“ใต้เท้า” ยวีไท่จวินคุกเข่าอยู่ตรงนั้นไม่ยอมลุกขึ้น เกรงว่าครั้งนี้คงเป็นครั้งสุดท้ายที่แสดงความเคารพแบบเต็มรูปแบบต่อหลี่ชิเย่แล้วสำหรับชีวิตของนาง
หลี่ชิเย่พยุงนางให้ลุกขึ้นด้วยตนเอง กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “โลกนี้ไม่มีงานเลี้ยงใดที่ไม่เลิกรา เจ้าติดตามข้ามาชั่วชีวิต วันนี้นับเป็นวันที่ต้องอำลาจากกันแล้วหละ” เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้เขาเองอดที่จะรู้สึกสลดใจไม่ได้ ภาพเช่นนี้ใช่จะเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก
“ไม่ทราบว่าสามารถพบใต้เท้าได้อีกหรือไม่” ยวีไท่จวินก็รู้สึกเศร้าสลดเช่นกัน กี่ปีที่ผ่านมามีการจากกันไปคนแล้วคนเล่า บัดนี้ แม้แต่ใต้เท้าที่มีชีวิตเป็นอมตะก็กำลังจะจากไปแล้ว นี่เป็นการจากลากันครั้งสุดท้ายแล้ว
กล่าวสำหรับคำพูดลักษณะเช่นนี้ ทำให้หลี่ชิเย่ถึงกับนิ่งเงียบไปเหมือนกัน สุดท้ายเขาได้แต่เอ่ยขึ้นมาเบาๆ ว่า “โลกนี้มีความเป็นไปได้จำนวนนับไม่ถ้วน เรื่องของอนาคตมอบให้เป็นหน้าที่ของกาลเวลาก็แล้วกัน”
“ขออวยพรให้ใต้เท้าประสบความสำเร็จทันทีที่ลงมือ ประสบความสำเร็จตั้งแต่เริ่มต้น ได้รับชัยชนะกลับมา! ” ท้ายที่สุด ยวีไท่จวินได้แต่กล่าวคำอวยพรเช่นนี้ต่อหลี่ชิเย่ แม้ว่านางจะมีพันคำหมื่นวจีที่จะบอกกล่าว แต่ สุดท้ายแล้วสามารถพูดออกมาได้เพียงคำนี้คำเดียวเท่านี้เอง
“ข้าก็ขอให้เจ้ามีอายุมั่นขวัญยืน” หลี่ชิเย่ก็เอ่ยขึ้นมาเบาๆ แม้ว่าเขาเองก็มีพันคำที่จะเอ่ยออกมา แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ได้แต่พูดคำๆ นี้ออกมาเบาๆ ไม่มีคำพูดคำใดที่จะล้ำค่ามากไปกว่าคำๆ นี้อีกแล้ว
หลังจากร่ำลากันแล้ว หลี่ชิเย่ไม่ได้มีท่วงท่าของสตรีอีกต่อไป หันหลังลอยล่องจากไปทันที
ยวีไท่จวินยืนอยู่ที่ตรงนั้นตลอด มองด้วยสายตาส่งหลี่ชิเย่จากไป จนกระทั่งร่างเงาของหลี่ชิเย่หายลับไปบนเส้นขอบฟ้า ในที่สุดน้ำตาได้ไหลรินลงมาจากหางตาของนาง นางเอ่ยขึ้นมาเบาๆ ว่า “ลาก่อนใต้เท้า เก้าแดนที่ปราศจากท่านได้สลดและอับแสงลงแล้ว! ”
หลังจากที่หลี่ชิเย่ได้กล่าวอำลากับยวีไท่จวินแล้ว เขามาถึงเมืองสมุทรสยบฟ้า โดยเขาไม่ได้เข้าไปก้าวก่ายกิจการภายในของเมืองสมุทรสยบฟ้า หลังจากที่มาถึงเมืองสมุทรสยบฟ้าแล้ว เขาเพียงพบกับจื่อชุ่ยหนิงเท่านั้น
“เจ้าเตรียมตัวให้พร้อมก็แล้วกัน ได้เวลาที่ต้องไปจากที่นี่แล้ว เรื่องของเมืองสมุทรสยบฟ้าสุดแล้วแต่เจ้าจะจัดการ” หลี่ชิเย่สั่งการกับจื่อชุ่ยหนิง
จื่อชุ่ยหนิงนิ่งเงียบอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายพยักหน้าเบาๆ และเอ่ยขึ้นมาว่า “ข้ารู้แล้ว ทุกอย่างข้าจะจัดการเอง” แม้ว่านางไม่อยากไปจากที่ที่นางเกิดและเติบโตขึ้นมา แต่ว่า ท้ายที่สุดแล้วนางยังคงเลือกที่จะจากไป อย่างไรเสีย ยังมีท้องฟ้าที่กว้างไกลกว่ารอนางอยู่ข้างหน้า
“นี่แหละควรเป็นสิ่งที่เจ้าเลือก” หลี่ชิเย่พยักหน้าและกล่าวว่า “มิฉะนั้นล่ะก็ เป็นการเสียดายในโชควาสนาชั่วชีวิตของเจ้า และเสียดายหอกโลหิตเซียนที่อยู่ในมือของเจ้า นี่คืออาวุธร้ายที่เคยสังหารราชันเซียนมาก่อน ไม่ควรเก็บเอามันไว้ในเมืองสมุทรสยบฟ้าให้มันขึ้นสนิม แต่สมควรปรากฎตัวในเก้าชั้นฟ้าสิบแดนดิน อาศัยมันแทงทะลุคอหอยของเหล่าเทพและราชัน เจ้ามีความเชื่อมั่นเช่นนี้หรือไม่? ”
จื่อชุ่ยหนิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยักหน้าหนักแน่นและกล่าวว่า “ข้าเข้าใจ ข้าจะไม่ผิดต่อสัจธรรมของข้า ข้าจะต้องอาศัยมันกวาดล้างและเปิดฟ้าดินขึ้นมา! ”
“ดีแล้วที่มีเจตจำนงอันแน่วแน่เช่นนี้ งั้นก็ไปเตรียมตัวก็แล้วกัน “ หลี่ชิเย่หลังสั่งการออกไปก็จากไปทันที
ขณะที่หลี่ชิเย่ไปจากนั้น ข่งเชียะหมิงหวางได้เดินทางมาส่ง เดินไปได้ไม่ไกลสักเท่าไร หลี่ชิเย่ได้สั่งการไปว่า “กลับไปเถอะ เมืองสมุทรสยบฟ้าที่ชำรุดทรุดโทรมรอการบูรณะซ่อมแซม จำเป็นต้องอาศัยผู้มีความสามารถเช่นเจ้า ในอนาคตเมืองสมุทรสยบฟ้าต้องสามารถเปล่งประกายขึ้นอีกครั้งแน่นอน”
ข่งเชียะหมิงหวางถึงกับยิ้มเจื่อนๆ ในเวลานี้นางไม่ได้รู้สึกดีใจที่ได้กุมอำนาจสูงสุด ตรงกันข้ามกลับรู้สึกถึงความกดดันที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน จะอย่างไรเสียนางผู้เป็นคนยุคนี้จะเป็นผู้ตัดสินความเจริญรุ่งเรืองหรือเสื่อมถอยของเมืองสมุทรสยบฟ้า ถ้าหากคนรุ่นนี้เช่นนางไม่พยายามแล้ว ก็ต้องละอายใจต่อบรรพชน
“ภายในสำนักยังคงมีบรรพบุรุษซัน บรรพบุรุษเย่คอยจัดการเรื่องสำคัญ พวกเราที่เป็นผู้เยาว์ยินดีทำอย่างสุดความสามารถเพื่อฟื้นฟูสำนักเมืองสมุทรสยบฟ้า” ข่งเชียะหมิงหวางกล่าว
บรรพบุรุษเย่ที่ข่งเชียะหมิงหวางพูดถึงก็คือเย่จิ่วโจว การศึกคราวโจมตีพรรคเซียนเหินนั้น เขายังคงรอดชีวิตมาได้ในที่สุด
“ไม่ พวกเขาแก่แล้ว เมืองสมุทรสยบฟ้าต้องการคนรุ่นใหม่ มีเพียงกลุ่มคนรุ่นใหม่มีความหวัง สำนักจึงมีความหวัง ลำพังอาศัยรุ่นอาวุโสไม่สามารถประคองสำนักขนาดใหญ่ได้เ ต่อให้สามารถทำได้มันก็ใกล้จะอาทิตย์อัสดงแล้ว สุดท้ายก็ต้องตก” หลี่ชิเย่กล่าวพร้อมกับส่ายหน้า
ข่งเชียะหมิงหวางพยักหน้าเงียบๆ เหตุผลข้อนี้นางเองก็รู้ดี แต่ว่า กล่าวสำหรับนางแล้ว เมื่อจื่อชุ่ยหนิงจากไป ภารกิจฟื้นฟูเมืองสมุทรสยบฟ้าเป็นภาระหน้าที่ที่หนักมากเกินไปสำหรับนาง
“เย่จิ่วโจวเป็นผู้ที่มีความสามารถคนหนึ่ง” สุดท้าย หลี่ชิเย่หัวเราะทีหนึ่งและกล่าวเฉยเมยว่า “ไม่ว่าเขาจะเคยทำอะไรมา ไม่ว่าเขาจะมีชาติกำเนิดเช่นใด แต่ จงจำเอาไว้ข้อหนึ่ง เขาจะไม่ทรยศต่อเมืองสมุทรสยบฟ้า หากสามารถได้รับการสนับสนุนจากเขา ถือเป็นเรื่องดีสำหรับเมืองสมุทรสยบฟ้า”
“เพียงแต่ บรรพบุรุษเย่ เขา…” ข่งเชียะหมิงหวางเกิดความลังเลขึ้นนิดหนึ่ง เนื่องจากภายหลังศึกใหญ่สิ้นสุดลง เย่จิ่วโจวรั้งอยู่ที่เมืองสมุทรสยบฟ้าในฐานะผู้กระทำความผิดรอการลงทัณฑ์ แต่ จื่อชุ่ยหนิงได้อภัยโทษของเขา เพียงแต่เขาดูไม่มีความสุขหลังจากการตายของกู้จุน จะอย่างไรเสียกล่าวสำหรับเย่จิ่วโจวแล้ว เขาถือเอากู้จุนเสมือนหนึ่งบิดาของตน
“เขาจะก้าวข้ามจุดนั้นไปได้ ชั่วชีวิตของเขาผ่านอุปสรรคมาเท่าไร” หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวว่า “เขาย่อมจะรู้ดีว่าอนาคตของเมืองสมุทรสยบฟ้าเป็นเช่นใด และเขาก็รู้ดีว่าเมืองสมุทรสยบฟ้าควรจะก้าวเดินอย่างไรดี! ”
“ข้าเข้าใจ” ข่งเชียะหมิงหวางพยักหน้าเบาๆ สุดท้าย นางโค้งคารวะอย่างงามให้กับหลี่ชิเย่ กล่าวว่า “แม้ว่าช่วงเวลาที่ข้าติดตามคุณชายนั้นสั้นมาก แต่คำสั่งสอนของคุณชายทำให้ข้าได้ประโยชน์ไปชั่วชีวิต คำพูดของคุณชายได้ชี้ทางสว่างให้กับข้า ข้าจะจดจำบุญคุณของคุณชายอยู่ในใจไปตลอดกาล”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...