“ตูม…ตูม…ตูม…” ในค่ำคืนนี้เอง ชะตาฟ้าที่ปรากฏอยู่ในเก้าแดนพลันกลับกลายเป็นวังวนขนาดยักษ์ โดยที่วังวนขนาดยักษ์ปรากฏให้เห็นได้ทุกที่ในเก้าแดน ไม่ว่าจะอยู่ที่ตรงไหน เวลาใด นาทีนี้ก็สามารถมองเห็นวังวนปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า
สิ่งนี้คือชะตาฟ้าที่ก่อนหน้านั้นมีการแปรเปลี่ยนรูปลักษณ์ต่างๆ นานานั้นเอง ที่บางครั้งเหมือนมังกรแท้จริง บางครั้งเหมือนหงส์ บางครั้งเหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์…
แต่เวลานี้ ในที่สุดชะตาฟ้าได้มีรูปลักษณ์ที่เป็นเอกลักษณ์เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ไม่ว่าจะปรากฎยังที่แห่งใดในเก้าแดนก็จะมีรูปลักษณ์เช่นนี้ คือเป็นวังวนขนาดยักษ์
ติดตามมาด้วยเสียงดังตูมตามเป็นระลอก ในที่สุดรูปลักษณ์สุดท้ายของชะตาฟ้าก็ได้ก่อเกิดขึ้น นั่นก็คือเป็นวังวนขนาดยักษ์ที่แขวนอยู่บนท้องฟ้า ขณะที่ชะตาฟ้าได้ก่อกำเนิดเป็นรูปลักษณ์สุดท้ายนั้น สรรพชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนในเก้าแดนล้วนแล้วแต่ถูกทำให้ตื่นตระหนก ผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนต่างอดที่จะมีโอกาสได้มองเห็นขั้นตอนระหว่างก่อกำเนิดเป็นรูปลักษณ์สุดท้ายของชะตาฟ้าด้วยสายตาของตนเอง
“ภาพเช่นนี้ดูกี่ครั้งก็ไม่รู้จักเบื่อนะเนี่ย ถ้าหากทุกยุคสมัยล้วนแล้วแต่สามารถมองเห็นลักษณะเช่นนี้ ชาตินี้นับว่าไม่มีอะไรต้องเสียใจอีกแล้ว” มีประเภทแก่จนสมควรจะตายได้แล้วมองดูชะตาฟ้าที่อยู่บนท้องฟ้าแปรเปลี่ยนเป็นวังวนถึงกับเอ่ยขึ้นด้วยความทอดถอนใจออกมา
สำหรับผู้บำเพ็ญตนกลุ่มคนรุ่นใหม่จำนวนมากที่เพิ่งจะได้เห็นภาพเช่นนี้เป็นครั้งแรกนั้น พวกเขามองดูชะตาฟ้าที่อาศัยลักษณะสุดท้ายปรากฏตัวออกมา ต่างรู้สึกตื่นเต้นยินดียิ่งนัก
“ชะตาฟ้าสำเร็จเป็นรูปลักษณ์สุดท้ายแล้ว จากนี้ไปควรเป็นช่วงเวลาที่จะได้รับการยอมรับจากชะตาฟ้าแล้ว มีเพียงได้รับการยอมรับจากชะตาฟ้าเท่านั้นจึงมีสิทธิ์เข้าช่วงชิงชะตาฟ้า และมีสิทธิ์ได้เป็นราชันเซียนจากการต่อสู้ครั้งสุดท้าย ด้วยการชนะและสืบทอดชะตาฟ้า” มีรุ่นอาวุโสที่มองดูชะตาฟ้าปรากฏเป็นรูปลักษณ์สุดท้ายออกมาแล้วถึงกับบ่นพึมพำออกมา
จังหวะที่ชะตาฟ้าสำเร็จเป็นรูปเป็นร่างนั้น ดาวรุ่งกลุ่มคนรุ่นใหม่จะได้รับการยอมรับจากชะตาฟ้า แน่นอน คงไม่ใช่ใครก็สามารถได้รับการยอมรับจากชะตาฟ้าอยู่แล้ว อย่างเช่นดาวรุ่งกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เลือกก้าวเดินไปบนเส้นทางโลกาวิถีนั้น ไม่ว่าบุคคลผู้นั้นจะมีความแข็งแกร่งเพียงใดก็ตาม เป็นไปไม่ได้ที่บุคคลผู้นั้นจะได้รับการยอมรับจากชะตาฟ้า เนื่องจากวินาทีที่เลือกเดินโลกาวิถีก็เป็นการบ่งบอกว่าไม่มีวาสนาต่อชะตาฟ้าอีกนับแต่นั้นเป็นต้นไป
สำหรับยอดฝีมือที่เลือกก้าวเดินบนเส้นทางสวรรค์วิถีนั้น ไม่ได้หมายความว่าหากบุคคลผู้นั้นก้าวเดินบนเส้นทางสวรรค์วิถีแล้วก็สามารถได้รับการยอมรับจากชะตาฟ้า ถ้าหากไม่เป็นไปตามเงื่อนไขก็จะไม่ได้รับการยอมรับจากชะตาฟ้า โดยสภาพทั่วไปจะมีสองกรณีที่ไม่ได้รับการยอมรับจากชะตาฟ้าก็คือ ข้อแรก ทักษะยุทธยังไม่แกร่งพอ ข้อสอง สัจธรรมยังไม่สมบูรณ์พอ
สำหรับข้อแรกนั้นสามารถเข้าใจได้โดยสิ้นเชิง จะอย่างไรเสียกำลังความสามารถไม่พอแล้วจะมาแย่งชิงชะตาฟ้าได้อย่างไรกัน สำหรับข้อที่สองนั้นก็เข้าใจได้ไม่ยาก เนื่องจากสัจธรรมไม่สมบูรณ์พอ หรืออีกนัยหนึ่งว่าสัจธรรมที่บุคคลนั้นสร้างขึ้นมีลักษณะประหลาดมาแต่ต้นไม่สมบูรณ์ ซึ่งจะไม่สามารถรองรับพลังจากชะตาฟ้าได้ สัจธรรมในลักษณะเช่นนี้จะได้รับการยอมรับจากชะตาฟ้าได้อย่างไรกันเล่า
ชะตาฟ้านั้นมีพลังของหนึ่งยุคสมัย ซึ่งได้รวมเอาพลังหมื่นสัจธรรมจากเก้าแดนเอาไว้ เป็นพลังที่มีความแข็งแกร่ง และพาลยิ่งนัก ซึ่งหาใช่ผู้ใดก็ตามล้วนแล้วแต่สามารถสืบทอดพลังเช่นนี้ได้ เฉกเช่นพลังเช่นนี้จำเป็นต้องสัจธรรมที่หนึ่งไม่เป็นสองรองใคร และสมบูรณ์แข็งแกร่งจึงสามารถไปสืบทอดมันได้
มิฉะนั้นล่ะก็ ถ้าหารสัจธรรมของบุคคลผู้นั้นไม่สมบูรณ์เพียงพอ ต่อใหอาศัยวิธีการที่ฝืนลิขิตสวรรค์ไปสืบทอดชะตาฟ้านี้เอาไว้ นั่นย่อมหมายถึงสัจธรรมของบุคคลผู้นั้นต้องแตกสลาย ทำให้กายเนื้อและชะตาแท้ก็ต้องถูกทำลาย สุดท้ายลงเอยด้วยตัวตายสัจธรรมสูญสลายไปในที่สุด
ด้วยเหตุนี้เอง หลังจากที่ชะตาฟ้าได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว ไม่ว่าบุคคลผู้นั้นจะเป็นดาวรุ่งหรือไม่ ขอเพียงมีกำลังความสามารถถึงระดับที่กำหนด และมีสัจธรรมที่สมบูรณ์หนึ่งไม่เป็นสองรองใครอยู่ในครอบครอง ก็จะได้รับการยอมรับจากชะตาฟ้า
แน่นอนที่สุด การได้รับการยอมรับจากชะตาฟ้าไม่ได้หมายความว่าสามารถเป็นราชันเซียนได้ทันที และไม่ได้หมายความว่าสามารถสืบทอดชะตาฟ้าได้เลย ยังคงต้องผ่านการต่อสู้ ฆ่าฟัน เพื่อเอาชนะคู่ชิงชะตาฟ้าที่เป็นคู่ต่อสู้คนอื่นๆ สุดท้ายแล้วจึงสามารถสืบทอดชะตาฟ้ากลายเป็นราชันเซียนที่ปราศจากผู้ต่อกรแห่งยุคได้ในที่สุด
เสียง “ตูม…” ดังขึ้น ชะตาฟ้าได้ปรากฏตัวออกมาด้วยรูปลักษณ์สุดท้ายในที่สุด ยามที่มันได้กลับกลายเป็นรูปลักษณ์สุดท้ายนั้น เวลานี้วังวนขนาดยักษ์ได้หมุนวนอยู่บนท้องฟ้าไม่หยุดนิ่ง อีกทั้งวังวนขนาดยักษ์ที่ปรากฏอยู่ท่ามกลางท้องฟ้ากลับไม่ส่งเสียงใดๆ ออกมา มันหมุนวนเคลื่อนไปอย่างช้าๆ มีความเป็นวงกลมยิ่งนัก กระทั่งบางครั้งทำให้ผู้คนไม่รู้สึกว่ามันมีการหมุนวนอยู่อย่างนั้น
ขณะที่ชะตาฟ้าที่เป็นเหมือนดั่งวังวนขนาดใหญ่ที่หมุนเคลื่อนไม่หยุดนิ่งอยู่บนท้องฟ้านั้น สามารถมองเห็นสัจธรรมและกฎเกณฑ์แต่ละสายที่อยู่ภายในวังวนมีการหมุนตามไปด้วย อีกทั้งจังหวะการหมุนล้วนเป็นจังหวะเดียวกัน หลักกฎเกณฑ์แต่ละสายที่หมุนเคลื่อนที่จะก้าวไปในจังหวะเดียวกันกับการหมุนของวังวนขนาดยักษ์ จนกล่าวได้ว่าผู้คนไม่สามารถแยกแยะได้ว่าเป็นเพราะตัวของชะตาฟ้าเองที่หมุนเคลื่อนไป หรือว่าหลักกฎเกณฑ์แต่ละสายที่นำพาให้สัจธรรมหมุนเคลื่อนไปกันแน่
หลักกฎเกณฑ์ที่อยู่ภายในวังวนล้วนแล้วแต่แลดูเป็นของใหม่อะไรปานนั้น ทุกๆ สายของกฎเกณฑ์ล้วนแล้วแต่ตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นอายขมุกขมัว อีกทั้งกฎเกณฑ์แต่ละสายล้วนแล้วแต่ ตลบอบอวบด้วยพลังที่อิ่มเอิบ ไม่ปรากฏร่องรอยของการเสื่อมโรยราแม้แต่น้อย เหมือนว่ากฎเกณฑ์แต่ละสายล้วนแล้วแต่เพิ่งถือกำเนิดขึ้นในยุคที่ฟ้าดินยังไม่ได้แบ่งแยกเป็นสอง มันนำเอาพลังในยุคที่ฟ้าดินยังไม่ได้แบ่งแยกเป็นสองมาด้วย
สิ่งนี้แหละคือกฎเกณฑ์แห่งชะตาฟ้า และก็คือกฎเกณฑ์แรกเริ่มกำเนิดฟ้าดิน และเป็นสิ่งที่ชะตาฟ้าทำให้ผู้คนหลงใหลมากที่สุด และเป็นสิ่งที่เย้ายวนใจผู้คนมากที่สุดของชะตาฟ้า
บุคคลใดก็ตาม หากฝึกวิชาจนถึงระดับหนึ่งแล้วล้วนแล้วแต่สามารถควบคุมกฎเกณฑ์ โดยเฉพาะยอดฝีมือผู้ฝึกเคล็ดวิชาราชันเซียนจนถึงระดับหนึ่งแล้ว พวกเขาก็จะสามารถฝึกกฎเกณฑ์ราชันเซียนขึ้นมาได้ อีกทั้งกฎเกณฑ์ในลักษณะเช่นนี้จะใกล้เคียงกับกฎเกณฑ์ของชะตาฟ้า เป็นกฎเกณฑ์ที่แข็งแกร่งยิ่งนัก และฝืนลิขิตสวรรค์ยิ่งนัก
แต่ว่า มันก็เป็นได้แค่ใกล้เคียงเท่านั้นเอง หาใช่กฎเกณฑ์ชะตาฟ้าที่แท้จริง หลังจากที่ชะตาฟ้าใหม่ถือกำเนิดขึ้นแล้ว มันจะนำมาซึ่งกฎเกณฑ์ที่ใหม่เอี่ยมทั้งหมด นำมาซึ่งกฎเกณฑ์ที่มีพลังในยุคที่ฟ้าดินยังไม่ได้แบ่งแยกเป็นสอง เป็นกฎเกณฑ์ที่ล้อมรอบด้วยความขมุกขมัว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...