ามือของหลี่ชิเย่ได้แล้วก็ตาม แต่ว่ามันยังคงม่านฟ้าล้อมรอบ ยังคงส่งเสียงฟ้าร้องที่ดังมากเป็นระลอก ยังคงให้ความรู้สึกผู้คนถึงการเชื่อมต่อไปยังสวรรค์ได้ แม้ว่าต้นเทพอสุนีมารโลหิตสายฟ้าที่แลดูเหมือนแค่เป็นต้นเล็กๆ เท่านั้น ยังคงให้ความรู้สึกว่ามันรายล้อมด้วยทางช้างเผือก มีสุริยันจันทราที่ขึ้นและตกอยู่ในนั้น เหมือนว่ามันยังคงเป็นต้นไม้ยักษ์ที่สูงใหญ่สุดเทียบเทียมเช่นเดิม
หลังจากที่หลี่ชิเย่ได้เก็บต้นเทพอสุนีมารโลหิตสายฟ้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถึงกับแหงนหน้าขึ้นมองไปบนท้องฟ้า ดวงตาทั้งสองที่เหมือนดวงตะวันสองดวงส่องไปยังเก้าชั้นฟ้าสิบแดนดิน แต่ว่าไม่พบเจอสิ่งใดที่ผิดปรกติ
หลี่ชิเย่ถึงกับทอดถอนใจออกมาเบาๆ เขารู้ว่าอเวจียังคงระวังตัวยิ่งนัก ยังคงไม่กล้าเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย พวกเขาซ่อนตัวยอดเยี่ยมมากจริงๆ
ขณะเดียวกัน อเวจีที่ยังคงเหลือรอดอยู่มีกายล่องหนอยู่ในมือ ขอเพียงพวกเขาหลบซ่อนไม่ปรากฎตัวออกมา หลี่ชิเย่ก็จะทำอะไรพวกเขาไม่ได้ ไม่สามารถค้นหาพวกเขาได้พบ
ครั้งนี้ หลี่ชิเย่ไม่เพียงต้องการทำลายล้างพรรคเซียนเหิน สังหารราชินีเหรินเสียนที่มีการเปลี่ยนแปลงสายเลือดแล้วนั่น ขณะเดียวกัน เขาต้องการล่อให้อเวจีออกมา แล้วจัดการให้สิ้นซากภายในคราเดียว ดีที่สุดก็คือสามารถได้กายล่องหนมาอยู่ในมืออีกด้วย
เสียดาย อเวจีผู้ครอบครองกายล่องหนยังคงมีความระมัดระวังตัวสูง ไม่ยอมเสี่ยงโดยง่ายดายและไม่กล้าเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย ต่อให้พรรคเซียนเหินถูกทำลาย ต่อให้ผู้ที่สามารถวิวัฒนาการจนเปลี่ยนสายเลือดเป็นอเวจีได้สำเร็จเพียงหนึ่งเดียวอย่างราชินีเหรินเสียนถูกสังหาร กระทั่งรังอีกแห่งหนึ่งถูกทำลาย คนที่มีกายล่องหนในครอบครองก็ไม่ยอมลงมือ ไม่เปิดเผยตัว ยังคงหลบซ่อนตัวในความมืดปราศจากซุ่มเสียงใดๆ ทั้งสิ้น
ความจริงแล้ว อเวจีผู้ครอบครองกายล่องหนก็มีความเข้าใจเป็นอย่างดี หากเมื่อไหร่ที่พวกเขาลงมือรับรองได้ว่าต้องถูกหลี่ชิเย่ทุ่มเทสรรพกำลังล้อมปราบอย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้นแล้ว ไม่แน่นักพวกเขาอาจถูกหลี่ชิเย่สังหารจนสิ้นซาก กระทั่งแม้แต่กายล่องหนก็จะตกไปอยู่ในมือของหลี่ชิเย่
สำหรับอเวจีที่ยังคงหลงเหลืออยู่นั้น หากปราศจากกายล่องหนแล้วย่อมเป็นการบ่งบอกว่าพวกเขาได้สูญเสียไพ่ใบสุดท้ายในมือไป และบ่งบอกว่าพวกเขาจะสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างไป เมื่อถึงเวลานั้น อเวจีของพวกเขาก็จะต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากการถูกล้างเผ่าพันธุ์จริงๆ สูญเสียกายล่องหนเมื่อไร อเวจีของพวกเขาก็จะต้องหายไปโดยไร้ร่องรอยไม่หลงเหลืออะไรอีกเลย!
ในที่สุด หลี่ชิเย่ได้ละสายตากลับมา และได้แต่ทอดถอนใจเบาๆ สิ่งที่เขาสามารถทำได้คงมีเพียงเท่านี้แล้วหละ สำหรับอนาคตของเก้าแดนจะเป็นอย่างไรนั้น คงต้องพี่งพาตนเองแล้ว
“ปัง” ในเวลานี้ค่ายกลใหญ่ได้สลายไป กองทัพมังกรเขียวที่แปลงเป็นมังกรเขียวได้ปรากฎตัวต่อหน้าผู้คนอีกครั้ง มองดูกองทัพที่ฆ่าฟันปราศจากผู้ต่อกรที่อยู่ตรงหน้า แคว้นเจ้าลัทธิจำนวนนับไม่ถ้วน และสายสำนักราชันเซียนแต่ละแห่งล้วนสะท้านอยู่ภายในใจ กล่าวสำหรับพวกเขาแล้ว กองทัพที่ปราศจากผู้ต่อกรเช่นนี้เพียงพอที่จะเกรียงไกรไปทั่วเก้าแดน
ลองคิดดู แม้แต่แปดกองทัพราชันเซียนของพรรคเซียนเหิน ยังถูกพวกเขาไล่ฆ่าจนไม่สามารถตอบโต้ได้ ถูกเข่นฆ่าจนดั่งสุนัขไม่มีเจ้าของ ด้วยกองทัพที่ปราศจากผู้ต่อกรเช่นนี้ยังจะมีกองทัพของสำนักใด หรือสายสำนักราชันเซียนใดสามารถต้านการฆ่าฟันจากพวกเขาได้เล่า?
“ลำบากพวกเจ้าแล้วหละ” มองดูกองทัพมังกรเขียวแล้ว หลี่ชิเย่กล่าวพร้อมกับพยักหน้า
เทพแท้จริงสยบโลกานำพากองทัพมังกรเขียวแสดงความเคารพเต็มรูปแบบด้วยความเคารพนอบน้อมยิ่ง กำลังพลทั้งหมดภายในกองทัพต่างคุกเข่าข้างเดียวอยู่ ณ ตรงนั้นเป็นการแสดงคารวะต่อหลี่ชิเย่ ความจริงแล้วเทพแท้จริงสยบโลกาและกองทัพมังกรเขียวแล้ว เกรงว่าคงเป็นครั้งสุดท้ายที่ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับหลี่ชิเย่ เกรงว่าคงเป็นครั้งสุดท้ายที่พวกเขาจะได้เข้าสู่สมรภูมิรบเพื่อหลี่ชิเย่แล้ว ในอนาคตเมื่อหลี่ชิเย่ไปจากเก้าแดนแล้ว พวกเขาไม่สามารถรับใช้ภายใต้บัญชาการของใต้เท้าได้อีก ไม่สามารถรบทัพจับศึกเพื่อใต้เท้าได้อีกแล้ว!
“ลุกขึ้นเถอะ เกียรติยศเป็นของพวกเจ้าตลอดไป” หลี่ชิเย่ทอดถอนใจออกมาเบาๆ กล่าวกับชายชาตรีของกองทัพมังกรเขียวทั้งหมด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...