ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล นิยาย บท 1691

ตอนที่ 1691 กลับมาแล้ว
หลังจากที่หลี่ชิเย่กลับมาที่มหาสมุทรอุดรแล้ว ก็ได้เวลาที่ต้องกล่าวคำอำลากับพวกของยวีไท่จวินแล้ว เมื่อยวีไท่จวินได้พบกับหลี่ชิเย่อีกครั้ง นางก็รู้แล้วว่าได้เวลาที่ต้องอำลาจากกันแล้ว

“ใต้เท้า” ยวีไท่จวินคุกเข่าอยู่ตรงนั้นไม่ยอมลุกขึ้น เกรงว่าครั้งนี้คงเป็นครั้งสุดท้ายที่แสดงความเคารพแบบเต็มรูปแบบต่อหลี่ชิเย่แล้วสำหรับชีวิตของนาง

หลี่ชิเย่พยุงนางให้ลุกขึ้นด้วยตนเอง กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “โลกนี้ไม่มีงานเลี้ยงใดที่ไม่เลิกรา เจ้าติดตามข้ามาชั่วชีวิต วันนี้นับเป็นวันที่ต้องอำลาจากกันแล้วหละ” เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้เขาเองอดที่จะรู้สึกสลดใจไม่ได้ ภาพเช่นนี้ใช่จะเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก

“ไม่ทราบว่าสามารถพบใต้เท้าได้อีกหรือไม่” ยวีไท่จวินก็รู้สึกเศร้าสลดเช่นกัน กี่ปีที่ผ่านมามีการจากกันไปคนแล้วคนเล่า บัดนี้ แม้แต่ใต้เท้าที่มีชีวิตเป็นอมตะก็กำลังจะจากไปแล้ว นี่เป็นการจากลากันครั้งสุดท้ายแล้ว

กล่าวสำหรับคำพูดลักษณะเช่นนี้ ทำให้หลี่ชิเย่ถึงกับนิ่งเงียบไปเหมือนกัน สุดท้ายเขาได้แต่เอ่ยขึ้นมาเบาๆ ว่า “โลกนี้มีความเป็นไปได้จำนวนนับไม่ถ้วน เรื่องของอนาคตมอบให้เป็นหน้าที่ของกาลเวลาก็แล้วกัน”

“ขออวยพรให้ใต้เท้าประสบความสำเร็จทันทีที่ลงมือ ประสบความสำเร็จตั้งแต่เริ่มต้น ได้รับชัยชนะกลับมา! ” ท้ายที่สุด ยวีไท่จวินได้แต่กล่าวคำอวยพรเช่นนี้ต่อหลี่ชิเย่ แม้ว่านางจะมีพันคำหมื่นวจีที่จะบอกกล่าว แต่ สุดท้ายแล้วสามารถพูดออกมาได้เพียงคำนี้คำเดียวเท่านี้เอง

“ข้าก็ขอให้เจ้ามีอายุมั่นขวัญยืน” หลี่ชิเย่ก็เอ่ยขึ้นมาเบาๆ แม้ว่าเขาเองก็มีพันคำที่จะเอ่ยออกมา แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ได้แต่พูดคำๆ นี้ออกมาเบาๆ ไม่มีคำพูดคำใดที่จะล้ำค่ามากไปกว่าคำๆ นี้อีกแล้ว

หลังจากร่ำลากันแล้ว หลี่ชิเย่ไม่ได้มีท่วงท่าของสตรีอีกต่อไป หันหลังลอยล่องจากไปทันที

ยวีไท่จวินยืนอยู่ที่ตรงนั้นตลอด มองด้วยสายตาส่งหลี่ชิเย่จากไป จนกระทั่งร่างเงาของหลี่ชิเย่หายลับไปบนเส้นขอบฟ้า ในที่สุดน้ำตาได้ไหลรินลงมาจากหางตาของนาง นางเอ่ยขึ้นมาเบาๆ ว่า “ลาก่อนใต้เท้า เก้าแดนที่ปราศจากท่านได้สลดและอับแสงลงแล้ว! ”

หลังจากที่หลี่ชิเย่ได้กล่าวอำลากับยวีไท่จวินแล้ว เขามาถึงเมืองสมุทรสยบฟ้า โดยเขาไม่ได้เข้าไปก้าวก่ายกิจการภายในของเมืองสมุทรสยบฟ้า หลังจากที่มาถึงเมืองสมุทรสยบฟ้าแล้ว เขาเพียงพบกับจื่อชุ่ยหนิงเท่านั้น

“เจ้าเตรียมตัวให้พร้อมก็แล้วกัน ได้เวลาที่ต้องไปจากที่นี่แล้ว เรื่องของเมืองสมุทรสยบฟ้าสุดแล้วแต่เจ้าจะจัดการ” หลี่ชิเย่สั่งการกับจื่อชุ่ยหนิง

จื่อชุ่ยหนิงนิ่งเงียบอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายพยักหน้าเบาๆ และเอ่ยขึ้นมาว่า “ข้ารู้แล้ว ทุกอย่างข้าจะจัดการเอง” แม้ว่านางไม่อยากไปจากที่ที่นางเกิดและเติบโตขึ้นมา แต่ว่า ท้ายที่สุดแล้วนางยังคงเลือกที่จะจากไป อย่างไรเสีย ยังมีท้องฟ้าที่กว้างไกลกว่ารอนางอยู่ข้างหน้า

“นี่แหละควรเป็นสิ่งที่เจ้าเลือก” หลี่ชิเย่พยักหน้าและกล่าวว่า “มิฉะนั้นล่ะก็ เป็นการเสียดายในโชควาสนาชั่วชีวิตของเจ้า และเสียดายหอกโลหิตเซียนที่อยู่ในมือของเจ้า นี่คืออาวุธร้ายที่เคยสังหารราชันเซียนมาก่อน ไม่ควรเก็บเอามันไว้ในเมืองสมุทรสยบฟ้าให้มันขึ้นสนิม แต่สมควรปรากฎตัวในเก้าชั้นฟ้าสิบแดนดิน อาศัยมันแทงทะลุคอหอยของเหล่าเทพและราชัน เจ้ามีความเชื่อมั่นเช่นนี้หรือไม่? ”

จื่อชุ่ยหนิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยักหน้าหนักแน่นและกล่าวว่า “ข้าเข้าใจ ข้าจะไม่ผิดต่อสัจธรรมของข้า ข้าจะต้องอาศัยมันกวาดล้างและเปิดฟ้าดินขึ้นมา! ”

“ดีแล้วที่มีเจตจำนงอันแน่วแน่เช่นนี้ งั้นก็ไปเตรียมตัวก็แล้วกัน “ หลี่ชิเย่หลังสั่งการออกไปก็จากไปทันที

ขณะที่หลี่ชิเย่ไปจากนั้น ข่งเชียะหมิงหวางได้เดินทางมาส่ง เดินไปได้ไม่ไกลสักเท่าไร หลี่ชิเย่ได้สั่งการไปว่า “กลับไปเถอะ เมืองสมุทรสยบฟ้าที่ชำรุดทรุดโทรมรอการบูรณะซ่อมแซม จำเป็นต้องอาศัยผู้มีความสามารถเช่นเจ้า ในอนาคตเมืองสมุทรสยบฟ้าต้องสามารถเปล่งประกายขึ้นอีกครั้งแน่นอน”

ข่งเชียะหมิงหวางถึงกับยิ้มเจื่อนๆ ในเวลานี้นางไม่ได้รู้สึกดีใจที่ได้กุมอำนาจสูงสุด ตรงกันข้ามกลับรู้สึกถึงความกดดันที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน จะอย่างไรเสียนางผู้เป็นคนยุคนี้จะเป็นผู้ตัดสินความเจริญรุ่งเรืองหรือเสื่อมถอยของเมืองสมุทรสยบฟ้า ถ้าหากคนรุ่นนี้เช่นนางไม่พยายามแล้ว ก็ต้องละอายใจต่อบรรพชน

“ภายในสำนักยังคงมีบรรพบุรุษซัน บรรพบุรุษเย่คอยจัดการเรื่องสำคัญ พวกเราที่เป็นผู้เยาว์ยินดีทำอย่างสุดความสามารถเพื่อฟื้นฟูสำนักเมืองสมุทรสยบฟ้า” ข่งเชียะหมิงหวางกล่าว

บรรพบุรุษเย่ที่ข่งเชียะหมิงหวางพูดถึงก็คือเย่จิ่วโจว การศึกคราวโจมตีพรรคเซียนเหินนั้น เขายังคงรอดชีวิตมาได้ในที่สุด

“ไม่ พวกเขาแก่แล้ว เมืองสมุทรสยบฟ้าต้องการคนรุ่นใหม่ มีเพียงกลุ่มคนรุ่นใหม่มีความหวัง สำนักจึงมีความหวัง ลำพังอาศัยรุ่นอาวุโสไม่สามารถประคองสำนักขนาดใหญ่ได้เ ต่อให้สามารถทำได้มันก็ใกล้จะอาทิตย์อัสดงแล้ว สุดท้ายก็ต้องตก” หลี่ชิเย่กล่าวพร้อมกับส่ายหน้า

ข่งเชียะหมิงหวางพยักหน้าเงียบๆ เหตุผลข้อนี้นางเองก็รู้ดี แต่ว่า กล่าวสำหรับนางแล้ว เมื่อจื่อชุ่ยหนิงจากไป ภารกิจฟื้นฟูเมืองสมุทรสยบฟ้าเป็นภาระหน้าที่ที่หนักมากเกินไปสำหรับนาง

“เย่จิ่วโจวเป็นผู้ที่มีความสามารถคนหนึ่ง” สุดท้าย หลี่ชิเย่หัวเราะทีหนึ่งและกล่าวเฉยเมยว่า “ไม่ว่าเขาจะเคยทำอะไรมา ไม่ว่าเขาจะมีชาติกำเนิดเช่นใด แต่ จงจำเอาไว้ข้อหนึ่ง เขาจะไม่ทรยศต่อเมืองสมุทรสยบฟ้า หากสามารถได้รับการสนับสนุนจากเขา ถือเป็นเรื่องดีสำหรับเมืองสมุทรสยบฟ้า”

“เพียงแต่ บรรพบุรุษเย่ เขา…” ข่งเชียะหมิงหวางเกิดความลังเลขึ้นนิดหนึ่ง เนื่องจากภายหลังศึกใหญ่สิ้นสุดลง เย่จิ่วโจวรั้งอยู่ที่เมืองสมุทรสยบฟ้าในฐานะผู้กระทำความผิดรอการลงทัณฑ์ แต่ จื่อชุ่ยหนิงได้อภัยโทษของเขา เพียงแต่เขาดูไม่มีความสุขหลังจากการตายของกู้จุน จะอย่างไรเสียกล่าวสำหรับเย่จิ่วโจวแล้ว เขาถือเอากู้จุนเสมือนหนึ่งบิดาของตน

“เขาจะก้าวข้ามจุดนั้นไปได้ ชั่วชีวิตของเขาผ่านอุปสรรคมาเท่าไร” หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวว่า “เขาย่อมจะรู้ดีว่าอนาคตของเมืองสมุทรสยบฟ้าเป็นเช่นใด และเขาก็รู้ดีว่าเมืองสมุทรสยบฟ้าควรจะก้าวเดินอย่างไรดี! ”

“ข้าเข้าใจ” ข่งเชียะหมิงหวางพยักหน้าเบาๆ สุดท้าย นางโค้งคารวะอย่างงามให้กับหลี่ชิเย่ กล่าวว่า “แม้ว่าช่วงเวลาที่ข้าติดตามคุณชายนั้นสั้นมาก แต่คำสั่งสอนของคุณชายทำให้ข้าได้ประโยชน์ไปชั่วชีวิต คำพูดของคุณชายได้ชี้ทางสว่างให้กับข้า ข้าจะจดจำบุญคุณของคุณชายอยู่ในใจไปตลอดกาล”

หลี่ชิเย่พยักหน้ารับการคารวะเต็มรูปแบบจากข่งเชียะหมิงหวาง จากนั้นลอยล่องจากไป ก้าวข้ามช่องว่างพลันทะลุจากมหาสมุทรอุดรถึงดินแดนภาคกลาง กลับไปถึงสำนักโบราณสี่เหยียน

หลังจากที่หลี่ชิเย่กลับมาถึงสำนักโบราณสี่เหยียนแล้ว พวกปู้เหลียนเซียงต่างออกมาให้การต้อนรับ โดยเฉพาะหลี่ซวงเหยียนและเฉินเป่าเจียวเรียกว่าเดินวิ่งมาอย่างรวดเร็ว

“คุณชาย” หลังจากที่เฉินเป่าเจียวได้เห็นหลี่ชิเย่แล้ว นางไม่สามารถอดกลั้นต่อไปได้อีก วิ่งเข้าไปโผกอดคุณชายของนางเต็มที่ เป็นการโผเขาไปกอดที่แฝงด้วยความคิดถึงและความรักอย่างสุดซึ้ง

“มามะมา ทั้งหมดให้ข้าได้กอดซักที” หลี่ชิเย่หัวเราะและกอดพวกของหลี่ซวงเหยียนเอาไว้ พวกหลี่ซวงเหยียนต่างหัวเราะอย่างสนุกสนานเต็มที่

สุดท้าย หลี่ชิเย่ตะกองกอดปู้เหลียนเซียงเอาไว้อย่างสุดซึ้ง ปู้เหลียนเซียงเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “กลับมาก็ดีแล้ว” ท่ามกลางคำพูดคำนี้เปี่ยมด้วยความอ่อนโยนไม่มีสิ้นสุด

หลี่ชิเย่ที่มองดูบรรดาสาวๆ ทั้งหลายแล้วถึงกับเผยรอยยิ้มเฉยเมยออกมาให้เห็น ไม่ว่าจะท่องไปไกลแค่ไหนก็ตาม ท้ายที่สุดเขายังคงกลับมาที่นี่ เนื่องจากที่ตรงนี้มีคนที่เขาห่วงใย และที่ตรงนี้ก็มีเรื่องที่เขาเป็นห่วง

“ศิษย์พี่ใหญ่กลับมาแล้ว” ข่าวการกลับมาของหลี่ชิเย่กระจายไปทั่วสำนักโบราณสี่เหยียนอย่างรวดเร็ว ในเวลานี้ภายในสำนักโบราณสี่เหยียน ปิติยินดีไปทั่ว ศิษย์ทุกระดับของสำนักโบราณสี่เหยียนล้วนแล้วแต่ตื่นเต้นดีใจ โดยเฉพาะผู้ที่เพิ่งจะเข้ามาเป็นศิษย์ของสำนักโบราณสี่เหยียน พวกเขาต่างต้องการได้เห็นท่วงทีที่มีความสง่างามของศิษย์พี่ใหญ่ให้รู้แล้วรู้รอดไป!

ยามที่ภายในสำนักโบราณสี่เหยียนกำลังประดับประดาด้วยผ้าและโคมไฟสวยงามอยู่นั้น ภายในห้องคงเหลือหลี่ชิเย่ และปู้เหลียนเซียงเพียงลำพังที่เสพสุขอยู่กับกาลเวลาที่อบอุ่นหวานซึ้งและสงบเงียบ พวกเขาต่างตะกองกอดซึ่งกันและกัน อิงแอบแนบแน่นด้วยกัน

“กังวลเรื่องอะไรอยู่รึ? ” หลังจากเวลาผ่านไปนานมาก ปู้เหลียนเซียงมองดูหลี่ชิเย่และพูดออกมาด้วยความอ่อนโยนยิ่ง

หลี่ชิเย่เผยรอยยิ้มออกมาให้เห็น ยิ้มกล่าวเฉยเมยว่า “ไม่มีอะไร เรื่องไม่เป็นเรื่องเท่านั้นเอง” ครั้นกล่าวมาถึงตรงนี้แล้ว เขาก้มมองดูสุดยอดหญิงงามแห่งยุคตรงหน้า กล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “ข้าคิดจะไปที่สุสานเทียนกู่สักครั้ง! ”

“เจ้าคิดจะ” ปู้เหลียนเซียงงงงันนิดหนึ่ง กล่าวว่า “หากเพื่อตัวข้าอย่างเดียวล่ะก็ ไม่มีความจำเป็นต้องไป”

“ต่อให้ไม่ทำเพื่อเจ้าข้าก็ต้องไปสักครั้งหนึ่ง” หลี่ชิเย่ทอดถอนใจเบาๆ กล่าวว่า “โลกนี้มีเรื่องราวที่ข้าวางไม่ลงอยู่มากมายเหลือเกิน”

“เพราะเรื่องของอเวจีรึ? ” ปู้เหลียนเซียงเข้าใจแล้ว และพูดขึ้นมาช้าๆ

“ยังคงเป็นเจ้าที่รู้ใจข้า” หลี่ชิเย่หัวเราะและไม่ปิดบังว่า “ถูกต้อง ข้ามีความกังวลใจ ข้ากังวลงว่าหลังจากที่ข้าจากไปแล้วอเวจีจะหวนกลับมาอีกครั้ง ดังนั้น ข้าติดสินใจไปที่สุสานเทียนกู่สักครั้งหนึ่ง

“เรื่องทุกเรื่องต้องแลกมาด้วยค่าตอบแทนอยู่แล้ว” ปู้เหลียนเซียงเอ่ยขึ้นแผ่วเบาว่า นางเคยถูกฝังอยู่ในเส้นชีพจรมังกรของสุสานเทียนกู่ จึงมีความเข้าใจในสุสานเทียนกู่ระดับหนึ่ง

“ชาตินี้ควรเป็นข้าที่ตั้งเงื่อนไขแล้วหละ ไม่ใช่ผู้อื่นจะมาต่อรองราคากับข้า” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉยว่า “ไม่ว่าใครก็ตาม ไม่ว่าจะดำรงอยู่ในฐานะเช่นใดก็ตาม ก็ต้องทำตามกรอบที่ข้าได้กำหนดเอาไว้ ไม่อย่างนั้นล่ะก็ ก่อนข้าจะไปจากข้าไม่รังเกียจที่จะไถสุสานบางแห่งให้ราบเป็นหน้ากลองอยู่แล้ว! หากมีความจำเป็น ข้าจะให้สุสานบางแห่งได้เห็นถึงปณิธานของข้าที่มีต่อเก้าแดน!”

ปู้เหลียนเซียงรั้งคอของเขาเอาไว้ เอ่ยขึ้นแผ่วเบาว่า “สรรพชีวิตในเก้าแดนล้วนแล้วแต่เกรงกลัวเจ้า หวาดกลัวเจ้า กระทั่งก่นด่าเจ้า แต่ จะมีใครที่เข้าใจเจ้า แล้วมีใครรู้ว่าเจ้ารักเก้าแดนมากมายขนาดนี้ แล้วมีใครบ้างที่รู้ว่าเพื่อเก้าแดนแล้ว เจ้าได้ทำการเฝ้าปกป้องมายุคแล้วยุคเล่า คอยสอดส่อง ต่อให้กำลังจะไปจากอยู่แล้ว ภายในใจยังคงวางเก้าแดนไม่ลง!”

“ผู้คนในโลกจะคิดอย่างไรมันเกี่ยวอะไรกับข้า” หลี่ชิเย่เพียงยิ้มเฉยเมย ก้มหน้ามองดูสาวงามที่อยู่ตรงหน้า กล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “หากว่าเจ้ายินยอม การไปสุสานเทียนกู่ในครั้งนี้ข้าจะพยายามให้เจ้าได้อยู่ต่ออีกชาติหนึ่งดีมั้ย?”

สำหรับคำพูดลักษณะเช่นนี้ ปู้เหลียนเซียงถึงกับนิ่งเงียบขึ้นมา เอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “ข้าน่ะรู้ว่าภายในใจของเจ้าตัดใจจากข้าไม่ได้ ข้าเองไหนเลยจะจากเจ้าไปได้กันเล่า? แต่ว่า การจะอยู่ต่ออีกชาติมันต้องมีค่าตอบแทน ข้าไม่ต้องการเพื่อมีชีวิตอยู่ต่ออีกชาติแล้วทำให้ชีวิตไม่เรียบเฉยอีกต่อไป ถ้าหากให้ข้าเลือก ข้ายินดีเลือกที่จะจากไปอย่างงดงามและเพิกเฉย อีกอย่าง กล่าวสำหรับพวกเราแล้ว มันเพียงพอกับคำว่าชั่วฟ้าดินสลายแล้วหละ นับแต่ยุคอเวจีก้าวข้ามมาจนถึงปัจจุบัน มันเพียงพอแล้ว”

“อีกอย่าง ข้าควรจะอยู่เพื่อเจ้า ข้าควรต้องให้สายเลือดของเจ้าสืบสานในเก้าแดนต่อไป เจ้าเองไม่ใช่รึที่กังวลว่าอเวจีจะหวนคืนกลับมาอีกครั้ง? ข้าเองก็สมควรรั้งอยู่ต่อไป คอยเฝ้ามองดูโลกใบนี้แทนเจ้ากับชีวิตที่คงเหลืออยู่ไม่ยาวนานนัก ช่วยเจ้าสืบทอดสำนักที่สามารถต้านรับกับอเวจีได้ ไม่ว่าอเวจีจะหวนกลับมาหรือไม่ เก้าแดนในอนาคตจะมีผู้ที่คอยเฝ้ามองดูโลกนี้อยู่เงียบๆ! ” กล่าวพลางนางได้รั้งคอของหลี่ชิเย่เอาไว้แน่น

“ชีวิตคนเรา” หลี่ชิเย่ที่กอดปู้เหลียนเซียงเอาไว้ถึงกับทอดถอนใจออกมาเบาๆ และกล่าวว่า “ย่อมต้องมีสิ่งที่จนด้วยเกล้าเสมอ”

“ผู้ชายของข้า เจ้าคือผู้ชายที่เย้ยฟ้าท้าดิน จะไม่มีการลังเลเพราะข้า” ปู้เหลียนเซียงยิ้มกล่าวว่า “เจ้าเองก็ไม่ต้องการให้ข้าต้องเจ็บปวดเพราะการมีชีวิตอีกครั้ง นี่เป็นการเลือกของชีวิตคนอย่างหนึ่ง ปล่อยให้ข้าได้มีชีวิตอยู่อย่างงดงามและเรียบเฉยเถอะนะ พวกเราเคยได้ครอบครองสิ่งที่ล้ำค่ายิ่งไปกว่าชั่วฟ้าดินสลายเสียอีก!”

“ข้าเข้าใจ” หลี่ชิเย่กอดนางเอาไว้และเอ่ยขึ้นมาแผ่วเบา

แม้ว่าหลี่ชิเย่สามารถเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างได้ แต่เขาเคารพในการตัดสินใจของปู้เหลียนเซียง ไม่ว่าจะอย่างไรกาลเวลาไร้ความปราณี การกำเนิดเกิดใหม่ไม่แน่เสมอไปว่าเป็นเรื่องที่ทำให้มีความสุข เขาเคยมีชีวิตที่เป็นอมตะ รู้ว่าการเผชิญกับกาลเวลาที่ไร้ความปราณีเป็นความทรมานอย่างหนึ่ง!

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล