“อะไรที่เรียกว่าทำเรื่องที่ไม่สามารถเปิดเผยได้” หลี่ชิเย่เหลือบมองหลงจิงเซียนทีหนึ่ง กล่าวขึ้นมาช้าๆ ว่า “นี่เป็นชะตาฟ้าที่ต้องการให้ข้าเป็นนาย บ่งบอกชัดเจนว่าเลือกข้า แล้วข้าจะไปทำอะไรได้” พูดจบทำท่าผายมือออก เหมือนเป็นเรื่องที่จนด้วยเกล้า ประหนึ่งว่าเป็นสวรรค์บังคับให้เขาเป็นราชันเซียนอย่างนั้น
หลงจิงเซียนโมโหจนมันเขี้ยว แทบอยากจะจับหน้าเหม็นๆ ของหลี่ชิเย่มาทุบตีให้แบนให้มันรู้แล้วรู้รอดไป เมื่อเห็นท่าที่ของหลี่ชิเย่ที่ได้เปรียบคนอื่นแล้วยังทำเป็นอวดฉลาดอีก
“ฮึ ฮึ ฮึ เจ้าชิเย่เหม็น รอให้ข้าฝึกค่ายกลพิฆาตราชันเซียนให้สำเร็จเสียก่อนเหอะ ข้าจะร่วมมือกับพี่น้องตระกูลหลี่ รับรองว่าจะจัดการกับเจ้าจนมองหาฟันไม่เจอ ต่อให้เจ้ากลายเป็นราชันเซียนแล้วก็ตาม พวกเราจะยังคงเล่นงานเจ้าจนหาฟันไม่เจอ เมื่อถึงเวลานั้นพวกเราจะให้ราชันเซียนอย่างเจ้าคุกเข่าขอให้ละเว้นโทษ” พูดจบ หลงจิงเซียนถึงกับหัวเราะออกมาด้วยความลำพองใจ เหมือนว่าได้มองเห็นท่าทางของหลี่ชิเย่ที่คุกเข่าขอให้ละเว้นโทษแล้วอย่างนั้น
หลี่ชิเย่เพียงยิ้มเฉยเมยกับการร้องเอ็ดตะโรของหลงจิงเซียน และกล่าวว่า “งั้นข้าจะรอพวกเจ้า รอให้พวกเจ้าสามารถฝึกค่ายกลพิฆาตราชันเซียนให้สำเร็จได้ในเร็ววัน”
“แน่นอน เจ้าชิเย่เหม็น เจ้ารอพวกเรา พวกเราจะต้องเล่นงานเจ้าจนหาฟันไม่เจอแน่” หลงจิงเซียนทำท่าชูกำปั้น ท่าทีเหมือนแสดงอำนาจ และท้าทายต่อหลี่ชิเย่ด้วยความโอหังยิ่งนัก
หลี่ชิเย่มองดูท่าทีลักษณะเช่นนี้ของหลงจิงเซียนแล้วถึงกับมีสีหน้ายิ้มๆ นังหนูคนนี้อาจกล่าวได้ว่ามีพลังแฝงไร้สิ้นสุดจริงๆ ขอเพียงมอบพลังให้นางได้ก้าวเดินต่อไปข้างหน้า ความสำเร็จของนางในอนาคตรับรองว่าสะเทือนฟ้าอย่างแน่นอน พรสวรรค์ของนางไม่เห็นจะด้อยไปกว่าพวกราชันทักษิณที่เป็นสิบยอดอัจฉริยะบุคคลนับตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันเหล่านั้น
หลังจากที่ได้กลับมาถึง ปู้เหลียนเซียงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงว่า “เป็นอย่างไรบ้างกับการไปถ้ำเซียนมารในครั้งนี้?” ครั้นนางเห็นชายคนรักกลับมาอย่างปลอดภัย ใจที่ห้อยอยู่นับว่าปล่อยวางได้แล้ว แม้ว่านางจะรู้ดีว่าชายคนรักของนางปราศจากผู้ต่อกร แต่การที่ต้องเผชิญกับถ้ำเซียนมาร นางยังคงเป็นกังวลต่อเขา
“บุญคุณความแค้นที่ผ่านมา ต่อแต่นี้ไปนับว่าสิ้นสุดลงแล้ว ถือเป็นการจัดการเรื่องที่ค้างคาใจจบสิ้นก่อนที่ข้าจะไปจากที่นี่ได้แล้ว” หลี่ชิเย่ทอดถอนใจออกมาเบาๆ และเล่าสถานการณ์เกี่ยวกับถ้ำเซียนมารให้กับปู้เหลียนเซียง
“อเวจี…” สีหน้าของปู้เหลียนเซียนพลันเปลี่ยนไป หลังจากที่ได้ฟังคำบอกเล่าจากหลี่ชิเย่แล้ว และกล่าวว่า “นับว่าวิญญาณอเวจีนี่ยังคงวนเวียนไม่ยอมไปไหนนะเนี่ย”
“มันเป็นเรื่องที่อยู่ในความคาดคิดอยู่แล้ว” หลี่ชิเย่ทอดถอนใจเบาๆ ออมา และกล่าวว่า “ตาเฒ่าของถ้ำเซียนมารเองก็พลาดไปนิดหนึ่ง ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ถือว่าถ้ำเซียนมารได้จบสิ้นลงแล้ว มาคราวนี้อเวจีเองก็ไม่ได้รับประโยชน์อะไรไป เดิมที่พวกเขาด้วยเรื่องของหญ้าอายุวัฒนะ แต่ว่าพวกเขาก็ต้องกลับบ้านมือเปล่า อีกทั้งยังถูกตาเฒ่าของถ้ำเซียนมารทำเอาเจ็บสาหัส เป็นไปไม่ได้ที่ผู้ยิ่งใหญ่ของอเวจีจะปรากฎตัวออกมาภายในช่วงระยะเวลาอันสั้นนี้ นับว่าเป็นการมอบโอกาสที่หาได้ยากยิ่งให้กับเก้าแดน”
“เสียดายก็แต่หญ้าอายุวัฒนะนั่น” ปู้เหลียนเซียงกล่าวด้วยความเสียดายว่า “ถ้าหากเจ้าสามารถได้หญ้าอายุวัฒนะมาครอบครองจะมีประโยชน์อย่างยิ่งในอนาคต โดยเฉพาะกับการต่อสู้ครั้งสุดท้าย ต่อให้ต้องพ่ายแพ้ก็ยังคงมีโอกาสหวนคืนกลับมาได้อีก”
“ไม่มีก็ไม่มี ไม่จำเป็นต้องไปรู้สึกเสียใจ ต่อให้มีหญ้าอายุวัฒนะในครอบครองก็ใช้การอะไรไม่ได้มากนักกับการต่อสู้ในครั้งสุดท้าย มันไม่สามารถช่วยให้ข้าชนะในการต่อสู้ครั้งสุดท้าย อย่างมากแค่เหลือทางหนีทีไล่ให้กับข้าเท่านั้น” เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้แล้ว หลี่ชิเย่ทอดถอนใจเบาๆ ออกมา กล่าวขึ้นมาช้าๆ ว่า “ชาตินี้ข้าหวังว่าไม่ก็สำเร็จ ไม่ก็แพ้อย่างราบคาบ อย่าได้พูดถึงกลับมาเริ่มต้นใหม่ ทุกอย่างให้มันจบสิ้นในชาตินี้เถอะ”
“ข้าเข้าใจ” ปู้เหลียนเซียงถึงกับโอบกอดคอของเขาแน่น และเอาใบหน้าแนบชิดพึมพำเบาๆ ว่า “อมตะไม่มีวันตายกล่าวสำหรับเจ้าแล้วถือ เป็นความทุกข์ทรมานอย่างหนึ่ง เป็นการเคี่ยวกรำชนิดหนึ่ง มองดูคนข้างกายของตนจากไปทีละคนๆ ส่งคนที่รักตัวเองไปจาก ส่งคนที่ตัวเองรักจากไป มันเป็นวันเวลาที่เจ็บปวดยิ่งนัก”
ปู้เหลียนเซียงเองก็ผ่านการเคี่ยวกรำมาตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ นางเองก็ผ่านเหตุการณ์จากลาด้วยความเป็นความตาย นางย่อมเข้าใจถึงความเจ็บปวดของความเป็นอมตะไม่มีวันตาย โดยเฉพาะเฉกเช่นความทุกข์ที่บุรุษอย่างหลี่ชิเย่ที่เป็นผู้บงการเก้าแดนต้องแบกรับเอาไว้
หลี่ชิเย่กอดปู้เหลียนเซียงเอาไว้เบาๆ ถึงกับทอดถอนใจออกมาด้วยความสลด กล่าวด้วยท่าทีที่จนด้วยเกล้าอยู่บ้างว่า “เพียงแต่ข้าไม่ยอมเป็นเพียงมดปลวกตัวหนึ่งที่หลบอยู่ท่ามกลางฟ้าดิน จึงได้นำพาความเจ็บปวดให้กับโลกหล้า ให้กับตนเอง และให้กับคนข้างกายมากมาย”
“ชีวิตคนเราย่อมต้องมีการเลือก การเป็นผู้กล้าคนหนึ่งย่อมดีกว่าเป็นการเป็นมดปลวกที่มีความสุข” ปู้เหลียนเซียงกล่าวด้วยท่าทีจริงจังว่า “โลกนี้ต้องการผู้กล้า มิฉะนั้นแล้ว โลกนี้ก็จะมีความสับสนงุนงงมากเกินไป สรรพชีวิตในเก้าชั้นฟ้าสิบแดนดินล้วนแล้วแต่ทำตัวเป็นมดปลวกตัวหนึ่ง เช่นนั้นแล้ว สรรพชีวิตของหมื่นเผ่าพันธุ์จะแตกต่างอะไรกับสัตว์เดรฉานที่เขาเลี้ยงเอาไว้กันเล่า?”
“ข้าเข้าใจ” หลี่ชิเย่สวมกอดนางเอาไว้แน่น ไม่ต้องการจะพูดอะไรออกมาอีก
หลี่ชิเย่กลับมาได้ไม่นาน หม่ากูก็มาถึง นางเองตั้งใจติดตามหลี่ชิเย่ไปจากเก้าแดน ดังนั้นสิ่งที่ควรจะทำให้กับหอวิถีฟ้า นางก็ได้ทำให้จนหมดสิ้นแล้ว
“เทพแห่งอาณาจักรหวังว่าก่อนอาจารย์จะไปจากสามารถช่วยเหลือเขาเรื่องหนึ่ง” เมื่อหม่ากูได้พบกับหลี่ชิเย่แล้วจึงเอ่ยขึ้น
“เทพแห่งอาณาจักรต้องการไปจากรึ?” เมื่อหลี่ชิเย่ได้ยินหม่ากูพูดเช่นนี้ก็สามารถคาดเดาอะไรบางอย่างได้ จึงเอ่ยขึ้นมาช้าๆ
หม่ากูพยักหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “เทพแห่งอาณาจักรอยากจะกลับไป ภารกิจที่เขาอยู่กับหอวิถีฟ้านับว่าสำเร็จลุล่วงแล้ว เขามาจากที่ไหนก็สมควรกลับไปที่นั่นแล้วหละ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...