ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล นิยาย บท 1708

ตอนที่ 1708 การร้องขอของเทพแห่งอาณาจักร
หลังจากที่หลี่ชิเย่กลับไปถึงสำนักโบราณสี่เหยียนแล้ว คนที่วิ่งมาหาเรื่องหลี่ชิเย่เป็นคนแรกก็คือหลงจิงเซียนนั่นเอง นางโกรธจนคันปาก ร้องกล่าวด้วยเสียงอันดังว่า “เจ้าชิเย่เหม็น เจ้าไปทำอะไรที่ไม่สามารถเปิดเผยตัวได้ ถึงกับตัดสิทธิ์ผู้ร่วมชิงตำแหน่งราชันเซียนของทุกคน!”

“อะไรที่เรียกว่าทำเรื่องที่ไม่สามารถเปิดเผยได้” หลี่ชิเย่เหลือบมองหลงจิงเซียนทีหนึ่ง กล่าวขึ้นมาช้าๆ ว่า “นี่เป็นชะตาฟ้าที่ต้องการให้ข้าเป็นนาย บ่งบอกชัดเจนว่าเลือกข้า แล้วข้าจะไปทำอะไรได้” พูดจบทำท่าผายมือออก เหมือนเป็นเรื่องที่จนด้วยเกล้า ประหนึ่งว่าเป็นสวรรค์บังคับให้เขาเป็นราชันเซียนอย่างนั้น

หลงจิงเซียนโมโหจนมันเขี้ยว แทบอยากจะจับหน้าเหม็นๆ ของหลี่ชิเย่มาทุบตีให้แบนให้มันรู้แล้วรู้รอดไป เมื่อเห็นท่าที่ของหลี่ชิเย่ที่ได้เปรียบคนอื่นแล้วยังทำเป็นอวดฉลาดอีก

“ฮึ ฮึ ฮึ เจ้าชิเย่เหม็น รอให้ข้าฝึกค่ายกลพิฆาตราชันเซียนให้สำเร็จเสียก่อนเหอะ ข้าจะร่วมมือกับพี่น้องตระกูลหลี่ รับรองว่าจะจัดการกับเจ้าจนมองหาฟันไม่เจอ ต่อให้เจ้ากลายเป็นราชันเซียนแล้วก็ตาม พวกเราจะยังคงเล่นงานเจ้าจนหาฟันไม่เจอ เมื่อถึงเวลานั้นพวกเราจะให้ราชันเซียนอย่างเจ้าคุกเข่าขอให้ละเว้นโทษ” พูดจบ หลงจิงเซียนถึงกับหัวเราะออกมาด้วยความลำพองใจ เหมือนว่าได้มองเห็นท่าทางของหลี่ชิเย่ที่คุกเข่าขอให้ละเว้นโทษแล้วอย่างนั้น

หลี่ชิเย่เพียงยิ้มเฉยเมยกับการร้องเอ็ดตะโรของหลงจิงเซียน และกล่าวว่า “งั้นข้าจะรอพวกเจ้า รอให้พวกเจ้าสามารถฝึกค่ายกลพิฆาตราชันเซียนให้สำเร็จได้ในเร็ววัน”

“แน่นอน เจ้าชิเย่เหม็น เจ้ารอพวกเรา พวกเราจะต้องเล่นงานเจ้าจนหาฟันไม่เจอแน่” หลงจิงเซียนทำท่าชูกำปั้น ท่าทีเหมือนแสดงอำนาจ และท้าทายต่อหลี่ชิเย่ด้วยความโอหังยิ่งนัก

หลี่ชิเย่มองดูท่าทีลักษณะเช่นนี้ของหลงจิงเซียนแล้วถึงกับมีสีหน้ายิ้มๆ นังหนูคนนี้อาจกล่าวได้ว่ามีพลังแฝงไร้สิ้นสุดจริงๆ ขอเพียงมอบพลังให้นางได้ก้าวเดินต่อไปข้างหน้า ความสำเร็จของนางในอนาคตรับรองว่าสะเทือนฟ้าอย่างแน่นอน พรสวรรค์ของนางไม่เห็นจะด้อยไปกว่าพวกราชันทักษิณที่เป็นสิบยอดอัจฉริยะบุคคลนับตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันเหล่านั้น

หลังจากที่ได้กลับมาถึง ปู้เหลียนเซียงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงว่า “เป็นอย่างไรบ้างกับการไปถ้ำเซียนมารในครั้งนี้?” ครั้นนางเห็นชายคนรักกลับมาอย่างปลอดภัย ใจที่ห้อยอยู่นับว่าปล่อยวางได้แล้ว แม้ว่านางจะรู้ดีว่าชายคนรักของนางปราศจากผู้ต่อกร แต่การที่ต้องเผชิญกับถ้ำเซียนมาร นางยังคงเป็นกังวลต่อเขา

“บุญคุณความแค้นที่ผ่านมา ต่อแต่นี้ไปนับว่าสิ้นสุดลงแล้ว ถือเป็นการจัดการเรื่องที่ค้างคาใจจบสิ้นก่อนที่ข้าจะไปจากที่นี่ได้แล้ว” หลี่ชิเย่ทอดถอนใจออกมาเบาๆ และเล่าสถานการณ์เกี่ยวกับถ้ำเซียนมารให้กับปู้เหลียนเซียง

“อเวจี…” สีหน้าของปู้เหลียนเซียนพลันเปลี่ยนไป หลังจากที่ได้ฟังคำบอกเล่าจากหลี่ชิเย่แล้ว และกล่าวว่า “นับว่าวิญญาณอเวจีนี่ยังคงวนเวียนไม่ยอมไปไหนนะเนี่ย”

“มันเป็นเรื่องที่อยู่ในความคาดคิดอยู่แล้ว” หลี่ชิเย่ทอดถอนใจเบาๆ ออมา และกล่าวว่า “ตาเฒ่าของถ้ำเซียนมารเองก็พลาดไปนิดหนึ่ง ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ถือว่าถ้ำเซียนมารได้จบสิ้นลงแล้ว มาคราวนี้อเวจีเองก็ไม่ได้รับประโยชน์อะไรไป เดิมที่พวกเขาด้วยเรื่องของหญ้าอายุวัฒนะ แต่ว่าพวกเขาก็ต้องกลับบ้านมือเปล่า อีกทั้งยังถูกตาเฒ่าของถ้ำเซียนมารทำเอาเจ็บสาหัส เป็นไปไม่ได้ที่ผู้ยิ่งใหญ่ของอเวจีจะปรากฎตัวออกมาภายในช่วงระยะเวลาอันสั้นนี้ นับว่าเป็นการมอบโอกาสที่หาได้ยากยิ่งให้กับเก้าแดน”

“เสียดายก็แต่หญ้าอายุวัฒนะนั่น” ปู้เหลียนเซียงกล่าวด้วยความเสียดายว่า “ถ้าหากเจ้าสามารถได้หญ้าอายุวัฒนะมาครอบครองจะมีประโยชน์อย่างยิ่งในอนาคต โดยเฉพาะกับการต่อสู้ครั้งสุดท้าย ต่อให้ต้องพ่ายแพ้ก็ยังคงมีโอกาสหวนคืนกลับมาได้อีก”

“ไม่มีก็ไม่มี ไม่จำเป็นต้องไปรู้สึกเสียใจ ต่อให้มีหญ้าอายุวัฒนะในครอบครองก็ใช้การอะไรไม่ได้มากนักกับการต่อสู้ในครั้งสุดท้าย มันไม่สามารถช่วยให้ข้าชนะในการต่อสู้ครั้งสุดท้าย อย่างมากแค่เหลือทางหนีทีไล่ให้กับข้าเท่านั้น” เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้แล้ว หลี่ชิเย่ทอดถอนใจเบาๆ ออกมา กล่าวขึ้นมาช้าๆ ว่า “ชาตินี้ข้าหวังว่าไม่ก็สำเร็จ ไม่ก็แพ้อย่างราบคาบ อย่าได้พูดถึงกลับมาเริ่มต้นใหม่ ทุกอย่างให้มันจบสิ้นในชาตินี้เถอะ”

“ข้าเข้าใจ” ปู้เหลียนเซียงถึงกับโอบกอดคอของเขาแน่น และเอาใบหน้าแนบชิดพึมพำเบาๆ ว่า “อมตะไม่มีวันตายกล่าวสำหรับเจ้าแล้วถือ เป็นความทุกข์ทรมานอย่างหนึ่ง เป็นการเคี่ยวกรำชนิดหนึ่ง มองดูคนข้างกายของตนจากไปทีละคนๆ ส่งคนที่รักตัวเองไปจาก ส่งคนที่ตัวเองรักจากไป มันเป็นวันเวลาที่เจ็บปวดยิ่งนัก”

ปู้เหลียนเซียงเองก็ผ่านการเคี่ยวกรำมาตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ นางเองก็ผ่านเหตุการณ์จากลาด้วยความเป็นความตาย นางย่อมเข้าใจถึงความเจ็บปวดของความเป็นอมตะไม่มีวันตาย โดยเฉพาะเฉกเช่นความทุกข์ที่บุรุษอย่างหลี่ชิเย่ที่เป็นผู้บงการเก้าแดนต้องแบกรับเอาไว้

หลี่ชิเย่กอดปู้เหลียนเซียงเอาไว้เบาๆ ถึงกับทอดถอนใจออกมาด้วยความสลด กล่าวด้วยท่าทีที่จนด้วยเกล้าอยู่บ้างว่า “เพียงแต่ข้าไม่ยอมเป็นเพียงมดปลวกตัวหนึ่งที่หลบอยู่ท่ามกลางฟ้าดิน จึงได้นำพาความเจ็บปวดให้กับโลกหล้า ให้กับตนเอง และให้กับคนข้างกายมากมาย”

“ชีวิตคนเราย่อมต้องมีการเลือก การเป็นผู้กล้าคนหนึ่งย่อมดีกว่าเป็นการเป็นมดปลวกที่มีความสุข” ปู้เหลียนเซียงกล่าวด้วยท่าทีจริงจังว่า “โลกนี้ต้องการผู้กล้า มิฉะนั้นแล้ว โลกนี้ก็จะมีความสับสนงุนงงมากเกินไป สรรพชีวิตในเก้าชั้นฟ้าสิบแดนดินล้วนแล้วแต่ทำตัวเป็นมดปลวกตัวหนึ่ง เช่นนั้นแล้ว สรรพชีวิตของหมื่นเผ่าพันธุ์จะแตกต่างอะไรกับสัตว์เดรฉานที่เขาเลี้ยงเอาไว้กันเล่า?”

“ข้าเข้าใจ” หลี่ชิเย่สวมกอดนางเอาไว้แน่น ไม่ต้องการจะพูดอะไรออกมาอีก

หลี่ชิเย่กลับมาได้ไม่นาน หม่ากูก็มาถึง นางเองตั้งใจติดตามหลี่ชิเย่ไปจากเก้าแดน ดังนั้นสิ่งที่ควรจะทำให้กับหอวิถีฟ้า นางก็ได้ทำให้จนหมดสิ้นแล้ว

“เทพแห่งอาณาจักรหวังว่าก่อนอาจารย์จะไปจากสามารถช่วยเหลือเขาเรื่องหนึ่ง” เมื่อหม่ากูได้พบกับหลี่ชิเย่แล้วจึงเอ่ยขึ้น

“เทพแห่งอาณาจักรต้องการไปจากรึ?” เมื่อหลี่ชิเย่ได้ยินหม่ากูพูดเช่นนี้ก็สามารถคาดเดาอะไรบางอย่างได้ จึงเอ่ยขึ้นมาช้าๆ

หม่ากูพยักหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “เทพแห่งอาณาจักรอยากจะกลับไป ภารกิจที่เขาอยู่กับหอวิถีฟ้านับว่าสำเร็จลุล่วงแล้ว เขามาจากที่ไหนก็สมควรกลับไปที่นั่นแล้วหละ”

เทพแห่งอาณาจักรมีความสัมพันธ์อย่างแน่นเฟ้นกับต้นจักรวาล หลังจากที่เขาถูกพามาอยู่ที่หอวิถีฟ้าแล้วก็ได้ปลูกเอาไว้ในหอวิถีฟ้ามาโดยตลอด โดยไม่เคยได้ไปจากอีกเลย แต่ว่า หลังจากผ่านกาลเวลามาอย่างยาวนาน อายุขัยของเทพแห่งอาณาจักรก็ใกล้จะหมดแล้ว กล่าวสำหรับเขาแล้วมีแนวความคิดที่จะได้กลับไปยังบ้านเกิดเมืองนอนยามแก่ชราแล้ว

“บรรดาตาเฒ่ากลุ่มนั้นของหอวิถีฟ้าก็ยินยอมปล่อยคนแล้วรึ?” หลี่ชิเย่ถึงกับหัวเราะออกมา และยิ้มกล่าวขึ้น

กล่าวสำหรับหอวิถีฟ้าแล้ว เทพแห่งอาณาจักรคือเทพผู้พิทักษ์ของหอวิถีฟ้า การที่หอวิถีฟ้ามีเทพแห่งอาณาจักรอยู่ ลูกหลานของพวกเขาก็จะอยู่โดยไม่ต้องกังวลกับสิ่งใด ไม่ว่าจะพานพบกับศัตรูผู้แข็งแกร่งปานใดก็ตาม หอวิถีฟ้าของพวกเขาก็ไม่ต้องหวาดหวั่น

เรียกได้ว่าเทพแห่งอาณาจักรคือแนวป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดของหอวิถีฟ้า และเป็นแนวป้องกันสุดท้ายของหอวิถีฟ้า กล่าวสำหรับหอวิถีฟ้าของพวกเขาแล้ว หากต้องสูญเสียเทพแห่งอาณาจักรไปนับเป็นความเสียหายอย่างหนักทีเดียว

แต่ว่า ชาตินี้เทพแห่งอาณาจักรต้องจากไปแล้ว ท้ายที่สุดหอวิถีฟ้ายังคงต้องยินยอมปล่อยให้เทพแห่งอาณาจักรได้ไปจาก กล่าวสำหรับหอวิถีฟ้าของพวกเขาแล้ว ถือเป็นการตัดสินใจเลือกซึ่งสิ่งนี้กล่าวสำหรับหอวิถีฟ้าพวกเขานับว่าต้องค้นพบการเปลี่ยนแปลงและทะลวงผ่านไปให้ได้

“การที่เทพแห่งอาณาจักรต้องการกลับไปยังบ้านเกิดเมืองนอนยามแก่ชรา บรรดาบรรพบุรุษที่หอวิถีฟ้าได้แต่อวยพรให้ท่านมีชีวิตในบั้นปลายอย่างมีความสุข” หม่ากูเอ่ยขึ้นแผ่วเบา

แม่ว่าหอวิถีฟ้าจะเสียดาย แต่สุดท้ายแล้วหอวิถีฟ้ายังคงให้เกียรติในการตัดสินใจของเทพแห่งอาณาจักร

“ตาเฒ่าหอวิถีฟ้ากลุ่มนี้ของพวกเจ้านับว่ายังไม่โบราณคร่ำครึเกินไป ข้อนี้เหนือกว่าวิหารเทพสงครามในครั้งนั้นมากทีเดียว” หลี่ชิเย่ยิ้มเฉยเมย และกล่าวว่า “ในเมื่อเทพแห่งอาณาจักรต้องการกลับไปยังบ้านเกิดเมืองนอนยามแก่ชรา เรื่องนี้ใช่ว่าจะยากเย็นอะไร รอเวลาที่ข้าเปิดประตูมิติก็จะเป็นเวลาที่เขาได้กลับไปยังต้นจักรวาล”

“ประตูมิติ…”ปู้เหลียนเซียงถึงกับตกใจยิ่งเมื่อได้ยินคำๆ นี้ และกล่าวว่า “ประตูมิติคือหนึ่งในเก้าของสมบัติสวรรค์นพเก้า เจ้าสามารถเปิดมันได้รึ? ตามตำนานเล่าว่า นับแต่อดีตเป็นต้นมาไม่เคยมีใครสามารถเปิดมันได้ ไม่มีใครได้เคยเข้าไปยังประตูมิติมาก่อน อย่างมากก็ได้แต่ปีนขึ้นไปยังต้นจักรวาลเท่านั้นเอง ราชันเซียนเฮ่าไห่ก็คือผู้ที่มีชื่อเสียงมากที่สุด”

“ถูกต้อง นับแต่โบราณกาลเป็นต้นมาไม่เคยมีใครเปิดประตูมิติได้จริง” หลี่ชิเย่พยักหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “ก่อนหน้านั้นรวมทั้งข้าด้วยที่ไม่สามารถเปิดประตูมิติได้ การที่ไม่สามารถเปิดประตูมิติได้ก่อนหน้าเป็นเพราะโอกาสยังไม่สุกงอม แต่ว่า เวลานี้โอกาสสุกงอมแล้วข้าต้องเปิดประตูมิติได้แน่ ข้ากลับต้องการจะรู้นักว่า ด้านหลังประตูมิติเป็นโลกที่มีสภาพแบบไหนกัน”

“ประตูมิติ” ปู้เหลียนเซียงถึงกับพึมพำว่า “ด้านหลังของประตูมิติจะเป็นโลกที่มีสภาพเช่นใดกันนะ?” มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับประตูมิติต่างๆ นานา ต่อให้เป็นผู้ที่ดำรงอยู่ในสถานะเฉกเช่นปู้เหลียนเซียงก็เคยได้ยินคำเล่าลือมาต่างๆ นานา แต่ว่านางก็ไม่รู้เหมือนกันว่าโลกที่อยู่ด้านหลังประตูมิติจะเป็นเช่นใด

“รายละเอียดอาจไม่รู้ แต่ว่า ส่วนตัวข้าแล้วคิดว่ามันจะต้องวิวัฒนาการจนกลายเป็นโลกอีกโลกหนึ่ง สมบัติสวรรค์นพเก้าล้วนแล้วแต่มีข้อแตกต่างกันออกไป ทุกๆ สมบัตินพเก้าก็จะมีความลึกลับและมหัศจรรย์ของมันอยู่ พวกมันหาใช่เป็นเพียงของวิเศษชิ้นหนึ่งเท่านั้น แต่ว่า ทุกสิ่งล้วนไม่มีความสำคัญ ทุกสิ่งล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมของข้า เมื่อถึงเวลานั้นเปิดออกมาก็จะรู้เองแล้วหละ” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวขึ้นมา

“ประตูมิติคือหนึ่งในสมบัติสวรรค์นพเก้า อาจารย์สามารถนำติดตัวไปได้หรือไม่?” แม้แต่หม่ากูยังอดที่จะเอ่ยถามขึ้นมาด้วยความสงสัย

หลี่ชิเย่ถึงกับส่ายหน้า ยิ้มกล่าวว่า “ทำไม่ได้ แม้ว่าสมบัติสวรรค์นพเก้าจะเรียกว่าสมบัติสวรรค์ แต่ไม่ได้หมายความว่ามันคือของวิเศษชิ้นหนึ่ง สมบัติสวรรค์บางอย่างมีความพิเศษเป็นอันมาก ดั่งเช่นประตูมิติก็คือหนึ่งในจำนวนนั้น อีกทั้งสมบัติสวรรค์นพเก้าใช่ว่าทุกชิ้นสามารถนำติดตัวไปด้วยได้ เช่นหญ้าอายุวัฒนะ กาสารพัดนึก มิติมหัศจรรย์ เป็นสมบัตินพเก้าที่เจ้ามีโอกาสได้ครอบครองมัน และมีโอกาสนำติดตัวไปได้ แต่ประตูมิติเจ้าไม่สามารถนำมันติดตัวไปได้”

“เช่นนั้นแล้วมันใช้ประโยชน์อะไรได้หละ?” ปู้เหลียนเซียงกล่าวว่า “หากไม่สามารถนำมันติดตัวไปด้วย แล้วสามารถนำมาทำอะไรเล่า?”

“อย่างน้อยที่สุดข้าสามารถควบคุมมันได้” หลี่ชิเย่ยิ้มเฉยเมยและกล่าวว่า “บางทีอาจสามารถกลายเป็นดินแดนสุขาวดีผืนหนึ่ง ส่วนรายละเอียดจะเป็นอย่างไรนั้น ได้แต่รอให้เข้าไปได้แล้วจึงบอกได้”

“เจ้ากำลังจะออกเดินทางอยู่แล้ว จะมีเวลาพอรึ?” ปู้เหลียนเซียงถึงกับเอ่ยขี้นด้วยความกังวล

“พออยู่แล้ว” หลี่ชิเย่กล่าวขึ้นมาช้าๆ ว่า “ปัจจุบัน ประตูมิติอยู่ในความควบคุมของข้า ก่อนออกเดินทางข้าจะเปิดประตูมิติออกมา และมันก็จะเป็นมรดกชิ้นสุดท้ายที่ข้าทิ้งเอาไว้ให้กับเก้าแดน เมื่อมีมรดกชิ้นนี้แล้ว หากเก้าแดนยังคงต่อต้านกับศัตรูไม่ได้อีก นับว่าเป็นที่น่าผิดหวังยิ่งนัก แสดงว่าเป็นเพียงโคลนตมจริงๆเลยหละ กับโคลนตมลักษณะเช่นนี้ข้ายังจะพูดอะไรได้อีกหละ”

“ห้ามพูดจาส่งเดช มรดกบ้าบออะไร สิ่งที่เจ้าทิ้งเอาไว้ให้กับเก้าแดนมีมากมายแล้ว” ปู้เหลียนเซียงรีบเอามือป้องปากหลี่ชิเย่เอาไว้ และเอ็ดเบาๆ ออกมา

นางไม่ต้องการได้ยินคำพูดที่ไม่เป็นมงคลเช่นนี้ ไม่ว่าโลกในอนาคตจะมีนางอยู่หรือไม่ นางก็หวังว่าหลี่ชิเย่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้เรื่อยๆ

“อาจารย์จะต้องดำรงอยู่ต่อไปไม่มีวันสิ้นสลายแน่” หม่ากูก็กล่าวขึ้นเบาๆ “ขอเพียงอาจารย์ท่านเป็นอมตะไม่มีสิ้นสลาย การมีชีวิตอยู่ของข้าจึงจะมีความหมาย มิฉะนั้นล่ะก็หากโลกนี้ปราศจากอาจารย์แล้ว ทุกสิ่งล้วนแล้วแต่กลับกลายเป็นสลดและอับแสง ข้าฝึกกายอายุวัฒนะก็ไร้ความหมายอีกต่อไป

ภายในใจของหลี่ชิเย่ถึงกับอ่อนลงเมื่อมองเห็นท่าทีที่จริงใจของหม่ากู เขาปัดเส้นผมของนางเบาๆ ให้เข้าที่ และกล่าวว่า “แน่นอน ข้าต้องเป็นอมตะไม่สูญสลายแน่นอน” เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้แล้วเขาถึงกับทอดถอนใจภายในใจเบาๆ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล